“เฟลิซีนูนะ?”

 

“ดีใจที่ได้เจอเธออีกครั้ง ถึงจะเพิ่งผ่านมาไม่กี่วันก็เถอะ”

 

 นับตั้งแต่ที่อินกองออกจากวังจอมมาร เวลาก็ล่วงเลยมาได้เพียงห้าวันเท่านั้น

 

 เฟลิซีเข้ามายังใจกลางวัดบริเวณที่อินกองพักอยู่พร้อมกับเดเลีย ชุดของทั้งคู่ดูโอ่อ่าเหมือนเช่นเคย

 

 อินกองยักไหล่ก่อนจะถามต่อ

 

“ทางวังส่งนูนะมาหรือครับ?”

 

“ถูกต้อง ฉันขออาสามาเอง”

 

 เฟลิซีตอบก่อนจะนั่งลงบนเตียง เดเลียยืนข้างหลังนางเสมือนเงาประจำตัว

 

‘นางตั้งใจสินะ’

 

 ไม่มีข่าวว่าเฟลิซีจะมาเยือนกระทั่งอินกองพบนางด้วยตนเอง แสดงให้เห็นว่าเฟลิซีตั้งใจปิดการมาครั้งนี้ไม่ให้อินกองรับรู้

 

‘แต่เหมือนนางไม่ได้มีเจตนาอะไรร้ายแรง’

 

 ยิ่งเมื่อดูจากสีหน้าของนางแล้ว เหมือนนางต้องการให้อินกองประหลาดใจเสียมากกว่า เนื่องจากอินกองสนิทกับเฟลิซีอยู่พอสมควร การมาเยือนของนางจึงเป็นเรื่องดีสำหรับเขา

 

 แต่ถึงกระนั้น เขาก็ยังมีคำถามคาใจอยู่

 

“แล้วเรื่องทั่งวัชรกรละครับ?”

 

 สาเหตุแรกที่เฟลิซีไปยังเทือกเขาจิชก้าก็เพื่อสำรวจทั่งวัชรกร นางคงไม่กลับวังจอมมารหากไม่ใช่เพราะเรื่องการประชุมสภา

 

 เฟลิซีหัวเราะขึ้นพร้อมกับยกขาขึ้นนั่งไขว่ห้าง

 

“ก็อยากจะไปสำรวจทั่งอยู่หรอกนะ แต่มีใครไม่รู้จบภารกิจไวเกินนี่สิ”

 

 เฟลิซียื่นหน้าเข้ามาใกล้เขา

 

“ใช้เวลาแค่สองวันกว่าเท่านั้น! สองวัน! เธอรู้ไหมว่าแม้แต่คริสต์กับเคทลินก็ยังไม่ได้เดินทางออกจากวัง?”

 

 ปฏิบัติการปราบคาเซียโดยปกติจะใช้เวลาราวสิบห้าวัน ในบางครั้งก็ใช้เวลาเป็นเดือน เนื่องจากพวกเขาต้องตามแกะรอยพวกคาเซีย ที่ไม่รู้จะเคลื่อนที่ไปทิศทางไหน

 

 ทว่าปฏิบัติการในครั้งนี้กลับจบลงในเวลาอันรวดเร็ว จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เมื่อรายงานถูกส่งไปยังทางวังจอมมาร เฟลิซีกับเคทลินก็ยังอยู่ที่วัง

 

‘ก็จริงแฮะ ตอนที่เล่นบทกวีแห่งผู้กล้า กลับวังแต่ละครั้งเราก็มักจะอยู่ที่วังเกือบสัปดาห์ได้’

 

 สิ่งที่ผิดแปลกคือการที่อินกองออกจากวังมาเร็วกว่าปกติเพื่อทำภารกิจ

 

 อินกองพยักหน้าเห็นด้วยกับเฟลิซี ก่อนนางจะลุกขึ้นเดินเข้ามาใกล้เขา

 

”ฉัตร การกระทำของเธอมันเด่นเกินไป”

 

 น้ำเสียงของนางไม่หลงเหลือความขี้เล่นอีกต่อไป มันกลับปนไปด้วยความเป็นห่วง

 

“ถึงภารกิจปราบคาเซียจะไม่ใช่เรื่องที่ยาก แถมยังเป็นภารกิจที่มาประจำปี ก็เลยไม่มีสายตาเพ่งเล็งมากนัก แต่ว่าสองวัน… มันสั้นเกินไป”

 

 ภารกิจแรกแรกมักเป็นที่จับตามองของทุกสายตา ยิ่งไปกว่านั้นปฏิบัติการปราบคาเซียเป็นภารกิจที่มีมานานจนถือเป็นขนบธรรมเนียม เป็นภารกิจที่รู้จักกันแพร่หลาย การที่ภารกิจนี้จบลงในเวลาเพียงสองวันจึงเป็นสิ่งที่สร้างความแปลกใจอย่างมาก

 

“ไหนจะรายละเอียดภารกิจในครั้งนี้ ที่ยังต่างไปจากทุกๆทีอีก มันดึงดูดความสนใจมากเกินไป”

 

 เดรคโอเกอร์ปรากฏตัวขึ้นในฝูงคาเซีย

 

 การเคลื่อนตัวที่เป็นแบบแผน ผิดแปลกไปจากทุกทีของเหล่าคาเซีย

 

 เวทมนตร์ผู้พิทักษ์อันทรงพลังที่ทำงานขึ้นในที่ราบอินคา

 

 สิ่งเหล่านี้เพียงสิ่งเดียวก็สามารถเรียกความสนใจได้อย่างมาก แถมทั้งหมดยังเกิดขึ้นในเวลาเพียงสองวัน

 

 ทั้งหมดเกิดขึ้นในสองวัน แน่นอนว่าสิ่งที่ได้ยิน มีความหมายมากกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นจริงสำหรับสายตารอบข้าง

 

“แค่ในการประชุมสภาที่ผ่านมาไม่นาน เธอก็เป็นที่เพ่งเล็งแล้ว ตอนนี้เธอยังทำอะไรให้เตะตาเพิ่มขึ้นไปอีก พวกขุนนางต่างมองเธอเป็นม้ามืดที่กำลังมาแรง”

 

 รายละเอียดว่าภารกิจใดถูกมอบให้ใคร ทำสำเร็จอย่างไร ไม่ใช่เรื่องที่เป็นความลับ

 

 แต่มีเพียงบางส่วนเท่านั้นที่สามารถเข้าถึงข้อมูลเหล่านี้ได้ โดยปกติผู้เดียวที่รู้ระดับเกียรติยศของอินกองรวมถึงผลงานที่เขาสร้างก็คืออิซเบล

 

 ทว่าสถานการณ์เปลี่ยนอะไรก็เปลี่ยนตาม ในวินาทีที่จอมมารขานชื่อของอินกองออกมา ทั่วทั้งโลกมารก็ได้เปลี่ยนไป ข่าวเรื่องภารกิจแรกของอินกองได้แพร่กระจายไปทั่ว แล้วยังจะข่าวเรื่องภารกิจในครั้งนี้อีก

 

“แล้วตกลง นูนะมาทำอะไรกันแน่ครับ?”

 

 คำถามของอินกองสร้างความเขินอายให้เฟลิซี นางหยิบพัดขึ้นมากางปิดบังใบหน้าพร้อมกับหันไปมองทางอื่น

 

“ก็แค่ ถ้าใครก็ไม่รู้ถูกส่งมา… เธออาจจะไม่ปลอดภัย… ”

 

 สรุปก็คือ นางอาสาสมัครมาเองเพื่อที่จะปกป้องเขา

 

 อินกองรู้สึกประทับใจอย่างมาก เขามองนางด้วยสายตาขอบคุณ และนั่นทำให้เฟลิซีเขินอายยิ่งขึ้นไปกว่าเดิม นางไม่กล้าสบตาพร้อมพยายามหาทางบ่ายเบี่ยง

 

“ไม่ใช่ซะหน่อย ฉันมาเพราะฉันสนใจเวทมนตร์คุ้มกันที่เธอกระตุ้นให้ทำงานในวัดนี้ ไหนจะเรื่องควันสีม่วงที่ควบคุมบงการเหล่าคาเซียอีก… เพราะเรื่องพวกนั้น ฉันสนใจเรื่องพวกนั้นก็เลยอาสามาเองต่างหาก”

 

“ขอบคุณครับ”

 

 อินกองกล่าวขอบคุณจากใจจริง หูของเฟลิซีแดงก่ำก่อนนางจะนั่งลงบนเตียงอีกครั้ง แล้วเปลี่ยนประเด็นการสนทนา

 

“แล้วอัสสุภูติราตรีช่วยเธอได้มากไหม?”

 

“แน่นอนครับ ผมรอดตายมาได้ก็เพราะมัน”

 

 แน่นอนว่าเป็นเรื่องจริงไม่ใช่คำพูดเยินยอแต่อย่างใด ห่างไม่ใช่เพราะอัสสุภูติราตรีป้องกันเสียงคำรามอันเป็นไพ่ตายของมุสตาฟา เขาคงไม่สามารถเรียกคารัคมาช่วยได้ และตายคาคมเคียวอยู่ ณ ตรงนั้นเป็นแน่แท้

 

 คำตอบของเขาสร้างความพึงพอใจให้กับเฟลิซีอย่างมาก

 

“แน่นอน มันเป็นถึงสัญลักษณ์แห่งเอลฟ์รัตติกาล แล้วเธอจะได้เห็นคุณประโยชน์ของมันอีกมากมายในอนาคต”

 

 เฟลิซีหัวเราะอย่างยินดีก่อนจะพูดต่อ

 

“ยังไงก็เถอะ เธอสร้างความดีความชอบเป็นอย่างมากในภารกิจครั้งนี้ ถึงแม้จะเป็นปฏิบัตการปราบคาเซียอย่างทุกที แต่รายละเอียดกลับต่างไปอย่างสิ้นเชิง อิซเบลยังบอกอีกด้วยว่าถ้าวัดแห่งนี้สามารถใช้ปกปักษ์ที่ราบอินคาได้จริงละก็ ความดีความชอบของเธอก็จะเพิ่มมากขึ้นไปอีก”

 

 ด้วยหน้าที่งานของนาง ทำให้อิซเบลมีความสัมพันธ์อันดีกับทายาททั้งหมด และเมื่อกล่าวถึงอิซเบลก็ทำให้อินกองนึกขึ้นมาได้

 วันล้างบางแซเฟียร์ฆ่าญาติพี่น้องทิ้งหมด และสุดท้ายก็แย่งตำแหน่งจอมมารมา แต่ก็ไม่กล้าหือกับอิซเบลนะเอ้อ เก่งกาจน่ากลัวสมกับเป็นปีศาจที่อาวุโ… ฟ่ออออออว์ ฉึก ฉึก ฉึก แครกกกกก
‾͟͟͞(((ꎤ ✧曲✧)̂—̳͟͞͞o (╥﹏╥)尸
 อะแฮ่ม นั่นเพราะ ‘พี่สาว’ อิซเบลเป็นกลางสนิทสนมกับทุกฝ่ายตะหาก

 

“แล้วคริสต์ฮยองกับเคทลินนูนะยังคงสบายดีหรือเปล่าครับ?”

 

“คริสต์ก็เหมือนเคย เคทลินอยากจะมาด้วยนะ แต่นางไม่มีข้ออ้างอะไรสมเหตุสมผลก็เลยมาไม่ได้ ทักคู่ฝากทักทายเธอมาด้วย”

 

 อินกองได้รับคำตอบในทันทีที่ถาม

 

 นั่นทำให้เขาหัวเราะออกมาอย่างขบขัน แต่ไม่ใช่เพราะข่าวที่ได้รับ

 

“ดูเหมือนนูนะจะสนิทกันมากขึ้นนะครับ”

 

 เป็นอะไรที่อินกองไม่คาดคิดว่าจะเกิดขึ้นได้ เมื่อนึกถึงตอนแรกที่พบทั้งหมดในปฏิบัติการปราบกบฏสายฟ้าชาด แม้เฟลิซีกับคริสต์จะยังดูห่างเหิน แต่เหมือนนางจะสนิทกับเคทลินขึ้นมากทีเดียว

 

 เฟลิซีรีบลุกขึ้นบอกปัดอย่างเขินอาย

 

“ยังไงก็เถอะ ทั้งคู่เตรียมตัวเดินทางกลับดินแดนของไลแคนโทรปแล้ว ทั้งคู่น่าจะออกจากวังจอมมารในวันพรุ่งนี้ไม่ก็มะรืน”

 

 อินกองผงกหัวรับ

 

‘ก็ช่วยไม่ได้ละนะ’

 

 กว่าเขาจะมีโอกาสพบทั้งคู่ก็คงอีกหลายเดือน

 

 ความผิดหวังเผยให้เห็นขึ้นบนในหน้าของเขา นั่นทำให้เฟลิซีโพล่งขึ้นมาราวกับต้องการปลอบโยน

 

“บางทีเราควรจบการพูดคุยไว้แค่นี้ แล้วพูดคุยกับใครก็ตามที่รออยู่ดีไหม?”

 

 อินกองกระพริบตาอย่างงงงวย เดเลียที่อยู่ด้านข้างเฟลิซียิ้มขึ้น ซึ่งแน่นอนว่าเฟลิซีไม่ได้หมายถึงเจ้าออร์คคารัค

 

 เนื่องจากทั้งคารัคและเดเลียถือเป็นองครักษ์ส่วนตัวของทั้งคู่ ทั้งสองย่อมเก็บเรื่องการสนทนาของเจ้านายเป็นความลับ และคอยจัดการเรื่องปลีกย่อยเล็กน้อย

 

 อินกองคิดได้ในที่สุดก่อนจะหันไปหาคารัค

 

“คารัค”

 

“รับทราบ”

 

 คารัคเปิดประตูออกไปพาผู้ที่รออยู่ด้านนอกเข้ามา นั่นก็คือเฟโรเชียสอาย

 

“ฟ้าหก เฟลิซี ดูมเบลด นานแล้ว”

 

“ถูกต้อง เราไม่ได้เจอกันนาน”

 

 ทั้งสองเคยพบกันในปฏิบัติการปราบคาเซียในอดีต อินกองรับรู้ถึงความสนิทสนมของทั้งคู่ได้เลือนลาง

 

‘ดูเหมือนเฟโรเชียสอายจะสนิทได้ไม่ยาก ยกเว้นกับแค่แซเฟียร์สินะ’

 

 ระหว่างที่อินกองกำลังใช้ความคิดก็มีแขกอีกนางหนึ่งเดินเข้ามา ใบหน้าของนางทำให้เขาตาโตขึ้นในทันที

 

‘ดาฟเน่?’

 

 นางไม้ดาฟเน่ หนึ่งในบุตรีจากนางกำนัลของจอมมาร

 

 นางเป็นสาวงามผิวสีเขียวผมน้ำเงิน ราวกับหลุดออกมาจากภาพวาด

 

 เฟลิซีแนะนำดาฟเน่ให้ทำความรู้จักกับอินกอง

 

“ไม่รู้ว่าทั้งคู่เคยพบกันหรือยัง? นี่คือดาฟเน่ บุตรีของนางสนมลำดับที่ห้า”

 แค่ก แค่ก ไม่รู้จะใช้คำว่าอะไรดี คิดว่าออกแนวๆของจีนที่มียศเป็นขั้นๆ แบบหวงโห้ว กุ้ยเฟย เต๋อเฟย บลา บลา บลา ซึ่งแต่ละขั้นยศมีกี่คนอันนี้ไม่รู้ละเอียด ชื่อก็พอจำได้แค่ลางๆ แล้วนี่เป็นแบบยศลำดับที่ห้า ไม่ใช่คนที่ห้านะ ภาษาไทยไม่รู้ใช้คำว่าอะไร ครั้นจะทับศัพท์ไปก็คงมีงง เลยใช้คำว่าสนมแทนไปก่อน

 

 เมื่อนับยศจากทางฝั่งแม่แล้ว ทำให้ฉัตรและเฟลิซีมีศักดิ์สูงกว่าดาฟเน่

 

“เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้พบองค์ชายเก้า หม่อมฉันมีนามว่าดาฟเน่ บุตรีแห่งอิโค สนมลำดับที่ห้า ”

 

“ยินดีที่ได้รู้จัก เราคือฉัตร”

 

 อินกองรับคำกล่าวแนะนำตัวของดาฟเน่ ท่าทางของนางแสดงให้เห็นว่าไม่เคยรู้จักกับฉัตรมาก่อน ซึ่งนั่นนับว่าเป็นเรื่องดีสำหรับอินกอง

 

 เฟลิซีพูดขึ้นต่อ

 

“เพราะงานในครั้งนี้เกี่ยวข้องกับเทพารักษ์ ด้วยความที่ดาฟเน่เป็นดรูอิดที่เก่งกาจ นางต้องช่วยเหลือได้มากแน่นอน”

 

‘ใช่แล้ว นางเป็นดรูอิดที่เยี่ยมมาก’

 

 ในบรรดาลูกของนางกำนัล ด้วยความสามารถของนาง นางถือเป็นหนึ่งในสามอันดับแรกของบุคคลที่เขาต้องการตัว

 

 ดาฟเน่เงยหน้าขึ้นถามอย่างนิ่มนวล

 

“หม่อมฉันได้ยินมาว่าองค์ชายทรงพบกับเทพารักษ์กรีนวินด์”

 

“ใช่แล้ว เราได้ยินเสียงของนาง นางยังช่วยเหลือเราในการรบด้วย”

 

 ความจริงที่นอกเหนือจากนั้นก็คือ อินกองได้เข้าควบคุมกรีนวินด์ในเวลาต่อมา

 

 ดาฟเน่ตื่นเต้นกับคำตอบรับจากอินกอง นางเคลื่อนตัวเข้าใกล้แล้วพูดขึ้นต่อ

 

“กรีนวินด์เฝ้าอารักขาที่ราบอินคามาร่วมพันปีแต่ก็ไม่มีผู้ใดพบเห็นนาง แม้แต่ในบรรดาเหล่าเซนทอร์ ไม่ใช่ว่าการได้ยินเสียงนางก็ถือเป็นปาฏิหาริย์?”

 

 ดาฟเน่หันไปถามเฟโรเชียสอายผ่านทางสายตา ซึ่งแน่นอนว่าเขาก็พยักหน้ารับ

 

“แทบไม่เคย เสียงกรีนวินด์ ร่วมทศวรรษได้?”

 

 แต่อินกองกลับได้พบกับกรีนวินด์ และก็เป็นเพียงแค่หนึ่งวันหลังจากที่เขามาสู่ที่ราบอินคาเท่านั้น เขาทำลายสถิติของเหล่าเซนทอร์และเซเทอร์อย่างราบคาบ

 

“ยอดมาก”

 

“ใช่ เยี่ยม”

 

 เฟลิซีกล่าวอย่างชื่นชม และเฟโรเชียสอายก็เห็นด้วย ห่างออกไปเป็นร่างของเซเทอร์นามว่ากัมมะ แม้นางจะไม่ได้ปริปากอะไร แต่แววตาอันเป็นประกายของนางก็บอกได้ชัดเจน

 

‘เพราะอย่างนั้น นายท่านช่วยเอ็นดูข้าให้มากกว่านี้ด้วย’

 

 เสียงกระซิบของกรีนวินด์ดังขึ้นที่หูของอินกอง และแน่นอนว่านอกจากเขาแล้วก็ไม่มีผู้ใดได้ยิน

 

 อินกองทำเป็นไม่ได้ยินเสียงนาง ก่อนเฟลิซีจะเปลี่ยนหัวข้อการสนทนา

 

“งั้นฉัตร ต่อจากนี้เธอคิดจะทำอะไร? ภารกิจนี้จบไวเกิน การจะกลับวังไปตอนนี้ก็ไม่ใช่เรื่องที่ดีแน่ ถ้าจะขยายรายละเอียดภารกิจเพิ่มก็ไม่มีปัญหาอะไร”

 

 อินกองเข้าใจสิ่งที่เฟลิซีต้องการจะสื่อได้ชัดเจน

 

“ยังมีพวกคาเซียหลงเหลืออยู่ และกรีนวินด์ก็ต้องการจัดการพวกมันให้หมด”

 

‘ข้าไม่เคยกล่าวเช่นนั้นนะนายท่าน’

 

 กรีนวินด์พูดขึ้นมาอีกครั้ง และเหมือนนางจะไม่พอใจที่อินกองทำเป็นไม่ได้ยินนางในครั้งแรก เสียงของนางในครั้งนี้สามารถรับรู้ได้โดยทั่ว โดยเฉพาะเฟโรเชียสอาย เขามีอาการตกใจอย่างชัดเจน

 

“นี่มัน… กรีนวินด์?”

 

“ใช่แล้ว นางก็แค่เกรงใจ”

 

 ตอนแรกอินกองเพียงแค่ต้องการใช่เรื่องการเก็บกวาดเป็นแค่ข้ออ้างในการสำรวจทางทิศเหนือ แต่ในวันที่ผ่านมาทำให้เขาเปลี่ยนใจ

 

 ไวท์อีเกิ้ล(โล่ชีวาตม์)ยังคงเป็นจุดประสงค์หลัก แต่การสำรวจทิศเหนือก็เริ่มจะเป็นหนึ่งในจุดประสงค์ ไม่ใช่แค่ข้ออ้างอีกต่อไป

 

 อย่างที่เฟลิซีทักขึ้นมา หลายสิ่งที่เกิดในภารกิจครั้งนี้ผิดแปลกออกไปมาก บางทีอาจมีเหตุการณ์บางอย่างกำลังเกิดขึ้นในทางทิศเหนือนอกเขตปกครองจอมมาร

 

 ยิ่งเมื่ออินกองคิดถึงที่ราบอินคาและทุกชีวิตที่อาศัยอยู่ด้วยแล้ว การสำรวจทางทิศเหนือดูเป็นสิ่งที่ไม่สามารถเลี่ยงได้

 

‘แน่นอน ว่านี่ต้องเป็นความดีความชอบเพิ่มเติม’

 

 นอกเหนือจากนี้ อินกองยังมีข้อสงสัยคาใจอยู่ด้วย เพราะการปรากฏตัวของเดรคโอเกอร์ในที่ราบอินคาเป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นในบทกวีแห่งผู้กล้า

 

“ไปด้วย”

 

“เฟโรเชียสอาย?”

 

 หัวหน้าเซนทอร์มองไปโดยรอบก่อนจะหยุดที่อินกอง

 

“ที่ราบอินคา ฟ้าเก้าปกป้อง อนาคต ไม่แน่นอน ข้าไปด้วย เผ่าสบายใจ”

 หงุดหงิดไหม? แน่นอน คนแปลนี่ อ่านแล้วอ่านอีกกว่าจะเข้าใจว่าพี่แกต้องการจะสื่ออะไร แล้วก็ต้องแปลให้คนอ่านอ่านทีแรกไม่เข้าใจ ต้องอ่านวนไปมาก่อนถึงจะเข้าใจ เดี๋ยวไม่เห็นภาพ ฮาาาาา

 

 ฟังแล้วก็มีเหตุผล เฟลิซีระเบิดหัวเราะออกมาก่อนจะตอบเห็นด้วย

 

“ถ้าอย่างนั้นก็เป็นอันตกลง ฉันจะไปด้วย”

 

“ฟ้าหก?”

 

 เฟลิซีขยิบตาให้เฟโรเชียสอายก่อนจะพูดกับอินกอง

 

“ฉันบอกไปแล้วไม่ใช่รึ? ว่าที่ฉันมาก็เพื่อศึกษาสาเหตุที่เหล่าคาเซียมีพฤติกรรมเปลี่ยนแปลงไป แน่นอนว่าศึกษาจากตัวที่ยังเป็นๆย่อมได้ผลดีกว่าตัวที่ตายแล้ว เห็นด้วยไหม?”

 

 นั่นก็มีเหตุผลอีกเช่นกัน และก็เป็นสิ่งที่เขาคาดคิดนับตั้งแต่ที่เห็นนางปรากฏตัว เพิ่มด้วยข้ออ้างของอินกองที่ว่าเป็นความต้องการของกรีนวินด์ ทำให้การสำรวจทิศเหนือดูจะสามารถทำได้โดยชอบธรรม

 

“เช่นนั้นหม่อมฉันจะติดตามไปด้วย”

 

 ดาฟเน่มองไปยังเฟลิซีและอินกองอย่างลังเล ก่อนอินกองจะตอบรับนาง

 

“เราขอฝากด้วย”

 

 ดาฟเน่ยิ้มออกมาอย่างยินดี

 

“ขอบพระคุณ หม่อมฉันจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อองค์หญิงองค์ชายทั้งสอง”

 

‘ใช่แล้ว เราไม่พลาดโอกาสที่จะทำความสนิทสนมกับนางแน่นอน วะ ฮะ ฮะ ฮ่า’

 

 อินกองหัวเราะขึ้นมาในใจก่อนจะหันไปทางเฟลิซี นางยักไหล่ก่อนจะตอบกลับมา

 

“ถึงฉันจะเป็นพี่เธอ แต่ภารกิจในครั้งนี้เธอเป็นแกนนำ ฉะนั้นดูแลฉันให้ดีด้วย”

 

“แน่นอนครับ ผมขอฝากตัวด้วยเช่นกัน”

 

 เฟโรเชียสอายมองยังทั้งคู่ก่อนจะเอ่ยถามออกมา

 

“ฟ้าเก้า เมื่อไร?”

 

“ไม่มีความจำเป็นที่พวกเราต้องเร่งรีบ เข้านอนกันให้พร้อมแล้วค่อยเริ่มออกเดินทางวันรุ่งขึ้นน่าจะดีที่สุด”

 

 เนื่องจากเป็นการสำรวจ เขาจึงไม่คิดจะนำกำลังพลไปมากเกินความจำเป็น เฟโรเชียสอายพยักหน้าเข้าใจในความคิด

 

“รับทราบ เตรียมทัพ คัดเลือกนักรบ”

 

“ถ้าอย่างนั้น วันนี้ฉันจะสำรวจวัดกับดาฟเน่”

 

 เฟลิซีกล่าวขึ้นมาทิ้งท้าย แล้วทั้งหมดก็แยกย้ายกันทำตามหน้าที่ของตน

 

 หลังจากการหารือเสร็จสิ้น เหล่าเซเทอร์และเซนทอร์ก็ทราบข่าว ทั้งหมดพึงพอใจมากที่เจ้าชายฉัตรกับเฟโรเชียสอายจะเดินทางไปสำรวจทางทิศเหนือ นอกจากนี้การที่เจ้าหญิงเฟลิซีมาด้วย แสดงให้เห็นว่าทางวังจอมมารให้ความสำคัญกับที่ราบอินคาแห่งนี้

 

 และเมื่อถึงวันเดินทาง…

 

 มีหนึ่งชีวิตที่ไม่รู้สึกยินดีกับการเดินทางสำรวจเอาเสียเลย

 

“เป็นอะไรหรือเปล่าคารัค?”

 

 อินกองถามเจ้าออร์คโดยมีเฟโรเชียสอายและเซนทอร์อีกยี่สิบชีวิตอยู่ด้านหลัง

 

 คารัคโอดครวญเบาเบา

 

“ข้ารู้สึกไม่ดี… ราวกับต้องมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นแน่… ไม่หรอก… น่าจะแค่คิดไปเอง เดินทางกันเถอะ”

 

 แล้วคารัคก็ปิดปากมองตรงไปยังด้านหน้า และในเวลาเที่ยงของอีกสามวันถัดมา

 

&

 

“นี่มัน-! คารัค ทำไมนายต้องพูดเป็นลางด้วยเนี่ยยยย?”

 

“แกถามข้าเองนะ!”