หวังซีตอบโต้การแก้แค้นของฉังเคอด้วยการลากนางไปกินมื้อเย็นกับฮูหยินผู้เฒ่าด้วย
ฉังเคอไม่ยอม
หวังซีหัวเราะฮ่า กล่าวว่า วันนี้ออกไปข้างนอกข้าซื้อของกลับมาฝากฮูหยินผู้เฒ่า หากเจ้าไม่ไป ข้าก็จะไปคนเดียว
มิเท่ากับว่าถึงเวลาฮูหยินผู้เฒ่าจะคิดว่านางไม่รู้ความหรอกหรือ!
ดวงตารูปเมล็ดซิ่งของฉังเคอเบิกกว้าง กล่าวว่า คราวหน้าเจ้าอยากแอบขี้เกียจ อย่าคิดว่าข้าจะทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ให้เจ้าอีก
ยิ่งรู้จักคนจวนหย่งเฉิงโหวมากเท่าไร หวังซีก็ยิ่งไม่ชอบคลุกคลีกับคนเหล่านั้นมากเท่านั้น
พี่สาวคนดี! นางคล้องแขนของฉังเคอยิ้มๆ กล่าวว่า เพราะข้าคิดว่าพวกเรากลับมาจากข้างนอก อย่างไรก็ต้องไปคารวะฮูหยินผู้เฒ่า เห็นว่าใกล้ถึงเวลารับมื้อเย็นแล้ว โดยมากฮูหยินผู้เฒ่าต้องรั้งพวกเราอยู่รับมื้อเย็นด้วยเป็นแน่ มิสู้พวกเราอยู่คุยกับฮูหยินผู้เฒ่าดีๆ ล้วนเป็นที่พึ งพอใจของทุกฝ่ายมิใช่หรือ
ฉังเคอกล่าว ข้ามิได้จิตใจดีเช่นเจ้า ฉังหนิงได้ยินว่าข้าออกไปข้างนอกเป็นเพื่อนเจ้า ต้องหาทางมากินมื้อเย็นกับฮูหยินผู้เฒ่าเป็นแน่ ถึงเวลานางต้องทำอะไรแปลกๆ ขึ้นมาอีกอย่างเลี่ยงไม่ได้แน่นอน เจ้าอาจทำเป็นมองไม่เห็น ไม่ได้ยินได้ แต่ข้าไม่อาจหลบเลี่ยงมันได้
โดยเฉพาะมารดาของนาง คาดหวังว่าหลังจากที่นางออกเรือนแล้วจวนโหวจะสนับสนุนนาง จึงกลัวนางทำให้ฉังหนิงขุ่นเคืองใจ เป็นเหตุให้โหวฮูหยินไม่พอใจ
นึกถึงเรื่องวุ่นวายพวกนี้แล้ว นางอดถอนหายใจยาวๆ ออกมาไม่ได้
หวังซีถึงรู้สึกตัวว่านางทำเช่นนี้ดูไม่ค่อยเหมาะสมจริงๆ
นางลังเลกล่าวว่า หรือว่า พวกเรารับมื้อเย็นเป็นเพื่อนฮูหยินผู้เฒ่าเสร็จก็กลับเลยดีหรือไม่ เนื่องจากวันนี้พวกเราออกไปข้างนอกทั้งวัน รู้สึกเหนื่อยก็เป็นเรื่องปกติ
เช่นนี้ก็จะได้คุยกับฉังหนิงน้อยลงสักสองสามประโยค
ฉังเคอกลับรู้สึกว่าการหลบเลี่ยงมิใช่วิธีที่ดี กล่าวว่า นางอยากทำอะไรก็ทำไปเถอะ ต่อหน้าเจ้านางต้องรักษาหน้า มีเจ้าอยู่ด้วย อย่างมากนางก็แค่เหน็บแนมสักสองประโยค ข้าทำเป็นฟังไม่เข้าใจ นางต้องยิ่งไม่พอใจ ก็ถือเป็นการเอาคืนประเภทหนึ่งกระมัง!
หวังซีคิดตาม นิสัยของฉังหนิงเป็นเช่นนั้นจริงๆ อดหัวเราะฮ่าเสียงดังไม่ได้ กล่าวว่า จะดีร้ายนี่ก็เป็นวิธีการหนึ่ง! จากนั้นนางพูดความในใจกับฉังเคออย่างจริงใจว่า ตระกูลยายของเจ้าปฏิบัติต่อเจ้าอย่างไรบ้าง เจ้ามีพี่ชายต่างสกุลหรือบ่าวประจำตระกูลที่ไว้ใจได้บ้างหรือไม่ ข้าคิดว่าปัญหาหลักของครอบครัวเจ้าคือไม่มีเงินอยู่ในมือ จำต้องพึ่งพาจวนโหวทุกเรื่อง เจ้ามิสู้ลองตรึกตรองดู ถือโอกาสตอนที่ข้ายังอยู่จิงเฉิง ดูว่าช่วยหางานให้พวกเจ้าสักงานหนึ่ง หรือหาโอกาสให้พวกเจ้าได้สร้างเนื้อสร้างตัวตั้งครอบครัวของตัวเองขึ้นมาได้หรือไม่
ฉังเคอส่ายศีรษะ กล่าวว่า ไม่มีประโยชน์หรอก นี่มิใช่เรื่องเงินทอง ที่พ่อข้าถูกรั้งตัวอยู่ที่จวนโหว ก็เป็นเพราะมีความสามารถดูแลกิจการให้จวนโหวได้ หากคิดจะสร้างครอบครัวของตัวเองก็คงทำไปนานแล้ว สิ่งสำคัญคือพ่อกับแม่ข้าคิดว่าหากไปจากจวนโหวแล้วจะไร้คนปกป้อง ไร้ที่ให้พึ่งพิง ตอนนี้ข้าได้แต่หวังว่าน้องชายของข้าจะไม่ถูกพ่อข้าเลี้ยงออกมามีนิสัยเหมือนเขา ต่อไปยังคิดจะช่วยทำธุระต่างๆ ให้พี่ชายใหญ่ต่อไปอีก
หวังซีรู้สึกว่าแม้ตนจะรู้เรื่องของจวนหย่งเฉิงโหวอยู่บ้าง แต่สุดท้ายก็รู้เพียงผิวเผินเท่านั้น นางอย่าเสนอความคิดให้ผู้อื่นตามใจชอบดีกว่า มิใช่ว่าถึงเวลานางหนีกลับสู่จงไปตั้งแต่ฤดูใบไม้ร่วงแล้ว แต่ยังทิ้งความโกลาหลไว้ให้หลงจู๊ใหญ่เก็บกวาดต่อ
นางจึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนากลับไปที่ของที่ซื้อมาฝากฮูหยินผู้เฒ่าอีกครั้ง ไม่นานทั้งสองคนก็มาถึงเรือนหยกวสันต์
ฮูหยินผู้เฒ่ารู้ว่าพวกนางกลับมาถึงจวนแล้ว กำลังรอพวกนางมาคารวะตัวเองอยู่
ซือหมัวมัวออกมาต้อนรับพวกนางอย่างยิ้มแย้ม
หวังซีมอบถุงหอมห้าพิษ[1]ให้นางหนึ่งคู่ ข้ากับพี่สาวสี่ซื้อมาจากข้างนอก เห็นว่าน่าสนใจดี มอบให้ท่านเอาไปประดับเล่น
เทศกาลแข่งเรือมังกรนั้นจิงเฉิงมีประเพณีประดับถุงหอมห้าพิษ
แม้นตอนนี้ยังเร็วไปกว่าจะถึงเทศกาลแข่งเรือมังกร แต่ก็นับว่ามีน้ำใจแล้ว
ซือหมัวมัวยิ้มหน้าบานมากยิ่งขึ้น
ตอนนี้นางไม่อาจรังเกียจหวังซีได้จริงๆ
ทุกครั้งที่หวังซีมาหาฮูหยินผู้เฒ่า ไม่เคยมามือเปล่า เวลาสั้นๆ เพียงสองสามเดือน พวกนางที่ปรนนิบัติรับใช้อยู่ข้างกายเหล่านี้ก็ได้รับของมาไม่น้อยแล้ว
ซือหมัวมัวกล่าวขอบคุณซ้ำๆ รับถุงหอมมาแล้วเดินนำพวกนางสองคนไปหาฮูหยินผู้เฒ่า
หวังซีกับฉังเคอคารวะฮูหยินผู้เฒ่าเสร็จแล้ว หยิบผ้าโพกศีรษะ ผ้าเช็ดมือ และของใช้เล็กๆ น้อยๆ อย่างซองใส่พัดที่ซื้อมาจากห้องเสื้อเมฆาคำนึงออกมา กล่าวว่า ล้วนเป็นของที่ข้ากับพี่สาวสี่ช่วยกันเลือก แม้นเป็นของธรรมดา แต่มีชัยตรงที่งดงามชวนมองเจ้าค่ะ
งดงามชวนมองจริงๆ
ของใช้เล็กๆ น้อยๆ เหล่านั้นหากมิใช่สีชมพูก็เป็นสีม่วงและสีขาวพระจันทร์ นอกจากเป็นสีที่เด็กสาวชอบใช้กันแล้ว โดยมากยังปักลายนกฮว่าเหมย[2] นกแก้ว และผึ้ง ภาพเหล่านั้นยังมีรูปทรงแตกต่างเป็นเอกลักษณ์ แสดงความมีชีวิตชีวา ชวนให้รู้สึกเบิกบานเป็นอย่างยิ่ง
หวังซีไม่ลืมซื้อของมาให้นาง นางก็ดีใจมากแล้ว เพียงแต่ว่านางได้รับยกย่องเป็นฮูหยินผู้เฒ่าของจวนหย่งเฉิงโหว อีกทั้งอยู่ในวัยที่มีบุตรหลานเต็มเรือน ใช้ของพวกนี้คงไม่ค่อยเหมาะสมนัก
นางลูบขนนกฮว่าเหมยสีเขียวสลับเหลือง สีสันสดใสปานมีชีวิตจริงที่ปักอยู่บนซองใส่พัดสีชมพูซองนั้นไปมา อดกล่าวยิ้มๆ ไม่ได้ว่า นี่ใช่สีที่ข้าใช้ที่ไหนกัน เจ้าเด็กคนนี้ ซนเกินไปแล้ว
หวังซีไม่เห็นด้วย กล่าวยิ้มๆ ว่า ท่านดีกับคนรุ่นเด็กอย่างพวกข้าขนาดนี้ ต้องอายุยืนร้อยปีอย่างแน่นอน เสื้อผ้าเครื่องประดับพวกเราไม่พูดถึง แต่คงไม่ถึงกับแม้แต่ของใช้เล็กน้อยเหล่านั้นก็ใช้ได้แค่สีเขียวสีน้ำเงินเท่านั้นหรอกกระมัง ท่านโหวผู้เฒ่าไม่อยู่แล้ว ท่านโหวก็เป็นคนกตัญญูผู้หนึ่ง หากท่านถูกใจ ผู้ใดจะกล้าว่าอะไรท่านได้ หากมิใช่เพราะท่าน ที่บ้านจะมีวันนี้ได้หรือ
ผู้ใดใช้ให้ท่านโหวผู้เฒ่าไม่ช่วยมารดาของนาง ต่อให้คนตายไปแล้ว หากนางมีโอกาส สะดวกเมื่อไรก็อยากจะก่อกวนเขาสักหน่อย ถ้าเขารับรู้จากใต้พิภพได้ก็ยิ่งดี!
ฮูหยินผู้เฒ่าได้ยินนางกล่าวเช่นนี้ ก็นึกถึงวันเวลาเก่าก่อนที่ตนต้องแบกรับความอัปยศมาอย่างเงียบๆ ขึ้นมา รู้สึกว่านอกจากตนต้องรับของพวกนี้เอาไว้แล้ว ยังต้องหยิบออกมาใช้อย่างมั่นใจด้วย ดูว่าผู้ใดจะกล้าต่อว่านาง!
เช่นนั้นก็รับเอาไว้ ฮูหยินผู้เฒ่ายิ้มร่าบอกซือหมัวมัว ใช้ตอนไปร่วมงานวันคล้ายวันเกิดของจ่างกงจู่
ซือหมัวมัวคล้ายจะพูดแต่ก็หยุดไป สุดท้ายก็ไม่ได้กล่าวอะไร
ฮูหยินผู้เฒ่ากลับยิ่งถูกตาต้องใจหวังซีมากขึ้น
ภายในบ้านมีเด็กๆ มากมาย แต่ก็ไม่มีใครเห็นใจความทุกข์ระทมของนางในปีนั้นเลยแม้แต่คนเดียว
ท่านโหวผู้เฒ่าจากไปแล้ว นางในฐานะภรรยาร่วมผูกผมสมควรไว้ทุกข์ให้เขา แต่จะไว้ทุกข์อย่างไรนั้น นั่นก็เป็นเรื่องของนางแล้ว
นางต้องการให้คนเห็นว่านางไม่พอใจเขาอย่างไรบ้าง
ฮูหยินผู้เฒ่าจับมือของหวังซีเอาไว้ นัยน์ตาเต็มไปด้วยความรักใคร่ กล่าวยิ้มๆ ว่า เด็กดี วันนี้อยู่รับมื้อเย็นกับยายก็แล้วกัน ขณะที่กล่าว ช้อนตาขึ้นมาเห็นฉังเคอที่อยู่ข้างๆ หวังซี ก็เอ่ยเพิ่มไปอีกหนึ่งประโยคว่า อาเคอเองก็ด้วย จากนั้นถามหวังซีว่าอยากกินอะไร ให้เรือนครัวไปทำ
นับตั้งแต่ที่หวังซีใช้วิธีสร้างเรือนครัวขนาดเล็กของตัวเองเป็นการร้องเรียนเรือนครัวชั้นในของจวนโหวอย่างเงียบๆ เป็นต้นมา โหวฮูหยินก็ถือโอกาสเก็บกวาดบ่าวหญิงสูงวัยในเรือนครัวเสียใหม่ ไล่คนที่อยู่ต่อหน้านางดีลับหลังกระด้างกระเดื่องออกไปสองสามคน เปลี่ยนหมัวมัวที่ดูแลเรื่องในเรือนครัวเป็นคนของตัวเอง คุณภาพอาหารของเรือนชั้นในของจวนโหวก็ยกระดับขึ้นมากกว่าหนึ่งระดับ ไม่มีใครกล้าพูดคำว่า ‘ทำไม่ได้’ อีก ต่อให้ในเรือนครัวทำไม่เป็น ก็ต้องหาวิธีไปซื้อกลับมาจากหอสุราข้างนอก
คนในครอบครัวทั้งบนและล่างต่างได้รับอานิสงส์ตามไปด้วย
ทุกคนต่างร่วมแรงร่วมใจกัน ไม่มีใครเอามานินทาต่อหน้าฮูหยินผู้เฒ่าแม้แต่คนเดียว และก็ไม่มีใครบอกท่านโหวให้ทราบด้วย
หลายวันนั้นยามโหวฮูหยินเห็นหวังซี ดวงหน้านั่นเรียกว่าเต็มไปด้วยรอยยิ้มแห่งความพึงพอใจ ทำหวังซีตกใจไปครั้งใหญ่
หวังซีไม่มีทางปล่อยให้ตัวเองต้องเสียเปรียบ ยิ่งไปกว่านั้นยังรู้ว่าบรรดานายหญิงผู้เฒ่าทั้งหลายนั้นไม่เพียงชื่นชอบสีสันสดใส ยังชอบคนรุ่นเด็กที่ยินดีพึ่งพาพวกนางอีกด้วย
นางไม่เกรงใจเลือกไหล่หมูแก้วที่วันนี้ไม่ได้กินขึ้นมาหนึ่งอย่าง ยังลอบบอกคนข้างกายฮูหยินผู้เฒ่าเป็นนัยว่า ได้ยินว่าไหล่หมูแก้วของร้านรสเลิศสี่ฤดูอร่อยที่สุด แต่ข้ากับพี่สาวสี่ไม่กล้าไปเหลาอาหารกันเองลำพัง
ฮูหยินผู้เฒ่าได้ยินแล้วแย้มยิ้มอย่างเป็นสุข โบกมือครั้งหนึ่ง กล่าวว่า วันนี้ทำอาหารจานนี้ก็แล้วกัน
เรือนครัวของจวนโหวเร่งรีบกันจนหัวหมุน
หวังซีกับฉังเคออยู่คุยเป็นเพื่อนฮูหยินผู้เฒ่า เล่าเรื่องที่ทั้งสองคนไปตัดชุดให้นางฟัง
ฮูหยินผู้เฒ่าฟังแล้วขมวดคิ้วมุ่นไม่หยุด เอ่ยถามว่า แม่ของอาหนิงมิได้เตรียมช่างตัดชุดให้พวกเจ้าหรือ
ย่อมมิใช่เจ้าค่ะ โหวฮูหยินปฏิบัติต่อหวังซีไม่แย่นัก หวังซีไม่คิดจะทำให้นางต้องลำบาก รีบกล่าว พวกข้ารู้สึกว่าน่าสนใจ จึงวิ่งเข้าไปดูเจ้าค่ะ
ฮูหยินผู้เฒ่าถึงได้พยักหน้า
หวังซีเล่า ฮูหยินผู้เฒ่าฟัง ฉังเคอนั่งเป็นเพื่อน แต่ก็สร้างเสียงหัวเราะครื้นเครงได้ครั้งหนึ่ง จนรับมื้อเย็นเสร็จเรียบร้อย
คุณชายทั้งหลายของจวนโหวทยอยกันมาคารวะฮูหยินผู้เฒ่า ฉังหนิงกับฉังเหยียนยังมาไม่ถึง
ฉังเคอกระซิบที่ข้างหูหวังซี พวกเรารีบไปกัน
หวังซีพยักหน้า อ้างว่าเหนื่อยเกินไป หนีออกมาพร้อมฉังเคอ
ออกมาจากเรือนของฮูหยินผู้เฒ่าแล้ว ฉังเคอรู้สึกโล่งอกไปเปลาะหนึ่ง แยกกับหวังซีตรงปากทางเดิน กลับไปพักผ่อนที่เรือน
หลังจากชำระล้างร่างกายขึ้นเตียงเรียบร้อยแล้วหวังซีกลับนอนไม่หลับ
นางคิดถึงเฉินลั่วที่เจอในร้านขายยาเมื่อตอนกลางวัน
ตกลงเขารู้หรือไม่ว่าตนคือคนที่แอบสอดส่องดูเขา
หวังซีนึกถึงนัยน์ตาอบอุ่นที่มองนางตอนเขาประคองตัวเองขึ้นมา
หากเขาไม่รู้ก็แล้วไป แต่ถ้ารู้ จากกิริยาท่าทางของเขาที่ปฏิบัติต่อนางเมื่อตอนกลางวัน น่าจะเก็บดาบเล่มใหญ่ที่ปักอยู่ในป่าไผ่กลับไปแล้วกระมัง!
หวังซีหัวใจกระสับกระส่าย อยากจะลุกขึ้นแล้ววิ่งไปที่สวนร่มหลิวเสียเดี๋ยวนี้เพื่อดูว่าดาบเล่มใหญ่เล่มนั้นยังอยู่หรือไม่
น่าเสียดายที่สวนร่มหลิวกำลังซ่อมแซมบ้านอยู่ เพื่อความปลอดภัยแล้ว ตอนกลางคืนจึงลงกลอนประตูทางด้านนั้นเอาไว้ ทั้งให้คนไปเฝ้าอีกด้วย
เช่นนั้นเช้าตรู่วันพรุ่งนี้ค่อยไปดู
คิดเช่นนี้ก็จริง แต่ในใจนางกลับคันยุบยิบ พลิกตัวไปมานอนไม่หลับ
ไป๋ซู่อ่านบันทึกการเดินทางให้นางฟังหลายหน้าแล้วก็ไม่ได้ผล จำต้องจุดกำยานผ่อนคลายอารมณ์ให้นาง
กลิ่นหอมหวานทำให้นางค่อยๆ ผล็อยหลับไป ทว่าไปสร้างเรื่องราวในความฝันแทน
ในความฝัน นางพาดตัวอยู่บนกำแพงของสวนร่มหลิว เห็นดาบเก้าห่วงเล่มใหญ่ข้างป่าไผ่ยังคงปักตั้งตรงอยู่ตรงนั้นตามเดิม เพียงแต่ว่าผ้าไหมสีสดบนด้ามดาบผืนนั้นผ่านลมพัดฝนสาดมา จึงเก่าซีดไปนานแล้ว มิได้สีสดใสเหมือนก่อนหน้านี้อีก สายลมแรงพัดมา มันสะบัดตามแรงลมเพียงไม่กี่ครั้ง แล้วก็ไม่มีแรงโบยบินอีก คล้ายทหารปลดประจำการที่ถูกทิ้งขว้างผู้หนึ่ง ถูกคนลืมไว้ในมุมไร้ผู้คน ไหนเลยจะยังมีความหยิ่งทะนงของก่อนหน้าเหลืออยู่อีก
นางหัวเราะคิกอยู่ในความฝัน ก้าวออกไปจับดาบเล่มใหญ่เล่มนั้น ทว่าอย่างไรก็คว้าด้ามจับของดาบไม่ได้…
หวังซีตื่นขึ้นมาด้วยความร้อนรน
ฟ้ายังไม่สว่าง ทว่าสาวใช้ภายในเรือนของนางตื่นกันหมดแล้ว
เห็นได้ชัดว่านางยังคงต้องไปคารวะฮูหยินผู้เฒ่าตามปกติ จึงต้องรีบตื่นก่อนยามอิ๋น[3]
นางลุกขึ้นมาอย่างเนิบนาบ ปล่อยให้สาวใช้ปรนนิบัตินางผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ ทว่าในใจกลับคิดถึงความฝันเมื่อคืนอยู่ตลอด ประกอบกับอยากไปดูว่าดาบเก้าห่วงเล่มใหญ่เล่มนั้นยังปักอยู่ที่นั่นหรือไม่
หวังซีตัดสินใจจะไปสวนร่มหลิวก่อนแล้วค่อยไปคารวะฮูหยินผู้เฒ่า
เช่นนี้แล้ว อาหารเช้าคงต้องรับประทานอย่างรีบร้อน
ไป๋กั่วได้แต่โน้มน้าวนางอ้อมๆ ว่า วันนี้ในครัวทำข้าวต้มซี่โครงหมูผักดองตากแห้ง เกี๊ยวกุ้งและขนมจีบไส้ข้าวไข่เค็มไว้ให้ท่าน
หวังซีไม่ได้กินข้าวต้มซี่โครงหมูผักดองตากแห้งมาระยะหนึ่งแล้ว
นางลังเลอยู่ครู่ใหญ่ สุดท้ายความอยากรู้ในใจยังคงอยู่เหนือกว่า กล่าวว่า พวกเราไปอาศัยกินมื้อเช้ากับฮูหยินผู้เฒ่าสักมื้อ
…………………………………………………………………………
[1] ถุงหอมห้าพิษ ถุงหอมที่ช่วยไล่สัตว์ห้าชนิด ได้แก่ แม งป่อง งูพิษ ตะขาบ จิ้งจก และคางคก
[2] นกฮว่าเหมย นกชนิดหนึ่งมีจุดเด่นที่ดวงตา ซึ่งตรงกับชื่อในภาษาจีน ‘ฮว่าเหมย’ ที่แปลว่าเขียนคิ้ว นอกจากนี้ยังเป็นนกที่มีเสียงร้องไพเราะมากอีกด้วย
[3] ยามอิ๋น 03.00-05.00 นาฬิกา
ตอนต่อไป