บทที่ 32 เจอท่านป้าจางครั้งแรก

ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย

บทที่ 32 เจอท่านป้าจางครั้งแรก

บทที่ 32 เจอท่านป้าจางครั้งแรก

เช้าวันรุ่งขึ้นอากาศช่างแจ่มใส

กู้เสี่ยวหวานลุกขึ้นจากเตียงตั้งแต่เช้าตรู่ กู้หนิงอันและกู้หนิงผิงสองพี่น้องก็ไม่ได้นอนเกียจคร้าน เมื่อเห็นพี่สาวตื่นขึ้นมาก็รีบลุกจากเตียงฉับไว

มีเพียงกู้เสี่ยวอี้ที่อายุน้อยที่สุดเท่านั้นที่ยังคงหลับอุตุอยู่บนเตียง

กู้เสี่ยวหวานไม่ต้องการให้พวกเขารีบตื่นขึ้นมา จึงบอกให้น้องชายทั้งสองคนนอนต่ออีกสักพัก แต่นางไม่สามารถเอาชนะพวกเขาได้ ดังนั้นจึงต้องยอมแพ้

ทั้งสามคนลงจากเตียงอย่างเงียบเชียบ มุ่งหน้าไปยังห้องครัวเล็ก เริ่มทำการต้มน้ำก่อนเป็นอันดับแรก เด็กหญิงปล่อยน้ำให้เย็นลงในชามใบหนึ่ง พลางครุ่นคิดว่าถ้าใส่เกลือลงไปสักหน่อยคงดี จากนั้นจึงลงมือล้างหน้าแปรงฟันพร้อมกับน้องชายทั้งสองคน

กู้เสี่ยวหวานลูบผมสองสามครั้งก็รู้สึกว่าผมของตนเองมันเยิ้ม แต่นั่นไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร หลังจากล้มป่วยนางก็ไม่ได้อาบน้ำและสระผมมาเป็นเวลาสิบกว่าวัน ในยุคสมัยนี้ไม่มีแชมพูสระผม ไม่มีครีมอาบน้ำ นางยังไม่รู้จะล้างให้สะอาดได้อย่างไร

กู้เสี่ยวหวานปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว ถือโอกาสในวันที่อากาศดีออกไปหาเสบียงกลับมามากกว่านี้ เรื่องอาบน้ำสระผมค่อยรอจัดการในวันที่อากาศไม่ค่อยดีก็ยังไม่สาย

สามพี่น้องล้างหน้า บ้วนปาก ดื่มน้ำอุ่นที่กู้เสี่ยวหวานเติมเกลือลงไปคนละหนึ่งถ้วย ซึ่งทำให้ท้องอบอุ่นและรู้สึกสบาย

กู้เสี่ยวหวานเห็นว่ายังเช้าอยู่ ด้านนอกไม่มีหมอกหนาทึบ ดังนั้นจึงวางแผนที่จะใช้ประโยชน์จากเวลาที่ยังไม่ได้กินอาหารเช้าเพื่อสำรวจบริเวณรอบ ๆ

“หนิงผิง เจ้ารออยู่ที่บ้านเถอะ ข้ากับหนิงอันจะไปสำรวจบริเวณรอบ ๆ ดูว่ายังมีหัวไชเท้าให้เก็บหรือไม่” กู้เสี่ยวหวานเอ่ยพลางแบกตะกร้าขึ้นหลัง บนภูเขามีหัวไชเท้าป่ามากมาย แต่ชาวบ้านกลับไม่รู้ว่าผักป่าชนิดนี้สามารถกินได้ เช่นนั้นคันนาหรือป่าละเมาะบริเวณรอบ ๆ จะต้องมีหัวไชเท้าแน่นอน แต่จะมีมากหรือน้อยแค่ไหนเท่านั้นเอง

“ขอรับ รีบไปรีบกลับนะท่านพี่” กู้หนิงผิงรับปาก สายตามองตามกู้เสี่ยวหวานและกู้หนิงอันเดินลับออกจากบ้าน ก่อนจะหมุนกายวิ่งไปยังห้องใหญ่ ลงกลอนประตูจากด้านใน จากนั้นเริ่มทำความสะอาดหัวไชเท้าที่ยังทำจัดการไม่เสร็จอีกครั้ง

กู้เสี่ยวหวานพากู้หนิงอันออกจากบ้านไปได้ไม่นาน ก็พบกับท่านป้าจางที่เดินสวนมาอย่างเร่งรีบ

ครั้นเห็นกู้เสี่ยวหวานและกู้หนิงอัน ดวงตานางพลันเป็นประกาย เร่งฝีเท้าเร็วขึ้น มือถือตะกร้าหนึ่งใบ สายตามองกู้เสี่ยวหวาน และเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง “เสี่ยวหวาน ร่างกายดีขึ้นหรือยัง?”

สามวันก่อนชีวิตของกู้เสี่ยวหวานกำลังแขวนอยู่บนเส้นด้าย ท่านป้าจางจึงนำถุงที่อัดแน่นไปด้วยแป้งหมี่สีขาวเนียนซึ่งน่าจะเพียงพอสำหรับสองมื้อมาให้ หลังจากที่กู้เสี่ยวหวานหายป่วย กู้หนิงอันจึงนำเรื่องนี้ไปบอกกล่าวนาง

กู้เสี่ยวหวานรู้สึกซาบซึ้งใจ สำหรับผู้เป็นลุงและอาของตัวเองแล้ว อย่าว่าแต่นำอาหารมาให้เลย กระทั่งหน้าก็ไม่เคยโผล่มาเยี่ยมนางแม้แต่ครั้งเดียว บ้านท่านป้าจางเองก็ไม่ได้ร่ำรวย ทั้งยังมีเด็กอีกสองคนต้องดูแล ถึงนางจะนำของมาให้เพียงน้อยนิด แต่กู้เสี่ยวหวานจะจดจำบุญคุณอันยิ่งใหญ่นี้ไว้ในใจ

ผู้คนยามเจ็บไข้ได้ป่วยเพียงแค่อยากกินของดี ๆ หากไม่ได้กินร่างกายก็จะไม่แข็งแรง เฮ้อ เลิกพูดเรื่องความเจ็บป่วยเถอะ

ดังนั้น กู้เสี่ยวหวานจึงมองท่านป้าจางอย่างซาบซึ้ง เอ่ยเรียกนางอย่างสนิทสนม “ท่านป้าจาง ร่างกายของข้าดีขึ้นมากแล้ว ข้าสบายดี ท่านไม่ต้องเป็นกังวลไป!”

ครั้นได้ยินเช่นนั้น ท่านป้าจางก็ยังไม่คลายความกังวล จึงอดไม่ได้จะเอ่ยถาม “อาการป่วยครั้งที่แล้วของเจ้าค่อนข้างหนัก ควรนอนพักผ่อนอีกสักสามวัน อากาศหนาวเย็นช่วงนี้จะทำให้เจ้าป่วยได้อีก”

กู้เสี่ยวหวานได้ยินเสียงบ่นจู้จี้ของป้าจางราวกับได้เจอแม่ของนางจากชาติที่แล้ว เด็กหญิงก็รู้สึกอุ่นวาบไปทั้งหัวใจ “ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ท่านป้าจาง ข้าหายดีแล้ว ท่านไม่ต้องเป็นห่วง!”

หลังจากพูดจบ นางก็กระโดดไปมาสองสามครั้ง แสดงท่าทางให้เห็นว่าไม่เป็นอะไรจริง ๆ ท่านป้าจางเห็นว่าใบหน้าของกู้เสี่ยวหวานมีเลือดฝาดดีกว่าเมื่อหลายวันก่อน จึงยอมเชื่อคำพูดของกู้เสี่ยวหวานและวางใจลง

“พวกเจ้าถือตะกร้าจะไปไหนกัน?” ท่านป้าจางเห็นเด็กสองคนแบกตะกร้าเตรียมออกจากบ้านท่ามกลางอากาศที่หนาวเย็น เช้าขนาดนี้คาดว่าเด็กทั้งสองคงยังไม่ได้กินข้าว จึงอดไม่ได้ที่จะถามด้วยความสงสัย “ฤดูหนาวอากาศหนาวเย็นนัก ข้างนอกไม่มีอะไรให้กิน พวกเจ้ารีบกลับบ้านเร็วเข้า! ข้าเอาแป้งบะหมี่มาให้แล้ว กินทีละน้อย คงเก็บได้กินอีกหลายวัน!”

พูดจบ นางก็โยนถุงแป้งบะหมี่ใส่ตะกร้าของกู้เสี่ยวหวาน ตะกร้าบนหลังของกู้เสี่ยวหวานถ่วงเล็กน้อย คาดว่าแป้งถุงนั้นคงมีน้ำหนักห้าถึงหกชั่ง ครอบครัวสี่คน หากกินอย่างประหยัด คงจะกินได้ประมาณสิบวันถึงครึ่งเดือน

และก็ไม่รู้ว่าท่านป้าจางเหลือเสบียงไว้มากแค่ไหน ถึงได้มีแป้งเหลือมากมายถึงเพียงนี้

กู้เสี่ยวหวานไม่ต้องการสิ่งใดจากท่านป้าจาง นางรีบหยิบถุงแป้งออกมาเพื่อคืนให้นาง “ท่านป้าจาง ท่านเอาคืนไปเถอะ พวกข้ารับเอาไว้ไม่ได้!”

เรื่องนี้รับเอาไว้ไม่ได้จริง ๆ เมื่อก่อนเด็กทั้งสี่ของตระกูลกู้ไม่สามารถอดตายได้ เวลานั้นท่านป้าจางได้ช่วยเหลือพวกเขาเอาไว้มาก

รวมถึงตอนนี้พวกนางยังหาของกินจากด้านนอกได้เป็นครั้งคราว ทำให้มั่นใจว่าพวกเขาจะไม่มีวันอดตาย และพวกเขาจะไม่ลืมบุญคุณอันยิ่งใหญ่ที่ท่านป้าจางมีต่อครอบครัวเขา ชีวิตนี้ของกู้เสี่ยวหวานจะไม่มีวันลืม!

“ใครบอกว่าเจ้ารับไม่ได้” ท่านป้าจางมองการปฏิเสธของกู้เสี่ยวหวาน ใบหน้าของนางดูไม่มีความสุขเล็กน้อย โยนถุงแป้งบะหมี่ลงในตะกร้าอีกครั้ง “ตอนที่บิดามารดาของพวกเจ้ายังมีชีวิตอยู่ พวกเขามักจะมีของอร่อยมาแบ่งปันบ้านข้าเสมอ ตอนนี้พวกเขาไม่อยู่แล้ว พวกเจ้าเป็นความกังวลของพวกเขาที่เหลืออยู่ ถึงแม้ว่าข้าจะไม่สามารถทำอะไรได้มาก แต่อย่างน้อยข้าก็จะไม่ปล่อยให้พวกเจ้าหิวตาย!”

กู้เสี่ยวหวานได้ยินสิ่งนี้พลันรู้สึกอบอุ่นหัวใจเป็นพิเศษ คนบางคนก็เป็นแบบนี้ น้ำใจเล็ก ๆ น้อย ๆ ของเรา คนอื่นจะจำได้ และตอบแทนเราทีละน้อย ทีละน้อย

แต่บางคนต่อให้เราดีกับเขาแค่ไหน ก็ยังคิดว่าเราเป็นหนี้บุญคุณเขา นอกจากจะรับไว้ด้วยใจ เขายังคิดว่ามันคือสิ่งที่เราควรทำ ถ้าเราไม่ให้มันก็จะเป็นเรื่องแย่ และน่าขยะแขยงอย่างสมบูรณ์

สถานะทางบ้านของท่านป้าจางก็ไม่ดีเช่นกัน หลายปีก่อนสามีของท่านป้าจางไปล่าหมูบนภูเขา และถูกหมาป่ากัดจนเสียขาซ้ายไป เมื่อขาของเขาหายไป เขาก็ได้กลายเป็นคนพิการ

เขาไม่สามารถทำงานหนักให้ทางบ้านได้อีกต่อไป งานนอกบ้านในบ้านจึงต้องพึ่งพาท่านป้าจางรับผิดชอบงานหนักทุกอย่าง

ยามท่านพ่อและท่านแม่ของกู้เสี่ยวหวานยังมีชีวิตอยู่ พวกท่านก็มักจะช่วยพวกเขาเป็นครั้งคราว อย่างทำไร่ทำนา เลี้ยงดูลูกต่าง ๆ เวลานั้นบ้านของกู้เสี่ยวหวานและท่านป้าจางต่างสนิทสนมกันมาก พวกเขามีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน!

ดังนั้น ตอนที่กู้เสี่ยวหวานกำลังจะตาย ก็มีเพียงท่านป้าจางที่วิ่งวุ่นตามหมอ ส่งข้าว ส่งอาหาร ดูแลเด็ก ๆ ทั้งสาม ครั้งนี้ยังให้แป้งบะหมี่ถุงใหญ่กับพวกนางอีก

………………………………………………………………………………………………………………………..

สารจากผู้แปล

เจอคนดี ๆ แบบนี้ก็สานสัมพันธ์ไว้นาน ๆ เลยนะคะ ท่านป้าจางนี่เลี้ยงเด็ก ๆ ดีกว่าคนในตระกูลกู้อีกมั้ง

ไหหม่า(海馬)