ตอนที่ 51 – บทที่ 7: จุติ 9

 

 

“ข้ารับเจ้าเป็นนายท่านเพียงชั่วคราวเท่านั้น มิใช่เจ้านายถาวร! หาวิธีคลายการควบคุมซะ!”

 

 กรีนวินด์ลุกขึ้นตะเบ็งเสียงออกมา ลมพัดกระหน่ำขึ้นรอบตัวนาง ผมสีเขียวโบกสะบัดราวกับเปลวเพลิง

 

 อินกองรีบโบกปัดห้ามปรามอย่างรวดเร็ว

 

“เดี๋ยวก่อน ใจเย็นก่อน!”

 

“… ”

 

 กรีนวินด์ไม่พูดอะไรก่อนจะนั่งลง อินกองกระแอมออกมาก่อนจะถามคำถาม

 

“กรีนวินด์ ตอนนี้รู้สึกอย่างไรบ้าง?”

 

 ที่ผ่านมา สิ่งที่อินกองใช้พลังแห่งอาณัติควบคุมล้วนไม่มีความคิด เขาจึงไม่เคยสนทนาเพื่อถามถึงสภาวะภายใต้การควบคุม

 

 กรีนวินด์จ้องมาที่อินกอง ด้วยดวงตาและเขาของนาง ทำให้นางมีลักษณะไม่ต่างจากกวางตัวน้อย

 

“ข้าเป็นของเจ้า ไม่ว่าเจ้าจะต้องการอะไรข้าย่อมทำตาม”

 

 กรีนวินด์กล่าวออกมาอย่างปกติ แต่อินกองรับรู้ได้ว่านางพยายามสงบสติให้ใจเย็น

 

“ถ้าอย่างนั้น”

 

 อินกองรวบรวมความคิดก่อนจะถามกรีนวินด์ต่อ

 

“เปลี่ยนคำถาม การควบคุมของเราทำให้กรีนวินด์ไม่พอใจอย่างไรบ้าง? สิ่งเล็กๆน้อยๆอะไรก็ได้?”

 

“มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับความพึงพอใจของข้า แต่ข้าต้องสถิตอยู่ ณ ที่ราบนี้”

 

 กรีนวินด์ลุกยืนขึ้นอีกครั้งพร้อมชี้ที่ตัวนาง

 

“ข้าคือกรีนวินด์ เศษเสี้ยวแห่งพยานอันเคลและสัญลักษณ์แห่งพลังเวทของนาง หากข้าจากไป ที่ราบอินคาแห่งนี้ย่อมคืนสู่ทะเลทรายซึ่งเป็นสภาพดั้งเดิม”

 

 พยานอันเคลได้ร่ายเวทมนตร์สองอย่างบนที่ราบอินคา

 

 อย่างแรกคือเวทมนตร์แห่งชีวิต ซึ่งก็คือสิ่งที่แปรสภาพทะเลทรายให้กลายเป็นทุ่งหญ้า อีกอย่างก็คือเวทมนตร์ผู้พิทักษ์หรือก็คือเหล่าทรีเอนท์

 

 เนื่องจากกรีนวินด์ได้มีความคิดเป็นของตน ทำให้นางหลุดออกมาจากเวทมนตร์ผู้พิทักษ์ แต่นางยังคงเป็นส่วนหนึ่งของเวทมนตร์แห่งชีวิต

 

 นางเป็นสามัญสำนึกของเวทมนตร์แห่งชีวิตที่คอยควบคุมความอุดมสมบูรณ์ของที่ราบ เป็นฟันเฟืองซี่สำคัญที่ทำให้เครื่องจักรที่ชื่อที่ราบอินคายังคงทำงานอยู่ได้

 

 และนั่นคือสาเหตุที่นางไม่สามารถกำจัดสัตว์อสูรผู้บุกรุกได้โดยตรง แต่ช่วยเหลือผ่านอินกอง

 

 หลังจากได้ยินคำอธิบายจากกรีนวินด์ อินกองก็คิดวีธีก็ปัญหาที่ง่ายที่สุดออกมา

 

“ถ้าอย่างนั้น แค่กรีนวินด์อยู่ที่นี้ก็ไม่น่ามีปัญหาอะไร? กรีนวินด์ไม่ต้องเดินทางไปกับเราก็ได้”

 

 ทั่งวัชรกรถูกปล่อยทิ้งไว้ในวิหารและก็ไม่มีปัญหาอะไรเกิดขึ้น อินกองไม่ต้องการนำกรีนวินด์ออกจากที่ราบแห่งนี้หากมันจะสร้างความเสียหายตามมา

 

 ทว่าคำพูดของอินกองทำให้กรีนวินด์มีอาการตื่นตระหนก นางมีสีหน้าเหมือนประชาชนที่ถูกเนรเทศ

 

“นายท่านจะทอดทิ้งข้าอย่างนั้นหรือ?”

 

 หากอินกองพยักหน้า เขาคงรู้สึกไม่ต่างจากวายร้าย คำว่า ‘อยู่ที่นี่’ ของเขาถูกตีความว่า ‘ทอดทิ้ง’

 

“เอ่อ… เดี๋ยวนะ กรีนวินด์อยากจะร่วมเดินทางไปกับเรางั้นหรือ?”

 

 กรีนวินด์ตอบกลับมาในทันทีราวกับเป็นอะไรที่ไม่ต้องคิด

 

“ไม่ว่าจะชั่วคราวหรือถาวร เจ้าก็เป็นนายท่านของข้า เป็นเรื่องปกติที่ข้าจะติดตามเจ้า”

 

 ไม่ใช่เรื่องของความชอบ แต่เป็นเพราะนางไม่สามารถออกห่างจากอินกองได้

 

‘บางทีหรือว่า… นี่คือพันธะวิญญาณ?’

 

 พออินกองมองพิจารณากรีนวินด์แล้ว แม้นางจะดูงดงามแต่นางก็ไม่มีกายเนื้อ จากชื่อ ‘กรีนวินด์’ ดูเหมือนนางจะไม่ต่างจากภูติสายลม

 

‘ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไร ออกจะน่ายินดีด้วยซ้ำ’

 

 นางช่วยเหลือเขาได้มากในการต่อสู้วันนี้ ไม่มีเหตุผลอะไรให้ต้องปฏิเสธ

 

‘ปัญหาก็คือ จะทำยังไงกับเวทของอันเคล’

 

 อินกองถามบางอย่างเพิ่มจากกรีนวินด์

 

“กรีนวินด์บอกว่าเป็นสัญลักษณ์เวทมนตร์ของอันเคลใช่ไหม?”

 

“ใช่แล้ว”

 

“ถ้าอย่างนั้น กรีนวินด์ก็น่าจะสร้างบางสิ่งมาเป็นสัญลักษณ์แทนตัวของกรีนวินด์ได้?”

 

 หากนำเฟืองตัวเก่าออก ที่ต้องทำก็แค่หาเฟืองตัวใหม่มาเปลี่ยนใส่

 

 กรีนวินด์นิ่งเงียบใช้ความคิดกับข้อเสนอของอินกอง ดูเหมือนนี่จะเป็นความคิดที่แปลกใหม่สำหรับนาง

 

‘ก็นะ ถ้านางเคยคิดเรื่องนี้นางก็คงออกเดินทางรอบโลกไปแล้ว’

 

 กรีนวินด์เป็นเทพารักษ์แห่งที่ราบอินคามาหลายร้อยปี นางคอยค้ำจุนความอุดมสมบูรณ์ให้กับที่ราบแห่งนี้ เรื่องสร้างบางสิ่งมาทำหน้าที่แทนไม่เคยผุดขึ้นมาในความคิดนาง

 

 หลังผ่านไปสักครู่ นางก็ขมวดคิ้วพูดออกมา

 

“พอมีความเป็นไปได้อยู่ แต่ข้าต้องใช้พลังเกือบทั้งหมด ถึงแม้พลังข้าจะฟื้นฟูกลับมาในภายหลัง แต่ข้าไม่สามารถบอกได้ว่าจะใช้เวลาเพียงไหน… ข้าจะไม่สามารถทำประโยชน์ให้กับนายท่านได้สักพัก”

 

 แม้อินกองจะผิดหวังไปบ้าง แต่มันก็อยู่ในขอบเขตที่เขายอมรับได้ เขาพยักหน้ายืนยัน

 

“ถ้าแค่นั้นก็ลงมือ”

 

“สิ่งนี้จะทำให้ข้าเสียใจมิใช่น้อย แต่ข้าจะทำตามความประสงค์ของนายท่าน”

 

 นางทำแก้มป่องก่อนจะนิ่งเงียบอย่างงอนงอน

 

 อินกองยิ้มให้กับท่าทางของนางก่อนจะถามต่อ

 

“แล้วจะใช้เวลานานแค่ไหน?”

 

“ข้าไม่เคยลองมาก่อน แต่คาดคิดว่าใช้เวลาราวสามถึงสี่วันได้”

 

 แม้การต่อสู้กับกองทัพสัตว์อสูรจะเสร็จสิ้นแล้ว แต่พวกเขายังต้องใช้เวลาในการเก็บกวาดสิ่งที่หลงเหลืออยู่ ไม่ว่าจะเป็นเหล่าคาเซีย และเดรคโอเกอร์ที่หลบหนีไปได้ หรือหามาตรการป้องกันวัดสำหรับในอนาคต นั่นทำให้อินกองมีเวลาเพียงพอสำหรับการเตรียมการของกรีนวินด์

 

‘บางทีอาจจะมีข้อความเพิ่มเติมจากทางวังหลวงด้วย’

 

 หลังจากการค้นพบทั่งวัชรกร ทีมสำรวจก็ถูกส่งเข้าไปสำรวจซากโบราณสถานอย่างจริงจัง เป็นไปได้ว่าจะมีทีมสำรวจถูกส่งมาสำหรับวัดที่เขาค้นพบในภารกิจครั้งนี้เช่นกัน

 

 แม้อินกองจะไม่มั่นใจว่าทางวังจอมมารจะส่งใครมาสำรวจเพิ่มเติม แต่ก็พอมีใบหน้าอันคุ้นเคยผุดขึ้นมาในหัวของเขา

 อะแฮ่ม เอลฟ์… นางหนึ่ง

 

 หลังจากแก้ปัญหาเรื่องกรีนวินด์และพลังเวทของอันเคลได้แล้ว กรีนวินด์ก็พูดถึงจุดประสงค์แรกของอินกองขึ้นมา

 

“นายท่านบอกว่าต้องการถามบางสิ่ง ตอนนี้ข้าพร้อมแล้ว”

 

 นั่นคือเหตุผลหลักที่อินกองเข้ามาในห้องนอนแต่ไม่ได้เข้านอน

 

 อินกองจ้องมองไปยังกรีนวินด์ นางถือกำเนิดจากเศษเสี้ยวดวงวิญญาณของพยานอันเคล นั่นทำให้แววตาของนางดูคล้ายคลึงกับอันเคลที่เขาเห็นในนิมิต

 

“พยานอันเคลจากไปเมื่อไร? อย่างไร?”

 

 กรีนวินด์ยิ้มออกมาก่อนจะตอบคำถาม

 

“ข้าเป็นเพียงเศษเสี้ยวของนาง ยิ่งไปกว่านั้นข้ายังถือกำเนิดขึ้นมาเป็นตัวตนใหม่ที่มิใช่อันเคล จึงมีความทรงจำเกี่ยวกับนางหลงเหลืออยู่ไม่มาก ข้าจำได้เพียงนางถูกสังหารราวพันปีที่แล้ว”

 

 มังกรบรรพกาลที่มีพลังเทียบเคียงพระเจ้าตายจากการถูกสังหาร

 

 นี่เป็นปริศนาที่หลายชีวิตต้องการคำตอบ หากสิ่งมีชีวิตที่ยิ่งใหญ่เช่นนั้นแก่ตายโดยธรรมชาติ มันคงน่าหงุดหงิดอย่างบอกไม่ถูก

 

“ข้าจำไม่ได้ว่าใครเป็นผู้สังหารอันเคล หากแต่ไม่ใช่มังกรบรรพกาลตนอื่นแน่นอน”

 

 เช่นนั้นใครกัน? ใครจะสามารถสังหารมังกรบรรพกาลที่มีพลังเทียงเคียงพระเจ้าได้อีก?

 

 อินกองพยายามซักเพิ่ม แต่นั่นเป็นทั้งหมดที่กรีนวินด์จำความได้ ยิ่งไปกว่านั้นเรื่องทั้งหมดได้ล่วงเลยมาร่วมพันปีแล้ว

 

“นายท่านมีข้อสงสัยอะไรอีกหรือไม่?”

 

“เรามีคำถามอีกสองข้อ”

 

“อย่างนั้นรึ? เช่นนั้นนายท่านสามารถถามข้าได้ตามสบาย ดูเหมือนนี่จะเป็นพันธสัญญาถาวรมากกว่าชั่วคราวเสียแล้ว มันคงไม่สะดวกนักหากนายท่านลำบากใจเวลาที่พูดคุยกับข้า”

 

 กรีนวินด์พูดพลางเท้าเอว อินกองยิ้มออกพร้อมตอบนาง

 

“เข้าใจละ งั้นผมจะพูดอย่างง่ายๆกันเองละนะ?”

 

“นายท่านสงสัยอะไรอีกงั้นหรือ?”

 

 กรีนวินด์กล่าวต่ออย่างไม่สะทกสะท้าน ท่าทางของนางดูน่ารักน่าเอ็นดู

 

“อย่างที่กรีนวินด์รู้ ผมดูดซับพลังเวทของอันเคลมา พลังของนางผสานรวมเข้ากับร่างกายผม”

 

“ใช่แล้ว พลังเวทของอันเคลไหลเวียนอยู่ในร่างของนายท่าน”

 

 มังกรจำแลง ร่างกายที่สามารถแบกรับพลังเวทมังกรได้ไม่ต่างจากมันกรตัวจริง

 

 พลังเวทของอันเคลที่อินกองดูดซับมาในครั้งนี้หมดไปกับการปรับเปลี่ยงโครงสร้างร่างกายของเขา แต่หากเขาค้นพบเศษเสี้ยวของอันเคลชิ้นอื่น เขาก็สามารถที่จะซึมซับพลังเวทเข้ามาเป็นของตนได้

 

 ทว่าความทะเยอทะยานของอินกองไม่หมดลงแต่เพียงเท่านั้น

 

“งั้น… นอกจากอันเคลแล้ว ผมจะสามารถดูดซับพลังเวทของมังกรบรรพกาลตนอื่นได้ไหม?”

 

 มังกรบรรพกาลมีทั้งหมดหกตน

 

 แม้ทั้งหมดอาจจะไม่หลงเหลือพลังเวทไว้ในแก่นอย่างอันเคล แต่ก็อาจจะทิ้งพลังไว้ในของวิเศษอย่างพสุธากัมปนาทก็เป็นได้

 

‘บางทีเราอาจจะรับพลังของควิเอียนได้จากดาบที่ล็อคค์มี’

 

 พสุธากัมปนาทมีปฏิกิริยาต่อพลังเวทของอันเคล จะเกิดอะไรขึ้นหากเขารวบรวมพลังเวทของมังกรทั้งหกได้?

 

 กรีนวินด์ยิ้มออกมาอย่างมีเลศนัย

 

“ในทางทฤษฎีแล้วเป็นไปไม่ได้ แต่นายท่านดูจะผิดแปลกออกไป”

 

 อินกองเอียงคออย่างสับสน กรีนวินด์ยื่นมือมาจับมือของเขาไว้พร้อมอธิบาย

 

“นายท่านมีพลังเวทของทรราชเอนคิดูและพยานอันเคลไหลเวียนอยู่ในร่าง ซึ่งจากความทรงจำของข้า ทั้งคู่นับว่าเป็นคู่กัดกัน หากนายท่านสามารถควบคุมพลังเวทของทั้งสองได้อย่างอิสระ นายท่านย่อมสามารถควบคุมพลังเวทของพญามังกรตนอื่นได้”

 

 แน่นอนว่าการดึงพลังเวทของเอนคิดูหรืออันเคลในร่างสามารถทำได้ อันที่จริงแล้ว ทำได้อย่างง่ายดายมาก สิ่งที่ยากคือการรับพลังเวทของพญามังกรเข้าร่าง

 

 หากแต่การใช้พลังเวทของอันเคลเสริมพลังให้กับพสุธากัมปนาทนั้นเป็นไปไม่ได้ ไม่ต่างจากการพยายามใช้น้ำเสริมพลังให้ไฟ

 

 ทำไมสิ่งเหล่านี้กลับเป็นไปได้สำหรับอินกอง?

 

‘หรือว่าจะเป็นเพราะพลังพระเอก?’

 

 อาชีพหลักของอินกองคือพระเอก แล้วไหนจะพลังแห่งอาณัติในตัวของเขาอีก

 

 แน่นอนว่ามันดูแปลกประหลาด แต่การหาเหตุผลให้กับสิ่งที่ไร้เหตุผล มันก็แปลกตั้งแต่แรกแล้ว

 

‘งั้นก็เอาอย่างนี้แหละ’

 

 หากเขารวบรวมพลังจากมังกรทั้งหกได้สำเร็จ ด้วยพลังที่เทียบเคียงพระเจ้า การเอาชนะแซเฟียร์หรือล็อคค์นั้นก็เป็นเรื่องที่แสนง่าย

 

“นัยน์ตาของนายท่านส่องประกายเจิดจรัสนัก”

 

 กรีนวินด์เอ่ยออกมาไม่ต่างจากคารัค อินกองกระแอมก่อนจะกลับเข้าสู้โลกความเป็นจริง แล้วก็มาถึงคำถามสุดท้าย

 

“กรีนวินด์ถูกผมควบคุมได้อย่างไร?”

 

“ควบคุม? ถ้าจะอธิบายก็… เป็นเพราะพลังของนายท่าน ข้าก็แค่ยินยอมไม่ขัดขืน”

 

 เป็นคำตอบที่ไม่ต่างจากที่อินกองคาดคิดไว้

 

“ถ้าอย่างนั้น กรีนวินด์รู้อะไรเกี่ยวกับพลังของผมบ้างไหม?”

 

 อาณัติ

 

 สตรีผมขาวใต้มงกุฎทอง

 

 พลังในการเข้าปกครองซึ่งทุกสิ่ง

 

 กรีนวินด์ตอบพลางหลับตาค้นความทรงจำของนาง

 

“อย่างที่ข้าบอกไว้ ข้าหลงเหลือความทรงจำของอันเคลอยู่เพียงเล็กน้อย นั่นทำให้ข้ารู้เกี่ยวกับพลังของนายท่านเพียงน้อยนิด”

 

 แววตาของอินกองมีความหวังขึ้นมาอีกครั้ง รู้เพียงน้อยนิดต่างจากไม่รู้อย่างสิ้นเชิง การที่กรีนวินด์รู้เพียงน้อยนิดนั่นหมายความว่า อาณัติและอาชาเป็นสิ่งที่มีอยู่แล้ว ไม่ใช่บางอย่างที่มาพร้อมการปรากฏตัวของอินกอง

 

“อาณัติ ใช่แล้วอาณัติ หากจะให้ข้าอธิบาย พลังของนายท่านคือพลังแห่งอาณัติ”

 

 กรีนวินด์ลืมตาของนางขึ้นมาอีกครั้ง ดวงตาสีเขียวของนางดูเหมือนกับอันเคลยิ่งกว่าที่ผ่านมา

 

 นางเอ่ยกับอินกอง

 

“พลังแห่งพระราชาที่สามารถปกครองควบคุมซึ่งทุกสิ่ง นั่นคือพลังของเจ้า อาชาแห่งอาณัติ เจ้าผู้มีดวงชะตาราชันย์ตามคำทำนาย”

 

 เสียงที่ออกมาไม่ใช่เสียงของกรีนวินด์ แต่เป็นอันเคล

 

 อินกองตาโตขึ้นในทันที แต่การสนทนาก็สิ้นสุดลงเพียงเท่านั้น กรีนวินด์หมดสติลงทันทีที่สิ้นเสียงของอันเคล โชคดีที่นางไม่ได้เป็นอะไรร้ายแรง

 

‘ดวงชะตาราชันย์’

 

 อินกองหลับตาใช้ความคิด เขารู้สึกว่าได้ข้ามเส้นบางบางเข้าไปรับรู้ในสิ่งที่ไม่สมควรเสียแล้ว

 

จบบทที่ 7 – จุติ เริ่มบทที่ 8 – ขุดค้น