อินกองเบิกตารับวันใหม่อย่างเชื่องช้า เขายังคงงัวเงียจากห้วงนิทรา

 

“องค์ชาย แกตื่นหรือยัง?”

 

 บางสิ่งสีเขียวเข้าสู่สายตาของเขา แต่นั่นไม่ใช่เส้นผมของกรีนวินด์ ยิ่งไปกว่านั้นเสียงที่ดังขึ้นก็หยาบกระด้างเกินกว่าจะเป็นเสียงของนาง

 

“เอ่อ… คารัค?”

 

 สิ่งแรกที่ปรากฏต่อหน้าอินกองหลังจากตื่นนอนก็คือร่างกายอันกำยำของเจ้าออร์ค มันยื่นมือส่งกระป๋องน้ำมาให้เขา

 

“นี่ เอาไปล้างหน้าล้างตาซะ”

 

 เป็นปกติไม่ต่างจากทุกวัน น้ำอันเย็นเฉียบชะล้างอาการสลึมสลือของอินกองในทันที

 

“เกือบเที่ยงเลยหรอเนี่ย”

 

 นาฬิกาบริเวณแผนที่ย่อบ่งบอกเวลา 11:20 a.m. ถือว่าแปลกเนืองจากปกติอินกองไม่เคยตื่นสายขนาดนี้

 

 แม้แต่แววตาของคารัคที่จ้องมายังเขาก็ผิดแปลกจากทุกที

 

“อะไร? หรือว่ามีอะไรติดที่หน้าผม?”

 

 คารัคเกาคางเบาเบาพลางพึมพัมออกมา

 

“แปลกสุดๆ ปกติคนเราตื่นมามันรู้เวลาทันทีเลยได้ไง?”

 

“เอาเป็นว่าผมรู้แล้วกัน”

 

 อินกองไม่จำเป็นจะต้องอธิบายทุกสิ่งที่เจ้าออร์คสงสัย และคารัคก็ทำตัวเป็นลูกน้องที่ดี มันเก็บกระป๋องน้ำกลับไปโดยไม่ถามอะไรเพิ่มเติม

 

“แล้วคนอื่นๆละ?”

 

 อินกองถามเพิ่มระหว่างเอาผ้ามาเช็ดใบหน้าที่เปียกน้ำ

 

“ทั้งหมดทำงานกันอยู่ด้านนอก นี่ก็ใกล้จะเที่ยงแล้ว องค์ชายก็น่าจะออกไปได้แล้วนะ?”

 

“เอาอย่างนั้นละกัน เดี๋ยวผมออกไปเดินเตร็ดเตร่เล่น”

 

 อินกองหวีผมแต่งตัวให้เรียบร้อยก่อนจะออกไปหน้าวัด

 

“ใต้ฝ่าพระบาทเพคะ”

 

“อืม สวัสดีตอนเที่ยง กัมมะ”

 

 กัมมะขบริมฝีปากตัวเองเพื่อพยายามระงับความขบขันหลังจากได้ยิน ‘สวัสดีตอนเที่ยง’ แทนที่จะเป็น ‘อรุณสวัสดิ์’ นางพยายามแสดงความเคารพอินกองในแบบฉบับของนางเอง

 

 อินกองเดินดูรอบบริเวณพร้อมคารัคและกัมมะ เหล่าเซนทอร์และเซเทอร์ต่างยุ่งวุ่นวายทำงานของตน

 

 ซึ่งงานส่วนใหญ่ก็คงไม่พ้นการชำแหละซากศพสัตว์อสูร

 

 สถานที่แห่งนี้เพิ่งจะผ่านการเป็นสมรภูมิมาในวันวาน แม้จะมีการจัดพิธีศพให้เหล่าพวกพ้องที่ล้มตายไปแล้ว แต่ซากศพเหล่าคาเซียและเดรคโอเกอร์ยังคงกองอยู่มากมาย

 

 โดยปกติแล้ว ซากเหล่านี้จะถูกทิ้งไว้ให้ย่อยสลายเป็นอาหารของสัตว์อื่นตามธรรมชาติ แต่เพราะบริเวณนี้คือวัดอันเป็นที่สิงสถิตของกรีนวินด์ ทำให้ซากเหล่านี้ต้องถูกกำจัดออกไปอย่างรวดเร็ว

 

 คาเซียถูกแปรสถาพเป็น หนัง เนื้อ กระดูก เขี้ยวเล็บ ส่วนเดรคโอเกอร์ถูกเผาและฝังดินเนื่่องจากพวกเซนทอร์ไม่รู้วิธีในการชำแหละพวกมัน

 

 อินกองมองไปยังอีกฟากหนึ่งของวัด กลุ่มก้อนสีเขียวตั้งตระหง่านขัดกับที่ราบสุดลูกหูลูกตา

 

 พวกทรีเอนท์ฝังรากยืนต้นอาบแดด ไม่ต่างจากต้นไม่ทั่วไป ราวกับการเคลื่อนไหวต่อสู้เมื่อวานเป็นเรื่องโกหก

 

‘แต่ก็เห็นชัดเจน’

 

 มีป่าขนาดย่อมปรากฎอย่างกระทันหันท่ามกลางทุ่งหญ้า

 

 หลังจากเดินดูสักพัก อินกองก็ตัดสินใจไปพบเฟโรเชียสอายเพื่อหารือกำหนดการเพิ่มเติม

 

 ทว่าอินกองไม่ใช่ผู้เดียวที่คิดเช่นนั้น มีเสียงดังแทรกขึ้นมาในหัวของเขา

 

‘นายท่าน’

 

“กรีนวินด์! ร่างกายไม่มีปัญหาอะไรนะ?”

 

 อินกองเงยหน้าขึ้นมองถาม แม้จะไม่มีร่างกายของกรีนวินด์ปรากฎขึ้นอย่างทุกที แต่เสียงของนางก็ดูสดใสไม่มีอาการเหนื่อยล้าแต่อย่างใด

 

“ไม่มีปัญหา ข้าขออภัยที่การสนทนาเมื่อวานจบลงอย่างกระทันหัน”

 

 กรีนวินด์หมดสติ และร่างกายของนางคืนสภาพกลับเป็นสายลม นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อวาน

 

 แม้อินกองจะยังสัมผัสถึงกรีนวินด์ได้ผ่านพลังแห่งอาณัติ แต่การได้ยินเสียงของนางอีกครั้งก็ทำให้เขามั่นใจได้มากขึ้น

 

“ไม่เป็นปัญหา ว่าแต่กรีนวินด์จำเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานได้ใช่ไหม?”

 

“ข้าจำได้ว่ากำลังพูดถึงพลังแห่งอาณัติของนายท่าน แล้วก็ไม่รู้ด้วยเหตุผลอะไร… เศษเสี้ยวแห่งอันเคลที่ยังหลงเหลืออยู่ในตัวข้า ตื่นขึ้นมายึดครองสติไป’

 

“แล้วในตอนนี้ละ?”

 

“ข้ารู้สึกว่าเศษเสี้ยวนั้นได้กลับหลับไหลไปแล้ว”

 

 ถ้อยคำของกรีนวินด์แฝงด้วยความโหยหา เหมือนนางจะคิดถึงอันเคลอยู่มากทีเดียว

 

 อินกองผงกหัวก่อนใช้ความคิด

 

‘ดูเหมือนถามเรื่องเกี่ยวกับอาณัติตอนนี้จะไม่มีประโยชน์’

 

 แน่นอนว่าหัวข้อเกี่ยวกับพลังแห่งอาณัติคือสิ่งที่กระตุ้นให้อันเคลในตัวกรีนวินด์ตื่นขึ้นมาเมื่อคืนวาน แต่มีความเป็นไปได้น้อยที่สิ่งนั้นจะเกิดขึ้นอีกครั้ง

 

‘ดวงชะตาราชันย์… แล้วก็อาชาแห่งอาณัติ’

 

 ถึงจะเพียงน้อยนิดแต่ก็ถือว่าไม่เสียเปล่า ดูเหมือนจะมีความเชื่อมโยงบางอย่างระหว่างอาณัติกับมังกรบรรพกาล และนั่นทำให้อันเคลตื่นขึ้นมา

 

‘สงสัยต้องไปค้นหอสมุดที่วังจอมมารอย่างจริงจังซะแล้ว’

 

 น่าเสียดายที่ระดับเกียรติยศของฉัตรยังไม่สูงพอเข้าใช้หอสมุด

 

‘แต่รีบมากไปเดี๋ยวงานใหญ่ก็จะเสีย’

 

 สิ่งสำคัญอันดับแรกของเขาในตอนนี้ ก็คือยับยั้งเหตุการณ์วันล้างบางที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้

 

 สิ่งนั้นยังคงไม่เปลี่ยนแปลง

 

 อินกองจัดระเบียบความคิดแล้วมองท้องฟ้า ก่อนกรีนวินด์จะทักขึ้นมาอีกครั้ง

 

‘ข้ามีเรื่องเล่าต้องการจะบอกนายท่าน ขอท่านมาพบข้าที่วัดได้หรอไม่?’

 

“เข้าใจละ งั้นเดี๋ยวผมไปหา”

 

‘แล้วข้าจะรอคอย’

 

 เสียงของกรีนวินด์เงียบหายไป แม้แต่สายลมรอบตัวเขาก็สงบนิ่งลง อินกองรู้สึกแปลกก่อนจะหันหลังไปพบดวงตาอันเปล่งประกายของกัมมะ

 

“ใต้ฝ่าพระบาทเพคะ หรือว่าเมื่อสักครู่ใต้ฝ่าพระบาทจะทรงสนทนากับองค์กรีนวินด์?”

 

 กัมมะเอ่ยถามออกมาพร้อมขยับเข้าใกล้อินกองด้วยความตื่นเต้น อินกองรีบยกมือแตะบ่าของกัมมะไว้ เพื่อให้นางระงับสติลง

 

“อ่า ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรหรอก”

 

“สุดยอดดดด… ยังเด็กอยู่แท้ๆ แต่ก็พูดคุยกับองค์กรีนวินด์ได้อย่างง่ายดาย… พระอาญามิพ้นเกล้า ข้าพระพุทธเจ้ามั่นใจว่าหากใต้ฝ่าพระบาททรงศึกษาวิชาดรูอิด ใต้ฝ่าพระบาทจะทรงมีชื่อเสียงเกรียงไกรแน่นอนเพคะ”

 

 กัมมะคุกเข่าลงอย่างเคารพด้วยแววตาอันเจิดจรัส สร้างความกดดันให้กับอินกองไม่น้อย อินกองทนรับสายตาชื่นชมไม่ไหวก่อนจะเบือนหน้าหันไปทางคารัค

 

“ค่อยยังชั่ว ข้าคิดว่าการรบเมื่อวานทำให้องค์ชายเป็นบ้าไปแล้วซะอีก”

 

“ผมเป็น”

 

 อินกองยักไหล่ก่อนเจ้าออร์คจะระเบิดเสียงหัวเราะออกมา กัมมะชำเลืองตามองไปมาระหว่างทั้งคู่

 

“เอาเป็นว่า ผมมีธุระต้องกลับไปทำในวัด”

 

 กัมมะรีบยกมือขึ้นถาม

 

“ข้าพระพุทธเจ้าสามารถติดตามใต้ฝ่าพระบาทไปด้วยได้หรือไม่เพคะ?”

 

 นางตัวสั่นด้วยความตื่นเต้นที่จะได้พบกับกรีนวินด์ อินกองสายหน้าบอกปัดนางอย่างเลี่ยงไม่ได้

 

“ขอโทษด้วย แต่เหมือนกรีนวินด์ต้องการจะหารืออะไรบางอย่างกับผม”

 

“รับทราบเพคะ เช่นนั้นข้าพระพุทธเจ้าจะคอยเฝ้าคุ้มกันอยู่ที่ด้านหน้าวัดเพคะ”

 

 แม้กัมมะจะตอบรับอย่างแข็งขัน แต่ความผิดหวังของนางก็สามารถรับรู้ผ่านถ้อยคำได้อย่างชัดเจน คารัคที่มองอยู่ด้านข้างพูดตัดบทขึ้นมา

 

“ถ้าอย่างนั้น ข้าจะไปหารือกับเฟโรเชียสอายให้แทนองค์ชายแล้วกัน มีหลายเรื่องที่ต้องรายงานต่อทางวังหลวง”

 

 ไม่ว่าจะในปฏิบัติการปราบกบฏหรือตอนนี้ คารัคคอยจัดการเรื่องยิบย่อยให้กับอินกองโดยตลอด อินกอชูนิ้วโป้งขึ้นให้กับองครักษ์สารพัดประโยชน์ของเขา

 

“นายมันสุดยอดที่สุด กลับวังแล้วรอรับรางวัลได้เลย”

 

“โฮ่ แล้วข้าจะเฝ้ารอ”

 

 คารัคหัวเราะออกมาก่อนจะแยกตัวไปทางกระโจมของเฟโรเชียสอาย กัมมะมองตามแผ่นหลังของมันอย่างอิจฉา

 

‘นางอิจฉาเรื่องรางวัล หรือว่าเรื่องกลับวังกันแน่นี่?’

 

 อินกองอดไม่ได้ที่จะนึกถึงสภาพตอนเมาของนางเมื่อเฉลิมฉลอง

 

‘เอาเถอะ ยังไงถ้าเลือกได้เราก็เลือกนางเป็นผู้ติดตามแน่นอน’

 

 ถึงจะน่าเสียดาย แต่การสัมภาษณ์กัมมะต้องถูกเลื่อนออกไปทีหลัง เรื่องกรีนวินด์ต้องมาก่อน

 

“นายท่าน”

 

 อินกองเข้ามาด้านในของวัดเพียงผู้เดียวโดยมีกัมมะเฝ้ายามให้ที่หน้าประตูวัด ภาพตรงหน้าที่เขาเห็น คือร่างของกรีนวินด์นั่งอยู่บนกิ่งไม้ของต้นไม้ใหญ่ด้วยเรือนร่างที่โปร่งใส ให้ความรู้สึกสมกับเป็นเทพารักษ์ที่เหล่าลูกหลานแห่งที่ราบเคารพบูชา

 

“เอ่อ ถ้าลำบากไว้ทีหลังก็ได้นะ?”

 

 อินกองเอ่ยขึ้นพลางเคลื่อนที่เข้าใกล้ต้นไม้ใหญ่ กรีนวินด์ส่ายหน้าของนางเบาเบา

 

“มันมิใช่เช่นนั้น ที่ข้าดูเปราะบางเป็นเพราะข้าต้องการเก็บพลังเอาไว้ ข้าจะเริ่มสร้างตัวแทนหลังการสนทนากับนายท่านเสร็จสิ้น”

 

“ถ้าอย่างนั้นผมก็โล่งอก”

 

 อินกองถอนหายใจออกมาพร้อมกับนั่งลงที่เตียงของเขา

 

 กรีนวินด์ย้ายที่เพื่อให้สะดวกแก่การพูดคุยก่อนจะเริ่มอธิบาย

 

“แต่เดิมทีนี่ควรจะเป็นเพียงชั่วคราว แต่ในเมื่อพันธะวิญญาณนี้กลายเป็นพันธะถาวร ข้าก็มีเรื่องจะบอกนายท่านเพิ่มเติมจากเรื่องที่ท่านถามเมื่อวาน”

 

“เอ่อ… เรื่องที่รวบรวมพลังของมังกรบรรพกาลทั้งหกหรือเปล่า?”

 

“ถูกต้องแล้ว นี่เป็นเรื่องที่ข้าไม่มีโอกาสได้บอกท่านเมื่อวาน”

 

 กรีนวินด์เหาะลอยตัวขึ้นกลางอากาศ ก่อนแผนที่ที่ราบอินคาขนาดยักษ์จะถูกสร้างขึ้นตรงหน้านาง

 

“สุดขอบทิศเหนือของที่ราบอินคา นั่นคือที่หลับไหลของสิ่งวิเศษแห่งพยานอันเคล”

 

 แสงรวมตัวกันเป็นรูปร่างส่องประกายขึ้น ด้วยรูปร่างที่ชัดเจนทำให้อินกองมองออกในทันที

 

“โล่?”

 

“ถูกต้องแล้ว สิ่งนี้คือโล่ชีวาตม์ของพยานอันเคล เช่นเดียวกับพสุธากัมปนาท โล่ชีวาตม์นี้ถูกปลุกเสกด้วยพลังเวทของพญามังกร”

 

 มันเป็นโล่ทรงสีเหลี่ยมขนมเปียกปูน มีอัญมณีสีเขียวอยู่ตรงกลางแผ่นโลหะสีเทาวาว มุมขอบทั้งสี่เคลือบไว้ด้วยโลหะขาวที่มีขอบคม

 

 กรีนวินด์ปัดแผนที่และโล่ออกไปก่อนจะเริ่มเล่านิทาน

 

“นี่เป็นเรื่องราวที่เก่ากว่าพันปีมาแล้ว พยานอันเคลได้มอบโล่ชีวาตม์ให้กับนักรบผู้ทรงคุณธรรมที่สุดของเผ่าเซนทอร์ ผู้กล้าตนนี้นำทัพพวกพ้องเซนทอร์เอาชัยต่อศัตรูนับไม่ถ้วน แม้เขาจะไม่เจนศึกมากที่สุด แต่โล่ชีวาตม์ทำให้เขารอดจากทุกการต่อสู้มาอย่างไร้บาดแผล ทว่าเขาไม่ได้สวมโล่ของเขายามนอน เขาถูกสังหารระหว่างหลับโดยสตรีนางหนึ่งที่ต้องการโล่”

 

 อินกองคิดว่านี่จะเป็นเรื่องเล่ามหากาพย์วีรชน เขาไม่คิดว่ามันจะมีจุดจบที่หักมุมเช่นนี้ กรีนวินด์ไม่สนใจอินกองและยังคงเล่าเรื่องของนางต่อ

 

“แต่โล่ชีวาตม์เป็นสิ่งวิเศษที่มิใช่ใครจะสามารถใช้ได้ นอกจากผู้กล้าที่อันเคลมอนโล่ให้แล้ว ไม่มีผู้ใดสามารถดึงพลังของมันออกมา หรือเคลื่อนย้ายมันได้”

 

 อินกองพยักหน้า เหมือนกับที่พสุธากัมปนาทถูกเหล่าดวอฟทิ้งเอาไว้ในวิหาร เนื่องจากไม่ได้รับการยินยอมให้เคลื่อนย้าย

 

 พวกเซนทอร์ในนิทานนี้ก็ไม่ได้ต่างออกไป

 

“เหล่าทหารที่จงรักภักดีจึงตัดสินใจฝั่งโล่ชีวาตม์ไปพร้อมกับผู้กล้าที่หลุมศพทางทิศเหนือ และเมื่อกาลเวลาได้ล่วงเลยมานับพันปี เรื่องนี้ก็กลายเป็นตำนานเล่าขานในหมู่เซนทอร์ เหล่าเซนทอร์เรียกโล่วิเศษชิ้นนี้ด้วยชื่อผู้กล้าของพวกเขา ซึ่งก็กลายเป็นชื่อใหม่ของสิ่งวิเศษชิ้นนี้ ไวท์อีเกิ้ล”

 

 หลังจากเล่านิทานจบ กรีนวินด์ก็หันมามองอินกอง

 

“นิทานของข้าเป็นประโยชน์มากใช่ไหมนายท่าน? ชื่นชมข้าเถิด ข้าพร้อมรับคำชมแล้ว”

 

 กรีนวินด์เท้าเอวแอ่นอกยิ้มร่า

 

 ทว่าไม่มีเสียงตอบรับจากอินกองแต่อย่างใด เขาอ้าปากค้างก่อนจะกระโดดลุกขึ้นพร้อมตะโกนออกมา

 

“ไวท์อีเกิ้ล!”

 

 เป็นชื่อที่อินกองคุ้มเคยอยู่ในหัวเป็นอย่างดี

 

 ปริศนาฐานข้อมูลเกมบทกวีแห่งผู้กล้าที่ยังค้างคา อาวุธระดับสูงที่อินกองไม่เคยหาพบไม่ว่าจะเล่นใหม่สักกี่รอบ

 

‘ก็นะ ถ้ามันอยู่ทางทิศเหนือจริง ก็ไม่แปลกที่เราจะไม่เคยหาเจอ’

 

 นอกอาณาเขตการปกครองของจอมมารไปทางทิศเหนือ เป็นดินแดนแห่งความหนาวเหน็บและแห้งแล้ง นั่นคือสาเหตุที่เหล่าคาเซียอพยพลงใต้ เพียงบางส่วนของดินแดนนี้เท่านั้น ที่ผู้เล่นสามารถเข้าถึงได้ในเกม

 

 ที่ราบอินคาเป็นหนึ่งในสถานที่ไม่กี่แห่งที่เชื่อมติดกับดินแดนแห่งความตายนี้ ซึ่งบริเวณที่ว่ามิใช่ส่วนหนึ่งของโลกมาร นั่นทำให้เขาไม่สามารถเข้าถึงได้ในเกม

 

‘ไวท์อีเกิ้ล อุปกรณ์สิ่งวิเศษของมังกรบรรพกาล’

 

 ขอเพียงอินกองรู้ถึงตำแหน่งที่ตั้ง เขาผู้ซึ่งครอบครองพลังเวทของอันเคล ย่อมสามารถใช้งานโล่วิเศษชิ้นนี้ได้อย่างไม่ต้องสงสัย

 

 ขณะที่อินกองกำลังตื้นตันใจจนลืมกรีนวินด์

 

“ข้าอารมณ์ไม่ดีแล้ว ข้าหงุดหงิดมากด้วย”

 

 กรีนวินด์ร่อนลงเตะฝุ่นบนพื้นอย่างไม่พอใจ ก่อนอินกองจะกลับไปสนใจนางอีกครั้ง

 

“แล้วกรีนวินด์รู้ตำแหน่งของหลุมศพด้วยหรือเปล่า?”

 

“ข้ารู้ตำแหน่งโดยคร่าวๆ หากข้าเข้าใกล้ ข้าก็จะรู้ตำแหน่งที่แน่นอนเอง”

 

 อินกองพยักหน้าใช้ความคิด

 

“กรีนวินด์บอกต้องใช้เวลาราวสามถึงสี่วันใช่ไหม?”

 

“ใช่แล้ว แต่ถ้าในตอนนี้ข้าคิดว่าสามารถทำได้เร็วขึ้น การทำงานของเวทมนตร์ผู้พิทักษ์กระตุ้นเวทมนตร์แห่งชีวิต ทำให้ภาระอาคมบนตัวข้าลดลง”

 

 หรือว่าอย่างง่ายก็คือ การสร้างตัวแทนกรีนวินด์สามารถทำได้ง่ายขึ้น

 

“ถ้าอย่างนั้นก็รีบลงมือเถอะ”

 

“ข้าเข้าใจแล้ว ข้าจะรีบลงมือ”

 

 กรีนวินด์กล่าวด้วยท่าทางไหล่ตก ท่าทางของนางทำให้อินกองฉุกคิดบางอย่างออก

 

“ทำดีมากกรีนวินด์ นิทานเรื่องเล่านี้เป็นประโยชน์มาก”

 

“ถึงจะล้าช้าไป แต่ข้ารู้สึกดีขึ้นแล้ว”

 

 เสียงของนางร่าเริงขึ้น อินกองยิ้มอย่างเอ็นดูก่อนจะพูดต่อ

 

“ผมจะชมเชยอีกครั้งหลังจากที่เสร็จเรียบร้อย”

 

“เตรียมตัวชื่นชมข้าได้เลย”

 

 กรีนวินด์ยิ้มอย่างร่าเริงก่อนจะหายไปกับสายลม

 

 อินกองล้มตัวลงนอนบนเตียงพร้อมใช้ความคิด

 

‘เราขึ้นเหนือโดยใช้ข้ออ้างว่าเพื่อเก็บกวาดเหล่าคาเซียได้’

 

 เขาไม่คิดจะรายงานรายละเอียดทุกกระเบียบนิ้ว ยิ่งเรื่องกรีนวินด์ยิ่งต้องเป็นความลับ

 

‘ปัญหาก็คือทางวังหลวงจะส่งใครมาเป็นหน่วยสำรวจนี่สิ’

 

 เขาไม่สามารถซ่อนเวทมนตร์ของวัดแห่งนี้ให้เล็ดรอดจากสายตาได้ ยิ่งเมื่อเป็นสายตาของมืออาชีพจากวังจอมมารยิ่งแล้วใหญ่

 

‘ถ้าเป็นเด็กๆพวกนั้นก็ไม่เลวเหมือนกันนะ’

 

 ยังไงเสียเขาก็ไม่สามารถปฏิเสธหน่วยสำรวจที่ทางวังส่งมาได้ เขาจึงขอให้ในหน่วยสำรวจนั้นเป็นตัวละครที่เขารู้จักรู้ข้อมูล และยิ่งหากความสามารถของพวกนั้นไม่ต่างจากในเกมด้วยแล้ว เขายิ่งต้องการชักจูงมาเข้าร่วม

 

‘รายงานความดีความชอบน่าจะถูกส่งไปภายในวันนี้… พอนับเวลาดำเนินการตามขั้นตอนแล้ว ก็น่าจะใช้เวลาเจ็ดถึงสิบวันละนะ’

 

 อย่าได้คิดดูถูกความล้าช้าในการคัดเลือกบุคลากรในงานพิธีการเป็นอันขาด บางทีอาจจะต้องใช้เวลามากกว่าสิบวันก็เป็นได้

 

‘หรือว่าจะไม่รอ แล้วรีบขึ้นเหนือไปเลยดี?’

 

 หากมีข้อสงสัยอะไรตามมา เขาก็สามารถใช้ ‘เก็บกวาดเหล่าคาเซีย’ เป็นข้ออ้างได้

 

 หลังจากที่คิดอะไรอยู่พักหนึ่ง อินกองก็ออกจากวัดไปหาคารัค

 

 หากทว่าแผนการที่วางไว้ของอินกองก็ไร้ประโยชน์ เมื่อผู้เชี่ยวชาญถูกส่งจากวังจอมมารมาเร็วกว่าที่เขาคิด มิหนำซ้ำเขายังคุ้นเคยนักสำรวจผู้นี้เป็นอย่างดี

 

&

 

“เฟลิซีนูนะ?”