ตอนที่ 27 วันคล้ายวันเกิด

เสน่ห์รักคุณหนูต่างสกุล

รุ่งอรุณของจิงเฉิง ถึงแม้ฤดูกาลล่วงเลยมาถึงต้นฤดูร้อนแล้ว อากาศยังคงหนาวเย็นอยู่เล็กน้อย

หลังเดินออกมาจากประตู หวังซีกระชับเสื้อคลุมผ้าไหมสีม่วงแดงบนเรือนร่าง ทว่าตรงหน้าประตูกลับได้พบกับฉังเคอที่มาหานาง

เช้าตรู่ขนาดนี้เจ้ารับมื้อเช้าเสร็จแล้วหรือ สีหน้านางเต็มไปด้วยความประหลาดใจ ข้าตั้งใจว่าจะมากินมื้อเช้ากับเจ้า!

หวังซีไม่แน่ใจว่าดาบเก้าห่วงเล่มใหญ่เล่มนั้นยังปักอยู่ที่ป่าไผ่หรือไม่ จึงเป็นธรรมดาที่ไม่อยากไปสวนร่มหลิวพร้อมฉังเคอ

ดูทีแล้ววันนี้นางกับข้าวต้มซี่โครงหมูผักดองตากแห้งมีวาสนาต่อกันยิ่งแล้ว

นางจำต้องย้อนกลับเรือนพร้อมกับฉังเคอ ถอดเสื้อคลุมยื่นส่งให้สาวใช้เด็กที่ปรนนิบัติอยู่ข้างกายไปด้วย กล่าวไปด้วยว่า เหตุใดวันนี้จู่ๆ เจ้าถึงคิดมารับมื้อเช้ากับข้าอย่างกะทันหัน ก่อนหน้านี้ข้าตั้งใจจะไปรับมื้อเช้ากับฮูหยินผู้เฒ่า

ฉังเคอกับหวังซีนั่งลงข้างโต๊ะกลม รอพวกสาวใช้เด็กจัดโต๊ะ

เมื่อคืนข้าแทบจะนอนไม่หลับเลยทั้งคืน นางขยับเข้าใกล้หวังซี กระซิบที่ข้างหูหวังซีว่า ข้ารู้สึกว่าเฉินลั่วดูแปลกไปเล็กน้อย ผู้เฒ่าผู้แก่ล้วนพูดกันว่า ดูนิสัยคนจากตอนอายุสามขวบได้ แม้ข้ากับเฉินลั่วไม่ได้เจอกันมาหลายปี ทว่าเขาเป็นคนนิสัยเช่นไรนั้น หาใครสักคนสอบถามดูก็รู้แล้ว แต่ตอนอยู่ร้านขายยา พอเขาเห็นเจ้ากำลังจะล้ม นอกจากรีบวิ่งเข้ามาประคองเจ้าแล้ว ยังปฏิบัติต่อเจ้าด้วยสีหน้าอบอุ่นใจดีอีก ข้ารู้สึกว่า ที่เขาดูกระตือรือร้นโดยไร้สาเหตุอาจเป็นเพราะมีเจตนาร้ายซ่อนเร้น ต้องประสงค์ร้ายอะไรเป็นแน่ เจ้าบอกว่าท่านหมอเฝิงเป็นผู้อาวุโสที่มีความสัมพันธ์กับครอบครัวของเจ้ามาอย่างยาวนานมิใช่หรือ ข้าคิดว่าเรื่องนี้เจ้าต้องระแวดระวังเอาไว้ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องแจ้งให้ท่านหมอเฝิงทราบ อยู่ต่อหน้าผู้อื่นกับอยู่ต่อหน้าท่านหมอเฝิงเขาคล้ายกับเป็นคนละคน เขาต้องคิดจะหาประโยชน์อะไรจากท่านหมอเฝิงเป็นแน่

หวังซีไม่คาดคิดว่าที่นางเร่งมาหาตั้งแต่เช้าตรู่ขนาดนี้เป็นเพราะต้องการคุยเรื่องนี้กับตน จึงอดตะลึงงันไม่ได้

ฉังเคอเห็นนางไม่ตอบอะไร คิดว่านางไม่เก็บมาใส่ใจ จึงตบไหล่ของนางอย่างขุ่นเคืองใจเล็กน้อย เสียงสูงขึ้นหลายส่วนโดยไม่รู้ตัว ข้ามิได้พูดให้ตื่นตระหนก! คนอย่างเขาผู้นั้น แม้แต่บิดาของเขายังไม่ไว้หน้า แต่เจ้าดูเมื่อวานตอนที่เขาประคองเจ้า อากัปกิริยาอบอุ่นยิ่งนัก ข้าคิดแล้วยังรู้สึกขนหัวลุก เขาจะต้องมีแผนการใหญ่มากแน่ เจ้าต้องระมัดระวังเอาไว้ เข้าใจหรือไม่ กล่าวจบ ยังเขย่าไหล่ของนางด้วย

หวังซีถูกเขย่าจนเวียนหัว รีบกล่าว เจ้าวางใจเถอะ ข้าจะระวังเอาไว้!

ทว่าในใจกลับไม่เห็นด้วย

นางเชื่อสัญชาตญาณของตัวเอง

ก็เหมือนกับตอนเป็นเด็ก ทุกครั้งที่อาหญิงสี่เห็นนางล้วนยิ้มแย้มประหนึ่งดอกไม้ ผู้อื่นล้วนพูดกันว่าอาหญิงสี่ดีกับนางยิ่งกว่าบุตรสาวแท้ๆ ของตัวเองเสียอีก แต่นางรู้ว่า ความจริงแล้วอาหญิงสี่ไม่ชอบนางเลยแม้แต่นิดเดียว

นางสัมผัสได้ว่าเฉินลั่วไม่มีเจตนาร้ายต่อนาง

หาไม่แล้ว ด้วยประสบการณ์ของท่านหมอเฝิง ไม่มีทางกล่าวเตือนนางเพียงไม่กี่ประโยคอย่างแน่นอน

เพียงแต่ว่าความฝังใจของคนนั้นไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ในเวลาแค่ประเดี๋ยวเดียว หวังซีเองก็ไม่คิดจะเปลี่ยนความคิดของฉังเคอที่มีต่อเฉินลั่วด้วย ยิ่งรู้ว่าฉังเคอหวังดีต่อนาง เห็นแล้วก็รีบตบหลังมือนางเบาๆ เป็นการปลอบโยน กล่าวรับประกันว่า เจ้าวางใจ ข้าจะแจ้งให้ท่านหมอเฝิงทราบ เขาเองก็จะได้ระวังเอาไว้

ฉังเคอพยักหน้าหงึกๆ ในที่สุดสีหน้าก็ผ่อนคลายลงมา

ทั้งสองคนรับประทานมื้อเช้าด้วยกัน ฉังเคอกล่าวชมเชยแม่ครัวของนางเหมือนที่ผ่านมาครั้งหนึ่ง เห็นว่าเวลาไม่เช้าแล้ว ทั้งสองคนจึงมุ่งหน้าไปที่เรือนของฮูหยินผู้เฒ่าอีกครั้ง

ระหว่างทาง ฉังเคอที่กินอิ่มจนดูเกียจคร้านเล็กน้อยพูดเรื่องในบ้านกับหวังซี เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดเมื่อวานฉังหนิงกับฉังเหยียนถึงไปสายขนาดนั้น ฉังหนิงมีเรื่องกับคุณหนูพาน ท่านป้าสะใภ้ใหญ่โมโหมาก ต้องการกักบริเวณฉังหนิง ฉังเหยียนไปชวนนางไปคารวะฮูหยินผู้เฒ่า บังเอิญพบเข้าพอดี จึงเกลี้ยกล่อมท่านป้าสะใภ้ใหญ่กว่าครู่ใหญ่ ท่านป้าสะใภ้ใหญ่ถึงคลายความโกรธลง ปล่อยฉังหนิงออกมา

หวังซีกระเดาะปากด้วยความประหลาดใจ กล่าวว่า พี่สาวรองช่างเก่งกาจ! ไม่ว่าใครก็หาเรื่องเขาไปหมด

ถูกต้องที่สุด! ฉังเคอไม่ชอบใจ ข้าดูแล้วคุณหนูพานต้องไม่อยากให้มีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งเกิดขึ้นอย่างแน่นอน เนื่องจากนางมาเพื่อดูตัวกับตระกูลหลิว หากมีคำพูดอะไรที่ไม่เป็นผลดีต่อตัวนางแพร่ออกไป งานแต่งงานของนางในครั้งนี้ต้องล้มเหลวเป็นแน่ ต้องเป็นพี่สาวรองที่สร้างปัญหาขึ้นมา ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ในหนึ่งวันตั้งแต่เช้ายันเย็นนางคล้ายกับกินประทัดเข้าไปก็ไม่ปาน เห็นใครก็ปะทุใส่คนนั้น บัดนี้มีคุณหนูพานขวางหน้าพวกเราเอาไว้ พวกเราจึงได้หยุดพักบ้าง ถึงแม้การคิดเช่นนี้ทำให้รู้สึกผิดต่อคุณหนูพานอยู่บ้าง แต่ข้าก็ถูกนางหาเรื่องจนหวาดกลัวแล้วจริงๆ

หวังซีเองก็รู้สึกว่าฉังหนิงชอบหาเรื่องโดยใช่เหตุเหมือนกัน กล่าวยิ้มๆ ว่า สงสารก็แต่พี่สาวสาม ถูกนางลากไปด้วยบ่อยๆ ต้องคอยรับมือนางอย่างเหมาะสม

ฉังเหยียนกระทำอะไรมั่นคงและสุขุมกว่าฉังหนิงมาก แม้นฉังหนิงจะแก่กว่าฉังเหยียนหนึ่งเดือน แต่ในสายตาของทุกคน ฉังเหยียนกลับเหมือนเป็นพี่สาว ส่วนฉังหนิงเหมือนเป็นน้องสาว ทุกคนชื่นชมฉังเหยียนมากกว่า

หวังซีรู้ว่าเช่นนี้ไม่ค่อยปกตินัก แต่ผู้ใดใช้ให้ฉังหนิงมีนิสัยชวนรังเกียจ นางเองก็ไม่อยากเอ่ยถึงฉังหนิงเช่นกัน

เมื่อมาถึงเรือนฮูหยินผู้เฒ่า พวกนางไม่เพียงเจอฉังหนิงและฉังเหยียนที่มาคารวะฮูหยินผู้เฒ่าเท่านั้น ยังเจอคุณหนูพานด้วย ทั้งสามคนนั่งล้อมอยู่ข้างกายฮูหยินผู้เฒ่าด้วยสีหน้านอบน้อม ทุกคนกำลังยิ้มฟังฉังหนิงพูดอะไรบางอย่างอยู่

เมื่อวานตอนเย็นยังไม่ถูกกันอยู่เลย วันนี้มาคารวะฮูหยินผู้เฒ่าพร้อมกันแล้ว

หวังซีและฉังเคออดแลกเปลี่ยนสายตากันครั้งหนึ่งไม่ได้ ถึงพากันก้าวออกไปทำความเคารพฮูหยินผู้เฒ่า

สาวใช้ที่มีไหวพริบยกเก้าอี้กลมเข้ามา

ทั้งสองคนกล่าวขอบคุณพลางนั่งลง ถึงค้นพบว่าพวกนางกำลังคุยเรื่องไปร่วมอวยพรวันคล้ายวันเกิดของเป่าชิ่งจ่างกงจู่กันอยู่

ฮูหยินผู้เฒ่าถามพวกนางว่าเตรียมเสื้อผ้าเครื่องประดับไปถึงไหนกันแล้ว จากนั้นกล่าวว่า แม้นวันคล้ายวันเกิดครานี้จะมิใช่การครบรอบทุกๆ สิบปี แต่ซูเฟยเหนียงเหนียงจะพาองค์หญิงฟู่หยางมาร่วมอวยพรเป่าชิ่งจ่างกงจู่ด้วย พวกเจ้าต้องทำตัวให้ร่าเริง เสื้อผ้าเครื่องประดับที่จะสวมใส่ในวันนั้นต้องเอามาให้โหวฮูหยินดูล่วงหน้าก่อน อย่าไปทำตัวเสียมารยาทที่งานเลี้ยง

ซูเฟยเหนียงเหนีงหรือ

หวังซีก ะพริบตาปริบๆ

หากกล่าวว่าฮองเฮาคือผู้บัญชาการของหกตำหนัก เช่นนั้นซูเฟยเหนียงเหนียงผู้นี้ก็คือคนที่ได้รับความโปรดปรานที่สุดในวังหลังแล้ว

นางยังคลอดองค์ชายสาม องค์ชายห้าและพระธิดาหนึ่งเดียวอย่างองค์หญิงฟู่หยางให้ฮ่องเต้อีกด้วย

รัชศกหย่งชิ่งปีที่สิบหก นางเกือบจะได้รับอิสริยยศเป็นกุ้ยเฟยแล้ว

และนางก็เป็นพระยาชาหนึ่งเดียวในวังหลังที่ให้กำเนิดองค์ชายสองพระองค์

กล่าวได้ว่า เป็นหนึ่งในพระชายาที่มีสถานะสำคัญ

นางมาร่วมอวยพรเป่าชิ่งจ่างกงจู่ด้วย…เมื่อก่อนเคยแต่ได้ยินว่าเป่าชิ่งจ่างกงจู่กับฮองเฮามีความสัมพันธ์ต่อกันดียิ่ง ไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าความสัมพันธ์กับซูเฟยเหนียงเหนียงก็ดีมากเหมือนกัน!

ฉังหนิงกลับฟังแล้วดวงตาทั้งคู่เป็นประกาย ถามฮูหยินผู้เฒ่าต่อว่า เป่าชิ่งจ่างกงจู่ให้คนมาแจ้งท่านแล้วหรือ

งานเลี้ยงที่เป็นทางการมากๆ ปกติเจ้าบ้านจะส่งหมัวมัวคนดูแลบ้านนำรายชื่อแขกที่จะมาร่วมงาน รวมถึงสิ่งที่ต้องระวังมาแจ้งให้แขกที่จะไปร่วมงานทราบก่อนล่วงหน้า เมื่อถึงเวลาจะได้ไม่เกิดเรื่องไม่น่าอภิรมย์ขึ้น

ฮูหยินผู้เฒ่าพยักหน้า กล่าวว่า จ่างกงจู่เป็นคนเรียบง่ายอย่างที่สุด นอกจากงานวันคล้ายวันเกิดครบรอบสี่สิบปีที่ฮ่องเต้และฮองเฮาล้วนเสด็จมาร่วมอวยพรนางในปีนั้นแล้ว ก็มีครั้งนี้ที่นางส่งเทียบเชิญมาให้แต่ละจวนอย่างเคร่งครัดเช่นนี้ แต่นางอาจจะมิได้ยินดีต้อนรับซูเฟยเหนียงเหนียงที่มาอวยพรนางด้วยตัวเองจากใจจริง พวกเจ้าต้องระมัดระวัง ถึงเวลาอย่าให้เกิดเรื่องอะไรขึ้นเชียว

หวังซีคิดคำนวณอยู่ในใจ

ดูแล้วงานวันคล้ายวันเกิดครานี้จะไม่ธรรมดาเสียแล้ว!

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะองค์ชายสามและองค์ชายห้าล้วนโตเป็นผู้ใหญ่ ต้องแต่งงานมีบุตร มีจวนและแต่งตั้งตำแหน่งอ๋องแล้วหรือเปล่า

ถึงแม้ยังเหลือเวลาอีกสิบกว่าวันกว่าจะถึงงานวันคล้ายวันเกิดของเป่าชิ่งจ่างกงจู่ แต่นางกลับมีความรู้สึกว่าพายุฝนกำลังจะมา ตั้งตารอดูการแสดงงิ้วแล้ว

ทุกคนต่างขานรับคำยิ้มๆ ว่า เจ้าค่ะ

เพียงแต่ว่าฉังหนิงดูไม่เก็บเอาคำพูดของฮูหยินผู้เฒ่ามาเป็นเรื่องสลักสำคัญ ดูแล้วทำให้คนรู้สึกว่าเพียงตอบรับไปแบบส่งๆ เท่านั้น กลับเป็นฉังเหยียน แววตาหนักอึ้ง ดูคิดมากเล็กน้อย ผู้ที่ทำให้คนรู้สึกค่อนข้างประหลาดใจคือคุณหนูพาน สีหน้าสงบนิ่ง รอยยิ้มอบอุ่น ให้ความรู้สึกลอยตัวอยู่เหนือความขัดแย้ง

หวังซีใคร่ครวญวัตถุประสงค์การมาเยือนจิงเฉิงของนางอีกครั้ง รู้สึกว่านางคงไม่ต่างจากตนและฉังเคอ ที่ตั้งใจจะไปร่วมงานวันคล้ายวันเกิดของเป่าชิ่งจ่างกงจู่พอเป็นพิธีเท่านั้น

นางลอบพยักหน้า รู้สึกว่าคุณหนูพานผู้นี้น่าจะเป็นคนที่เข้าใจเรื่องต่างๆ ได้ค่อนข้างดีผู้หนึ่ง

นับจากนั้นเป็นต้นมา โหวฮูหยินก็มาตรวจดูเสื้อผ้าเครื่องประดับที่พวกนางเตรียมไปร่วมงานวันคล้ายวันเกิดของเป่าชิ่งจ่างกงจู่ที่สวนหิมะงามและสวนร่มวสันต์บ่อยๆ แน่นอนว่านี่ล้วนเป็นเรื่องราวในภายหลัง

แต่ตอนนี้ หลังจากที่ฮูหยินผู้เฒ่าย้ำกำชับพวกนางอีกรอบอย่างไม่วางใจเสร็จแล้ว ฉังหนิงก็ถามถึงซือจู นางจะมาถึงจิงเฉิงเมื่อไร หากพลาดงานวันคล้ายวันเกิดของจ่างกงจู่ไปคงไม่ดีแน่!

ฮูหยินผู้เฒ่ากลับปรารถนาให้นางมาถึงช้าสักหน่อย กว่าบ้านที่สวนร่มหลิวจะซ่อมแซมเสร็จก็ปลายเดือนหกหรือไม่ก็ต้นเดือนเจ็ด หากซือจูมาถึงเร็วเกินไป ก็จะไร้ที่พักสำหรับรับรองนาง

ฉังหนิงถามเช่นนี้ ก็นับว่าเป็นการยกกาที่น้ำยังไม่เดือด[1]แล้ว

ฮูหยินผู้เฒ่ามีสีหน้ากระอักกระอ่วน พูดอีกไม่กี่ประโยค ก็ยกชาขึ้นมา

ทุกคนรีบลุกขึ้นกล่าวอำลา

ซือหมัวมัวออกมาส่งพวกนางที่ประตู

ตามปกติแล้วฉังหนิงกับฉังเหยียนทางเดียวกัน เดินอยู่หน้าสุด หวังซีและฉังเคอทางเดียวกัน เดินตามหลังพวกนางพร้อมกับคุณหนูพานเงียบๆ

ทว่าวันนี้ต่างไปจากเดิมเล็กน้อย

เมื่อออกมาจากเรือนหยกวสันต์ ฉังหนิงที่แต่เดิมเดินจับมือกับฉังเหยียนอยู่นั้นดึงให้ฉังเหยียนหยุดฝีเท้าลงอย่างกะทันหัน ข้ามหวังซีไปถามฉังเคอว่า ได้ยินว่าเมื่อวานเจ้ากับน้องสาวสกุลหวังออกไปเดินตลาดมาหรือ ไม่ทราบว่าซื้อของดีอะไรมาบ้าง

น้ำเสียงนั่น คล้ายกับกำลังสอบสวนบ่าวไพร่ของตัวเองที่ออกไปข้างนอกโดยไม่ผ่านความเห็นชอบของตัวเอง

หวังซีไม่พอใจ ทว่าไม่อาจตอบคำถามแทนฉังเคอได้

เนื่องจากการออกไปข้างนอกกับนางเป็นการตัดสินใจเลือกของฉังเคอเอง

นางมองฉังเคอนิ่ง

คุณหนูพานที่แต่เดิมเดินเรียงมากับพวกนางกลับเผยความประหลาดใจออกมาทางดวงตา เดินไปข้างๆ สองสามก้าว กระโดดออกไปจากวงล้อมของพวกนางด้วยท่าทางของคนลอยตัวอยู่เหนือปัญหา แต่สายตากลับจับจ้องอยู่บนร่างฉังเคอ

ฉังเคอกลายเป็นจุดสนใจในฉับพลัน

ฉังเหยียนหน้าเคร่งดึงแขนเสื้อฉังหนิงเบาๆ

ฉังหนิงกลับสะบัดมือฉังเหยียนออกอย่างแรง

สีหน้าของฉังเหยียนพลันไม่น่าดูเป็นอย่างมาก

ฉังเคอกลับขจัดความขลาดกลัวและไม่ค่อยพูดของเมื่อหลายวันก่อนไปเสีย ราวกับไม่เข้าใจเจตนาร้ายที่แฝงอยู่ในคำพูดของฉังหนิง มองฉังหนิงด้วยความจริงใจเต็มเปี่ยม ยิ้มหวานจนลักยิ้มตรงแก้มซ้ายฉายชัดออกมา ร้อง อ๋อ ออกมาเสียงกังวานใส กล่าวว่า ข้าไม่เพียงไปเดินตลาดกับน้องสาวสกุลหวังเท่านั้น ยังพาน้องสาวสกุลหวังไปกินแป้งย่างร้านที่พวกเราชอบกินตอนเป็นเด็กร้านนั้นด้วย น้องสาวสกุลหวังกลับพาข้าไปตัดชุด ร้านที่ชื่อว่าห้องเสื้อเมฆาคำนึงร้านนั้น ตอนแรกข้าไม่รู้ว่านั่นคือห้องเสื้อเมฆาคำนึง ต่อมาตอนที่พวกเขามอบถุงหอมที่เฉาอวิ๋นไต้ซือของวัดต้าเจวี๋ยเป็นคนทำให้พวกข้า ข้าถึงตระหนักได้ว่าที่นั่นคือห้องเสื้อเมฆาคำนึงที่คุณหนูหกของจวนชิ่งอวิ๋นโหวมักจะกล่าวชมตลอดว่าตัดชุดได้งดงามร้านนั้นนั่นเอง

จากนั้นนางก็ยิ้มอบอุ่นพูดถึงเรื่องที่นางกับหวังซีไปตัดเสื้อผ้าขึ้นมาอีก

เล่าว่าเจ้าของร้านให้เกียรติอย่างไรบ้าง พอได้ยินว่าหวังซีจะไปเยือน ยังตั้งใจปิดร้านให้เป็นพิเศษ ให้การรับรองเพียงนางกับหวังซีเท่านั้น

เหนียงจื่อ[2]ที่รับผิดชอบดูแลอยู่ในร้านยังอุตส่าห์สืบดูว่าหวังซีและนางชอบสวมใส่เสื้อผ้าอะไร แนะนำผ้าที่เหมาะกับความต้องการของพวกนางให้ด้วย

ตอนกลับนอกจากจะมอบถุงหอมให้แล้ว ยังรับรองพวกนางด้วยชาหลงจิ่งแท้ที่เก็บเกี่ยวก่อนเทศกาลเช็งเม้ง ถ้วยชาเป็นกระเบื้องเคลือบลายครามผลิตจากเตาเผาของสำนักพระราชวังที่จิ่งเต๋อเจิ้น เนื่องจากลูกค้าหนึ่งคนหนึ่งถ้วย ตอนออกมายังมอบชุดถ้วยชาให้พวกนางอีกด้วย

และอื่นๆ อีกมากมาย ทำให้ฉังเคอได้เปิดหูเปิดตา ยิ่งพูดดวงตาก็ยิ่งเป็นประกาย กระทั่งพูดออกมาด้วยว่า ไม่แปลกที่คนจำนวนมากชอบไปตัดเสื้อผ้าที่ห้องเสื้อเมฆาคำนึงทั้งๆ ที่มีช่างตัดเย็บอยู่ในบ้านอยู่แล้ว ผู้ใดจะหน่ายหนีที่ที่ แค่ยกมือก็มีคนยื่นน้ำชาของว่างมาถึงมือ ช้อนตาขึ้นก็มีคนถามเจ้าว่าต้องการอะไร ปรนนิบัติรับใช้เจ้าประหนึ่งเป็นองค์หญิงได้

……………………………………………………………………………….

[1] ยกกาที่น้ำยังไม่เดือด เปรียบเปรยว่าทำเรื่องที่ไม่สมควรทำ

[2] เหนียงจื่อ คำเรียกสตรีอย่างสุภาพ

ตอนต่อไป