“ทำไม! ทำไมนายต้องพูดให้เป็นลางด้วยเนี่ยยยย?”
“แกถามข้าเองนะ!”
อินกองร้องครวญครางใส่คารัคหลังจากที่เขาสังเกตเห็นบางสิ่งในแผนที่ย่อ จุดสีแดงจำนวนมากเข้าล้อมพวกเขาไว้จากทั่วทิศทาง
ส่วนใหญ่เป็นคาเซีย แต่ก็มีเดรคโอเกอร์ปะปนอยู่ด้วย
‘พวกที่หลงเหลือจากทัพเมื่อวันก่อนสินะ?’
อินกองมองสำรวจรอบตัวอย่างเร่งรีบ เหล่าทหารที่กำลังตั้งค่ายพักแรมต่างหยุดการทำงานเอาไว้ ก่อนจะชักอาวุธออกเตรียมพร้อมรบกับเหล่าสัตว์อสูรที่กำลังมุ่งหน้าเข้ามา
นี่อาจจะดูไร้เหตุผล แม้เหล่าสัตว์อสูรจะไม่ได้มีสัญลักษณ์แสดงสังกัดกองทัพ แต่อินกองคิดว่าสัตว์อสูรพวกนี้ไม่ใช่กลุ่มเดียวกับพวกที่โจมตีวัด นั่นก็เพราะพวกมันวิ่งอย่างสะเปะสะปะ
“สงบสติ! เตรียมปะทะ!”
เฟโรเชียสอายคำรามออกคำสั่ง เหล่าเซนทอร์เก็บคันศรก่อนจะนำจี่ออกมาพร้อมจัดกระบวนทัพ เดเลียเป่านกหวีดสัญญาณออกคำสั่งเดรโก้
ก่อนหน้านี้แปลอาวุธเซนทอร์ในนี้ผิดเป็นหอก จริงๆแล้วเป็นจี่ จี่คืออะไร? เป็นอาวุธที่คล้ายๆหอกผสมทวนแต่ด้านข้างจะมีโลหะติดเพิ่มไว้ใช้สำหรับฟัน เกี่ยว กระชาก ง่ายๆว่าอาวุธโบราณของจีน ให้ชัดก็ที่ลิโป้(หลี่ปู้)ใช้นั่นแหละ
ในสามวันที่ผ่านมา กองกำลังของอินกองไม่ถูกโจมตีแต่อย่างใด พวกเขาพบแต่เพียงศพของคาเซียและเดรคโอเกอร์เป็นครั้งคราวเท่านั้น
แต่นี่ไม่ใช่เวลาที่จะมัวคิดอะไรเรื่อยเปื่อย อย่างที่เฟโรเชียสอายบอก ถึงเวลาเตรียมปะทะ
คารัคโยนฟืนลงกองกับพื้นก่อนจะนำขวานคู่กายของมันออกมาในท่าเตรียม อินกองเปิดช่องเก็บของแล้วเตรียมพสุธากัมปนาท
‘โลหิตมังกร!’
เสียงคำรามดังขึ้นจากพสุธากัมปนาทในทันทีที่พลังเวทมังกรในตัวอินกองถูกกระตุ้น แสงสีแดงเหลืองผสมกับควันสีขาวจากลมปราณ ลุกโชนราวกับกองไฟที่ถูกราดด้วยน้ำมัน
และนั่นยังไม่ใช่ทั้งหมด อินกองชูแขนขวาของเขาขึ้นพร้อมตะโกนลั่น
“กรีนวินด์! อวยพร!”
เขาร้องขอเวทมนตร์สนับสนุนที่กรีนวินด์เคยร่ายให้กับเขาในการต่อสู้กับมุสตาฟา!
แต่แล้วสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น อินกองไม่รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด เขารีบก้มลงมองเศษไม้ที่เหน็บอยู่ที่เอว เศษไม้อันเป็นที่สิงสถิตชั่วคราวของกรีนวินด์
‘ขออภัยด้วยนายท่าน แต่ตัวข้าในตอนนี้ไม่เหลือพลังเพียงพอจะร่ายพรได้!’
อินกองเข้าใจในที่สุด พลังของกรีนวินด์ถูกใช้ในการสร้างตัวแทนของนาง สิ่งที่ผิดคาดก็คือ เขาไม่คิดว่านางจะอ่อนแอลงจนไม่สามารถใช้กระทั่งเวทมนตร์อวยพรได้ ทว่านี่ไม่ใช่เวลาจะมาโอดครวญ
‘ตนเป็นที่พึ่งแห่งตนสินะ!’
[พรแห่งสายลม ขั้น1]
[พรแห่งทุ่งหญ้า ขั้น1]
เวทมนตร์อวยพรที่กรีนวินด์ร่ายให้กับเขาในการต่อสู้เพื่อปกป้องวัด แม้จะเป็นเพียงแค่ขั้นหนึ่ง แต่ก็ดีกว่าไม่มีอะไร
แสงสีเขียวเจือจางเข้าปกคลุมร่างของอินกองทำให้เขารู้สึกตัวเบาขึ้นเล็กน้อย ทันใดนั้น เสียงของกรีนวินด์ก็ดังขึ้นอย่างลนลาน
‘ได้… ได้ไง? นายท่านสามารถร่ายพรของข้าได้?’
อินกองไม่ตอบอะไรก่อนจะร่ายพรแห่งสายลมและทุ่งหญ้าให้กับคารัค เสียงร้องของกรีนวินด์ยังคงดังขึ้นในหูของเขา
‘นี่ นี่มัน… บท… บทบาทของข้า… !’
ภาพของกรีนวินด์ล้มคุกเข่าอย่างสิ้นหวังผุดขึ้นมาในหัวของอินกอง แต่เขาไม่มีเวลาปลอบโยนเทพารักษ์ที่กำลังท้อแท้ เหล่าเซนทอร์ได้เข้าปะทะกับสัตว์อสูรเป็นที่เรียบร้อย
Orz
อินกองชักมีดของเขาออกมาเตรียมใช้ใต้ร่มเงากษัตริย์ ทว่ามีเสียงกรีดร้องดังขึ้นจากด้านหลัง
“กรี๊ดดด!”
เสียงดังมาจากกลุ่มของสตรีทั้งสี่ อินกองหันไปทางเดเลียที่ขี่เดรโก้อยู่
อินกองรีบพุ่งตัวไปโดยไม่รอช้า ดาฟเน่ยังคงกรีดร้องเนื่องจากมีสัตว์อสูรโจมตีเข้ามาจากฟากฟ้า
ข้อมูลเกี่ยวกับเจ้าตัวนั้นผุดขึ้นมาในหัวของเขาทันที
ไกสท์ – สัตว์อสูรลักษณ์คล้ายมนุษย์มีปีกค้างคาวสองข้างแทนแขนทั้งสอง เป็นปีศาจตระกูลแวมไพร์ที่ดูดกินเลือดเหยื่อ
ไม่รู้จัก ฟังจากชื่อน่าจะออกแนวเยอรมัน? หรือว่าอ่านผิด? กาอิสท์? เคอิสท์? แต่ลักษณ์ที่บรรยายนี่คล้ายกับแดมเปียร์ เลยคิดว่าคงเป็นตัวที่คนเขียนแต่งขึ้นมาเอง
ไม่ต้องอธิบายอะไรก็สามารถเดาได้โดยง่ายว่าพวกมันพุ่งเป้าหมายที่ดาฟเน่ ไกสท์ตัวหนึ่งพุ่งลงมาใช้ขาจับตัวดาฟเน่เอาไว้
อินกองใช้เคล็ดไอศวรรย์สัตว์เทพโดยไม่รอช้า เขาพุ่งตัวเข้าไปหาไกสท์และดาฟเน่ ก่อนจะเงื้อหมัดซัดใส่ศัตรูตรงหน้า
‘ระเบิดลมปราณ!’
หมัดของอินกองจู่โจมเข้าที่ร่างท่อนบนของไกสท์อย่างทันที เพราะเป็นการจู่โจมโดยที่ไม่ได้เตรียมตัวมาก่อน ทำให้พลังทำลายไม่รุนแรงมากนัก
ร่างของไกสท์กระเด็นลอยไปในอากาศก่อนจะตกลงกระแทกพื้น แรงระเบิดจากการปะทะทำให้อินกองและดาฟเน่กระเด็นเสียหลักถอยหลังมาเช่นกัน แต่ก็เพียงชั่วครู่เท่านั้น อินกองจัดระเบียบร่างกายอย่างรวดเร็วก่อนจะพุ่งตัวเข้าหาศัตรู ไกสท์ตรงหน้ามีร่างกายเป็นเพศชายกำยำสูงราวสองเมตร แต่โครงร่างของมันเบาทำให้มันสามารถบินได้
อินกองต้องรีบจัดการศัตรูให้เร็วที่สุด นั่นเพราะลักษณ์เฉพาะของศัตรูตัวนี้ ปีกหนังที่ทนทานต่อการโจมตี เขี้ยวเล็บอันแหลมคมที่ปีกและเท้า ยิ่งไปกว่านั้น หากให้เวลาตั้งตัว ไกสท์สามารถบินขึ้นจู่โจมจากฟากฟ้า ยากแก่การรับมือ
อินกองจู่โจมที่อกของไกสท์อีกครั้ง ด้วยความที่ไกสท์ล้มอยู่กับพื้น แรงระเบิดระยะเผาขนเข้ากระแทกซี่โครงของมันอย่างจัง เลือดกระเซ็นขึ้นมาจากแผลเหวอะของร่างกายไกสท์ที่ไร้วิญญาณ
อินกองหายใจเหนื่อยหอบเล็กน้อย เขาใช้ระเบิดลมปราณสองครั้งติดกันในเวลาอันสั้น แต่ด้วยพลังเวทมังกรที่ตื่นตัว ทำให้เขายังครองสติอยู่ได้
“ว้ายยย!”
แน่นอนว่าเป็นเสียงของดาฟเน่ ไม่ใช่ไกสท์ ร่างของดาฟเน่ถูกผลักล้มลงกับพื้นโดยเจ้าออร์คที่กระโดดเอาตัวเข้าปกป้องนางจากการโจมตีของไกสท์อีกตัว พรที่อินกองร่ายให้คารัค ทำให้มันคล่องตัวเพิ่มขึ้น มันเข้ามาปกป้องดาฟเน่ไว้ได้ทันการ
“องค์ชาย!”
“ไฟร์แอร์โรว์!”
คารัคตะโกนบอก และอินกองรีบร่ายเวทมนตร์โดยไม่รอช้า ศรเพลิงก่อตัวขึ้นบริเวณมือซ้ายของอินกองก่อนจะพุ่งเข้าจู่โจมศีรษะของไกสท์ มันยกปีกขึ้นปัดป้องการโจมตีเอาอย่างเร่งรีบ
ศรเพลิงพุ่งเข้าชนปีกหนังก่อนจะระเบิดขึ้นกลายเป็นควันและสะเก็ดไฟเล็กน้อย เพราะเป็นเพียงขั้นแรก ทำให้พลังโจมตีของศรเพลิงมีเพียงน้อยนิด
แต่นั่นก็เกินพอสำหรับสถานการณ์นี้ จุดประสงค์ของอินกองไม่ได้ต้องการสังหารไกสท์ด้วยศรเพลิง แต่เป็นเพียงการเบี่ยงเบนความสนใจเท่านั้น คมขวานแหวกอากาศเข้าเฉือนเรือนร่างของไกสท์ ก่อนสันขวานจะกระแทกเข้าซ้ำ ทำให้มันล้มลงไปกองกับพื้นในเวลาต่อมา
เสียงร้องอย่างเจ็บปวดของไกสท์ดังขึ้น ก่อนจะถูกกลบด้วยเสียงกระโหลกถูกบดขยี้ คารัคชูขวานขึ้นพร้อมร้องตะโกนข่มขวัญศัตรู
“คุร่าฮ์!”
เสียงคำรามสร้างความหวาดกลัวให้ไกสท์ที่บินอยู่ใกล้เคียง ก่อนพวกมันจะเริ่มถอยออกห่าง
หลังจากที่มั่นใจว่าไม่มีไกสท์อยู่ในบริเวณรอบด้านแล้ว คารัคก็หันหน้าไปกล่าวกับดาฟเน่ที่ล้มอยู่ด้านข้าง
“เป็นอะไรไหมสาวน้อย? ยืนไหวไหม?”
คารัคถามออกมาอย่างห้วนๆแต่เป็นมิตร มันยื่นมือออกไปหาดาฟเน่
ดาฟเน่มองเจ้าออร์คตรงหน้าอย่างงุนงง ก่อนจะพยักหน้าแล้วจับมือคารัค
“ฉัน ฉันปลอดภัยดี ฉันยังยืนไหว”
ดาฟเน่กลืนน้ำลายก่อนคารัคจะดึงตัวนางขึ้น ดูเหมือนมันจะไม่สนใจการต่อสู้รอบข้างและตัดสินใจอยู่คุ้มกันดาฟเน่
ดาฟเน่จ้องมองแผ่นหลังที่มั่นคงของคารัคก่อนจะเริ่มร่ายเวทมนตร์ เป็นเวทมนตร์เฉพาะของเหล่าดรูอิด
และนั่นทำให้อินกองรู้สึกหงุดหงิดพิลึก
‘อะไรเนี่ย? รู้สึกยังกับโดนแย่งซีนยังไงยังงั้นเลย’
อินกองพยายามเข้าปกป้องดาฟเน่ และเขาก็เป็นผู้ขัดขวางการโจมตีครั้งแรกเอาไว้
แต่ว่าสายตานั่น มันอะไรกัน? ไม่ใช่ว่าแววตาคู่นั้นควรจะจดจ้องมาที่อินกองหรอกหรือ?
‘บางที นางอาจไม่ชอบเด็ก?’
ฉัตร14 ดาฟเน่16
หรือว่า เพราะนางกำลังตื่นกลัว?
ทว่าเรื่องที่สำคัญก็คือดาฟเน่ไม่มีประสบการณ์รบ ดาฟเน่ที่อินกองรู้จักไม่มีทางที่จะตื่นตระหนกหวาดกลัวแบบที่เขาเห็นตอนนี้
ช่วงเวลาระหว่างปี 512 และ 513 ปีที่เป็นจุดเริ่มต้นของบทกวีแห่งผู้กล้า ดูเหมือนในระหว่างช่องว่างเวลานี้ จะเกิดอะไรขึ้นหลายอย่างเกินที่อินกองคาดคิด
‘นายท่าน นี่ไม่ใช่เวลามัวคิดเรื่องไร้สาระ! การต่อสู้ยังไม่จบ!’
เสียงกรีนวินด์ดังขึ้นเตือนสติอินกอง เขามองไปรอบตัว เฟโรเชียสอายที่เรืองแสงสีฟ้าพร้อมเซนทอร์กำลังต่อสู้กับเหล่าสัตว์อสูรอย่างห้าวหาญ
เช่นเดียวกับในการปราบกบฏเผ่าสายฟ้าชาด เฟลิซีคอยร่ายเวทมนตร์สนับสนุนควบคุมทิศทางการรบจากแนวหลัง คาเซียสะดุดล้มจากหญ้าที่พันขา เดรคโอเกอร์ตกหลุมกับดักที่โผล่อย่างกระทันหัน
อินกองตัดสินใจเข้าไปสนับสนุนเฟโรเชียสอาย เฟลิซีมีดาเลียคอยคุ้มกันอยู่ไม่ไกลจึงไม่น่าจะมีปัญหา
“คารัค! คุ้มกันดาฟเน่!”
“รับทราบ! ข้าจะคุ้มกันนางเอง!”
ระหว่างที่ดาฟเน่จดจ้องแผ่นหลังของคารัค อินกองก็พุ่งตรงไปยังฝูงคาเซียด้านหน้า กรีนวินด์กระซิบบอกอินกองอีกครั้ง
‘นายท่าน ถึงพลังข้าจะเหลือน้อย แต่ข้าก็จะแสดงให้ดูว่าข้าทำประโยชน์ได้’
ดูเหมือนจะเป็นผลสืบเนื่องมาจากเมื่อสักครู่ นางไม่ต้องการได้ยินอินกองบอก ‘กรีนวินด์พึ่งไม่ได้เอาเสียเลย!’ มีความหดหู่เจอปนอยู่ในเสียงของนางเล็กน้อย แต่อินกองเลือกที่จะไม่สนใจ นั่นก็เพราะศัตรูที่อยู่ตรงหน้าเขา
จำนวนของสัตว์อสูรมีมากเป็นสองเท่าของคณะอินกองได้ แต่ด้วยการคุมสมรภูมิของเฟลิซี และความสามารถของเฟโรเชียสอาย ทำให้การต่อสู้ได้เปรียบอย่างมาก
และเมื่อการต่อสู้จบลง เหล่าคาเซียก็ถูกเก็บกวาดแทบจะหมดสิ้น แต่กลับไม่มีผู้เสียชีวิตในคณะของอินกอง
หลังจากนักรบเซนทอร์สังหารคาเซียตัวสุดท้ายลง อินกองก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ถึงจะเป็นการต่อสู้เวลาอันสั้น แต่เขาใช้สมาธิจดจ่อเป็นอย่างมาก ทำให้จิตใจของเขาอ่อนล้า
ผลจากโลหิตมังกรหมดลง อินกองเก็บพสุธากัมปนาทเข้าช่องเก็บของ ก่อนจะนึกถึงกรีนวินด์ขึ้นมาได้
“ขอบใจมากกรีนวินด์ ช่วยได้มากเลยทีเดียว”
‘ขอบคุณสำหรับคำชมเชย ถึงจะนิสัยไม่ดี แต่นายท่านก็เป็นนายท่านที่ดี’
อินกองหัวเราะหลังจากได้ยินคำพูดของกรีนวินด์ ที่เจือไปด้วยความโล่งอก ความไม่พอใจ และความยินดี อาจเป็นเพราะนางอยู่ตามลำพังมานาน ทำให้นางค่อนข้างจะทะนงตนพอสมควร
หลังคุยกับกรีนวินด์เสร็จ อินกองก็เดินไปหาคารัคและดาฟเน่
“ดาฟเน่ ปลอดภัยใช่ไหม?”
ดาฟเน่ตอบอินกองกลับมาอย่างรวดเร็ว
“หม่อมฉันไม่รับบาดเจ็บแต่อย่างใด ขอบคุณองค์ชายช่วยเหลือ”
เสียงและท่าทางของนางยังคงมีอาการติดขัด ท่าทางผลกระทบจากการศึกยังคงไม่หมดไปจากนาง
“ปลอดภัยก็ดีแล้ว ดาฟเน่ช่วยเราดูแลผู้บาดเจ็บหน่อยจะได้หรือไม่?”
“ค่ะ”
ดาฟเน่วิ่งไปหาเหล่าเซนทอร์ ถึงจะไม่มีผู้เสียชีวิต แต่ก็มีอาการบาดเจ็บที่สามารถถึงชีวิตหากไม่ได้รับการรักษา
หลังจากดาฟเน่ไปหาเซนทอร์ คารัคก็พูดขึ้นเบาเบา
“ข้าไม่เคยรู้ว่านี่เป็นศึกครั้งแรกของนาง”
“ฮะ?”
“สาวน้อยผู้นั้นบอกกับข้า นางตื่นตระหนกตลอดการต่อสู้”
ดาฟเน่อายุ 16 ปี ถึงแม้ทายาทจอมมารส่วนใหญ่จะได้ราบมอบหมายภารกิจตั้งแต่อายุยังน้อย แต่ลูกของนางกำนัลต่างออกไป หากพวกเขาไม่สมัครใจ พวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องทำภารกิจแต่อย่างใด
อินกองมองดูดาฟเน่ร่ายเวทมนตร์รักษาให้เหล่าเซนทอร์ อาการหวาดกลัวยังคงสามารถมองเห็นได้ชัดเจน
“สายตานายเฉียบคมมาก”
“แกต้องหัดสังเกตอะไรให้มากกว่านี้”
คารัคยิ้มออกมาพลางมองอินกองตั้งแต่หัวจรดเท้า ดูเหมือนมันพยายามมองดูว่ามีบาดแผลจากการต่อสู้หรือไม่ ก่อนจะมีเสียงดังแทรกขึ้นมาจากด้านหลัง
“ฉัตร ฉันควรจะอิจฉาดีไหมที่เธอเลือกปกป้องดาฟเน่?”
เจ้าของเสียงก็คือเฟลิซี อินกองยักไหล่ก่อนจะตอบนาง
“เดเลียอยู่ไม่ห่างจากนูนะนี่ครับ”
ทั้งเดเลียและเฟลิซีหัวเราะออกมา ก่อนเฟลิซีจะเคลื่อนตัวเข้ามาใกล้อินกอง
“การโจมตีของเธอดูดีมาก เธอแข่งแกร่งขึ้นมาอีกแล้วสินะ?”
“ขอบคุณครับ”
ระหว่างการเดินทางสามวันที่ผ่านมา อินกองได้เล่าเกี่ยวกับพสุธากัมปนาทให้เฟลิซีฟัง มีความเป็นไปได้สูงที่จะมีการต่อสู้ระหว่างสำรวจทางทิศเหนือ และเขาก็คงไม่สามารถหลีกเลี่ยงการใช้พสุธากัมปนาทออกไปได้
อินกองคิดหาข้ออ้างมากมาย รวมถึงว่าเป็นมรดกตกทอดจากราชินีสมิตา ทว่าท้ายที่สุด เขาก็เลือกที่จะเล่าความจริง รวมไปถึงเรื่องที่มันถูกปลุกเสกด้วยพลังเวทของเอนคิดู
เฟลิซีหงุดหงิดมากในตอนแรก แต่หลังจากเห็นท่าทางขอขมาของอินกอง นางก็ใจอ่อนลง
ซึ่งการกระทำของอินกองไม่ถือเป็นเรื่องแปลกแต่อย่างใด
ในฐานะนักสำรวจโบราณสถาน เฟลิซีก็ได้เดินทางสำรวจหลายที่ และก็ได้แอบเก็บของวิเศษบางส่วนไว้เป็นของตน นางไม่สามารถต่อว่าอินกองได้ในสิ่งที่นางก็กระทำเช่นกัน
อะแฮ่ม คอรัปชั่น อะแฮ่ม
ที่เฟลิซีหงุดหงิดก็เพราะอินกองปิดเรื่องนี้เป็นความลับกับนาง
วังจอมมารแบ่งขั้วอำนาจออกเป็นหลายฝ่าย การปิดบังข้อมูลจากฝ่ายอื่นจึงไม่เป็นเรื่องแปลก
แต่เฟลิซีต้องการมีสัมพันธ์อันดีกับอินกอง นางไม่พอใจที่อินกองทำเหมือนต้องระวังข้อมูลกับนาง
‘รอดตัวไปที่ผ่านไปได้ด้วยดี’
เขาต้องการสร้างพันธมิตรกับเฟลิซีเช่นกัน
ระหว่างที่อินกองพูดคุยกับเฟลิซี คารัคและเดเลียก็พูดหารือกัน ก่อนเฟโรเชียสอายจะเข้ามาใกล้ทั้งสี่
“ฟ้าเก้า ฟ้าหก พยาบาลเสร็จ ควรเคลื่อนทัพ”
ไม่เป็นการดีหากจะอยู่บริเวณเดิมหลังจากถูกศัตรูโจมตี
“ใช่แล้ว เอาแบบนั้นละกัน ขึ้นอยู่แต่ว่าหัวหน้าจะว่ายังไง”
สายตาของเฟโรเชียสอายเปลี่ยนจากเฟลิซีมาที่อินกอง อินกองพยักหน้าก่อนเฟโรเชียสอายจะส่งสัญญาณให้เหล่าเซนทอร์เตรียมเคลื่อนทัพ
หลังจากเดินทางมาได้สามสิบนาที ทั้งหมดก็หยุดตั้งค่ายบริเวณซากปรักหักพังของกำแพงหิน
เป็นธรรมดาว่าทั้งเฟลิซีและอินกองก็อยู่ไม่ไกลจากเฟโรเชียสอาย
“สัตว์อสูรพวกนั้น พวกมันถูกปกคลุมด้วยแสงสีม่วงงั้นรึ?”
“นูนะพอจะรู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ไหมครับ?”
เฟลิซีกอดออกใช้ความคิดก่อนจะตอบกลับมา
“ฉันไม่สามารถตอบได้ทันที… แต่มันให้ความรู้สึกที่ไม่ดีเอาเสียเลย มันรู้สึกเหมือนกับพวกคำสาป”
“คำสาป?”
“ใช่แล้ว คำสาป แสงสีม่วงนั่นทำให้พวกมันแข่งแกร่งขึ้นก็จริง แต่ในขณะเดียวกันก็บั่นทอนพลังชีวิตพวกมัน แถมสภาพจิตใจก็เหมือนถูกครอบงำ ไม่ต่างอะไรจากโดนคำสาป”
แม้แต่เฟลิซีที่ถือว่าเป็นจอมเวทก็ไม่สามารถฟันธงได้ในทันที
อินกองหันไปทางเฟโรเชียสอาย
“เฟโรเชียสอาย ดูเหมือนจะไม่ได้มีแค่พวกที่เข้าโจมตีวัดพวกเดียวซะแล้ว”
“เห็นด้วย ไกสท์ ที่ราบอินคา ไม่มี”
ดูเหมือนพวกนี้จะไม่ใช่กลุ่มเดียวกับพวกที่เข้าจู่โจมวัด บางทีอาจจะมีหัวหน้าสัตว์อสูรที่สามารถควบคุมหมอกควันแสงสีม่วง ในลักษณะเดียวกับมุสตาฟาอยู่อีก
เฟโรเชียสอายหลับตาลงใช้ความคิด
“บางที อีกระลอก”
โดยปกติคาเซียจะบุกเข้าโจมตีแค่ครั้งเดียว หากล้มเหลวพวกมันก็จะหลบหนี แต่ทุกสิ่งดูไม่แน่นอนสำหรับเหตุการณ์ในครั้งนี้
อินกองนึกถึงฝูงคาเซียที่เขาพบในวันแรกที่มาเยือนที่ราบอินคา
บางที มันอาจจะเป็นกลยุทธเพื่อดึงความสนใจเหล่าเซนทอร์ให้มุ่งไปในทิศทางตรงข้าม แทนที่จะมุ่งไปบริเวณวัดทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ
ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ต้องมีผู้บงการอยู่เบื้องหลังมุสตาฟาอีกเป็นแน่
‘แล้วก็อีกอย่าง’
พวกนั้นรู้ความลับเกี่ยวกับวัดนั้นได้อย่างไร? ความลับที่แม้แต่เหล่าเซนทอร์ที่บวงสรวงเทพารักษ์กรีนวินด์ยังไม่รู้
อินกองมีคำถามคาใจอีกมากมาย เฟลิซีกุมขมับก่อนจะถามเฟโรเชียสอาย
“ขึ้นไปสำรวจทางเหนือก็ดีอยู่หรอก แต่เราจะเอายังไงกับความปลอดภัยของเผ่า?”
“บางส่วนกลับ เผ่าอื่น รวมตัว”
หลังจากทั้งหมดจัดการกับเหล่าคาเซียเป็นที่เรียบร้อย เซนทอร์แต่ละเผ่าก็จะแยกย้ายกลับหมู่บ้านเผ่าตน แต่สถานการณ์ในครั้งนี้ไม่เอื้ออำนวย
“งั้นขึ้นเหนือต่อเถอะ เราควรสำรวจอย่างน้อยก็ถึงเขตชายแดน มันต้องมีอะไรบางอย่างแน่ๆ สิ่งที่พวกเราต้องการตอนนี้ก็คือข้อมูล”
เฟลิซีกล่าวออกมา และอินกองก็เห็นด้วย ทั้งหมดไม่มีความคิดที่จะหลบหนีแต่อย่างใด
จุดประสงค์ของอินกองก็คือการค้นหาไวท์อีเกิ้ลทางทิศเหนือ และรวบรวมข้อมูล เขาเงยหน้าขึ้นมาพลางมองไปยังจุดหมายทางเหนือ