ตอนที่ 28 มาร้าย

“อีกอย่าง สถานการณ์ของเราสองคนในตอนนี้ จะมีชีวิตอยู่รอดถึงพรุ่งนี้หรือเปล่าก็ไม่รู้ หากข้าบอกว่าปัญหาของข้าในตอนนี้คืออยากหนีออกจากที่นี่และกลับบ้าน เจ้าแก้ปัญหาให้ข้าได้หรือไม่”

‘หากเจ้าแก้ได้จะตกต่ำมาอยู่ที่นี่เหรอ?’ ฉินปู้เข่อก้มหน้าทำความสะอาดบาดแผลของเขา และกลืนครึ่งประโยคที่เหลือกลับเข้าท้อง

“หากข้าบอกว่าข้าแก้ปัญหาได้จริง ๆ ล่ะ” หมี่เฉินอี่ยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย

เลือดที่บาดแผลได้หยุดไหลลงแล้ว เรี่ยวแรงเขาก็เริ่มกลับคืนมาบ้าง

ฉินปู้เข่อหัวเราะออกมาอีกครั้ง นางตบบ่าเขาและปลอบโยนเขาว่า “พี่ชาย ไม่ต้องฝืนทำเป็นเข้มแข็งหรอก ข้าเข้าคุกบ่อยไม่ต้องเก็บคำที่ข้าพูดไปใส่ใจหรอก”

“ตอนนี้บาดแผลของเจ้าเรียบร้อยดี หากแต่เพียงชั่วคราวเท่านั้น ข้าแนะนำว่าหลังจากเจ้ากลับไปให้พักผ่อนอีกสักสองสามวัน รับงานน้อยลงหน่อย เงินน่ะหาได้น้อยกว่าเดิมได้ แต่ชีวิตมีเพียงชีวิตเดียวนะ ต้องดูแลให้ดี…”

“อ๊าก” ทันใดนั้นก็มีเสียงโหยหวนอย่างเจ็บปวดดังมาจากนอกคุก

“เอ๋ ข้างนอกมีคนตีกัน คนชุดดำสองฝ่ายกำลังสู้กันอยู่” ฉินปู้เข่อเขย่งเท้าชะโงกมองออกไปตรงหน้าต่าง “พวกเขาสู้กันเองเหรอ”

หมี่เฉินอี่กอดอก ก้มหน้าก้มตาไม่พูดจา

ชายชุดดำกลุ่มหนึ่งที่ด้านนอกถูกกำราบได้อย่างรวดเร็ว ชายชุดดำสี่ห้าคนที่เต็มไปด้วยแรงอาฆาตดินถือกระบี่เย็นเยียบที่เต็มไปคราบเลือดเดินเข้ามาในคุก

ฉินปู้เข่อตกใจมาก พวกเขาสู้กันเองเสร็จแล้วจะฆ่าคนในคุกเพื่อปิดปากเหรอ

“รีบนอนแกล้งตายเร็ว” นางเหวี่ยงแขนไปที่หน้าอกของหมี่เฉินอี่และกดอีกฝ่ายลงกับพื้น

ไม่นานประตูคุกก็ถูกเปิดออก ชายชุดดำคนหนึ่งวางกระบี่ยาวลงและคุกเข่าข้างเดียวกับพื้น ประสานมือพร้อมกล่าว “ข้าน้อยมาช้า จนนายท่านต้องพบอันตราย ข้าน้อยขอตัดแขนตนหนึ่งข้าง หวังว่านายท่านจะให้อภัย”

พูดจบก็หยิบกระบี่ยาวในมือฟันมือซ้ายตนเองขาด

หมี่เฉินอี่นอนหงายอยู่บนพื้น แขนของฉินปู้เข่อยังวางอยู่บนหน้าอก

เขากระแอม “แม่นางโปรดเอาแขนออกด้วย”

ฉินปู้เข่อเลื่อนแขนออกช้า ๆ กดหัวลงกับฟางเพื่อแกล้งตาย

ที่แท้ชายชุดดำที่มาทีหลังนั้นมาเพื่อช่วย ‘หลานหลิงหวาง’ คนนี้

หรือว่า ‘หลานหลิงหวาง’ จะเป็นหัวหน้ากลุ่มนักฆ่าสักกลุ่ม

ดูจากเหตุการณ์เมื่อกี้ลูกน้อง ‘หลานหลิงหวาง’ พลังรบแกร่งกล้า ตัวเขาเองก็มีฝีมือในการสั่งสอนลูกน้อง อำมหิตเลือดเย็น

นางรู้สึกว่าโอกาสที่ตนจะถูกฆ่าปิดปากสูงขึ้นอย่างมาก

“แม่นาง?!” หรือจะตกใจจนสลบไปแล้ว หมี่เฉินอี่เอ่ยเรียกเสียงเบาอีกครั้ง

“พี่ชาย เราสองคนไม่มีความแค้นต่อกัน ข้าแค่โดนศัตรูลักพาตัวมาเท่านั้น ข้าไม่เคยคิดจะมาดูพวกเจ้าปฏิบัติภารกิจเลยนะ…”

“ข้ารู้กฎของอาชีพพวกเจ้า เจ้าสบายใจได้ เรื่องคืนนี้ข้าไม่เห็นอะไรทั้งนั้น ไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น และไม่เคยพบเจ้าที่นี่ด้วย…อย่าฆ่าข้าปิดปากเลยนะ…”

ฉินปู้เข่อนอนหมอบกับพื้นอยากจะร้องไห้ ทว่าไม่มีน้ำตา นางพยายามร้องขอชีวิต

เทียบกับชีวิตน้อย ๆ ของนางแล้ว ถึงเวลาขี้ขลาดก็ต้องยอม

“แค่ก ๆ แม่นางบอกว่าอยากกลับบ้านมิใช่รึ ข้าจะไปส่ง” ดูเหมือนนางจะเข้าใจกลไกการทำงานของกลุ่มนักฆ่าดี

ฉินปู้เข่อเงยหน้าด้วยท่าทางหวาดกลัว “ข้าหมายถึงกลับบ้านจริง ๆ ของข้า ไม่ใช่กลับบ้านเก่า”

นางพูดพลางทำท่าปาดคอ

“ฮ่า ๆ ๆ ๆ…” มี่เฉินอี่อดหัวเราะไม่ได้ เขาเอื้อมมือไปจิ้มหน้าผากฉินปู้เข่อ “แม่นางอายุไม่มาก แต่รู้จักศัพท์เยอะดีนี่ ในเมื่อเจ้าช่วยข้าไว้ ข้าย่อมไม่เนรคุณ”

ฉินปู้เข่อที่ยังรู้สึกหวาดกลัวอยู่ กลืนน้ำลายและเอ่ย “ไม่ฆ่าข้าจริง ๆ เหรอ”

“อืม” ประตูคุกเปิดออก ชายชุดดำสามสี่คนเดินเข้ามาพยุงหมี่เฉินอี่ออกไป

คบไฟด้านนอกส่องทั้งสวนลานนี้จนสว่างไสว เมื่อมองดูดี ๆ ฉินปู้เข่อก็พบว่าชายชุดดำกลุ่มนี้มีขอบแดงตรงแขนเสื้อ คิดว่าน่าจะเป็นสัญลักษณ์ของกลุ่ม

นางก้มหน้าด้วยความระมัดระวัง สายตาจ้องเขม็งไปที่ปลายเท้าตนเอง กลัวเหลือเกินว่าหากเห็นอะไรมากกว่านี้จะโดน ‘หลานหลิงหวาง’ คนนี้สั่งให้ควักลูกตาออกมา