ตอนที่ 44 สะใภ้ตระกูลเผยไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว

เข้าสู่โลกนิยายเพื่อไปเป็นแม่เลี้ยงจอมโหดของสามวายร้าย

ตอนที่ 44 สะใภ้ตระกูลเผยไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว

ตอนที่อาฉือและอาอินกลับมา ในบ้านก็กำลังยุ่งวุ่นวายกันอยู่ ห้องเล็กของจี้จือฮวนถูกรื้อไปแล้ว ของ ๆ นางถูกย้ายไปไว้ในห้องใหญ่ โดยใช้ผ้าม่านกั้นเป็นสองส่วน

“อาฉือ มาช่วยเขียนสัญญาให้ที” จี้จือฮวนกำลังจะต้มน้ำชาให้กับคนงาน เมื่อเห็นเด็ก ๆ กลับมาแล้วก็เอ่ยเรียกทันที

เผยจี้ฉือล้างมือเสร็จก็เดินเข้าไปในห้องครัว จี้จือฮวนจึงบอกเขาเกี่ยวกับข้อกำหนดของสัญญา “เขียนได้หรือไม่?”

“ได้”

เผยจี้ฉือหมุนกายกลับไปที่ห้องใหญ่เพื่อหยิบพู่กัน, แท่งหมึก, กระดาษ และที่ฝนหมึกออกมา

จี้จือฮวนยืนอยู่ทางด้านหลังดูเขาเขียนหนังสือสัญญา เผยจี้ฉือหันไปมองนาง “มีอะไรหรือ?”

“ไม่มีอะไร เจ้าเขียนของเจ้าไปเถอะ ข้าก็จะเรียนไปด้วย” ตัวอักษรในยุคสมัยนี้คล้ายกับตัวอักษรเสี่ยวจ้วน1 ตอนนี้นางไม่รู้จักตัวหนังสือในยุคนี้จริง ๆ จึงอาศัยเพียงการคาดเดา และบางครั้งก็เดาได้ถูกสองสามตัว

เผยจี้ฉือคิดไม่ถึงว่าจะสตรีที่มีความสามารถมากเพียงนี้จะอ่านหนังสือไม่ออก มิน่าเล่าครั้งก่อนถึงยืนกรานจะให้เขาเขียนให้ได้ เดิมทีเขายังคิดว่าร่างนี้เปลี่ยนไปแล้วจะเก่งกาจมากกว่าเดิมเสียอีก

“เช่นนั้นครั้งหน้าหากเจ้าต้องการให้เขียนอะไรก็เรียกข้าได้เลย” เผยจี้ฉือคิดถึงเจ้าของร่างเดิมขึ้นมา พลันก็ขมวดคิ้วด้วยความรังเกียจ จากนั้นก็รีบปรับอารมณ์เพื่อระงับความไม่พอใจลงไป

เพราะนี่ไม่ใช่จี้จือฮวนคนเดิมแล้ว และจี้จือฮวนในตอนนี้ก็ดีกับพวกเขามาก

“ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องเรียน ต่อไปถ้าเจ้าว่างก็ช่วยสอนข้าที” ไม่อย่างนั้นหากเผยยวนหายดีแล้ว นางต้องไปใช้ชีวิตข้างนอกแต่ไม่รู้หนังสือก็คงลำบากแย่

เผยจี้ฉือถามด้วยความประหลาดใจ “ให้ข้าสอนเจ้าอย่างนั้นหรือ?”

จี้จือฮวนถามด้วยความสงสัยขึ้นมา “เจ้าสอนไม่ได้หรือ?”

เผยจี้ฉือหลุบตาลงต่ำ ใบหูพลันแดงเรื่อขึ้นมา “ได้…ได้อยู่แล้ว”

“เช่นนั้นก็พอแล้ว ข้าเป็นคนฉลาด ดังนั้นเจ้าแค่สอนตามที่เจ้าถนัดได้เลย” จี้จือฮวนเอ่ยจบ จู่ ๆ เผยจี้ฉือก็เกิดความรู้สึกเหมือนตัวเองจะได้เป็นอาจารย์ตัวน้อยอย่างไรอย่างนั้น

จี้จือฮวนเห็นปฏิกิริยาของเขาทั้งหมด จุ๊ จุ๊ จุ๊ ปกติแสร้งทำเป็นสุขุม แต่อย่างไรเสียก็ยังเป็นแค่เด็กคนหนึ่ง เป็นแบบนี้ดีจะตายไป ปกติมักทำตัวโตกว่าเด็กคนอื่น ๆ อย่างกับชายแก่มิปาน วันหน้าต้องแกล้งแหย่เขาให้มาก ๆ แล้ว

เพราะเวลาที่จะอยู่ด้วยกันมีไม่มากแล้ว ตัวร้ายน้อยต่อไปเจ้าต้องเดินบนเส้นทางที่สดใส อย่าได้พุ่งชนกับนางเอกบ้านั่นเด็ดขาด

หลังจากเขียนสัญญาลงนามและประทับลายนิ้วมือเสร็จแล้ว ก็เก็บเอาไว้คนละแผ่น เท่านี้ก็นับว่ามีหลักประกันแล้ว

จี้จือฮวนให้อาอินเอาอาหารไปให้ไก่กับหมูที่เลี้ยงไว้ ส่วนนางก็เอาเนื้อตุ๋นหนึ่งชามและไข่ไก่ใส่ในตะกร้าไม้ไผ่ ตั้งใจว่าจะไปขอให้ท่านป้าหยางมาช่วย

อาชิงเองจึงวิ่งดุกดิกตามมาด้วย จี้จือฮวนจึงทำได้เพียงจูงมือเขาเดินเข้าไปในหมู่บ้าน

นี่เป็นครั้งแรกที่อาชิงเดินจับมือกับนาง ในใจอดไม่ได้ที่จะรู้สึกมีความสุขขึ้นมา

ท่านแม่ดีจังเลย มือนุ่ม ๆ ลูกอมที่ให้เขาก็หว๊านหวาน

ตอนนี้อาชิงสวมเสื้อผ้าสะอาดสะอ้านเรียบร้อย อาบน้ำอาบท่าจนตัวหอมฉุย พร้อมทั้งมัดจุกน้อย ๆ เอาไว้บนหัว เมื่อเดินเคียงข้างจี้จือฮวนจึงดูราวตุ๊กตาในภาพวาดตอนปีใหม่ เพียงแต่ผอมไปหน่อยก็เท่านั้น

แต่ก็อ้วนขึ้นกว่าก่อนหน้านี้มากแล้ว

คนในหมู่บ้านกำลังซุบซิบนินทากันอยู่ คิดไม่ถึงว่าจี้จือฮวนจะลงเขามาพอดี ก่อนหน้านี้ทุกคนไม่เคยทักทายนางมาก่อน แต่ตอนนี้พอเห็นนางก็มีหลายคนพุ่งตัวเข้าไปหาทันที

“สะใภ้ตระกูลเผย เจ้าจะไปที่ไหนหรือ”

จี้จือฮวนยกตะกร้าไม้ไผ่ในมือขึ้นมา “ไปบ้านท่านป้าหยางเจ้าค่ะ”

“ได้ข่าวว่าเจ้าสร้างบ้านใหม่อย่างนั้นหรือ สะใภ้ตระกูลเผยเจ้าขายอะไรที่ตำบลอย่างนั้นหรือ ได้เงินเยอะเพียงนี้เชียวหรือ?”

จี้จือฮวนมีท่าทางสงบนิ่ง เพียงแค่พยักหน้าให้พวกเขาน้อยๆ จากนั้นก็เดินไปทางบ้านท่านป้าหยางทันที

ชาวบ้านเหล่านี้ในความทรงจำไม่เคยทำดีกับเจ้าของร่างเดิมเลย ทั้งขับไล่นางเพราะรังเกียจที่นางอัปลักษณ์ และตอนแรกที่เจ้าของร่างเดิมยังใจดีกับพวกเด็กๆ อยู่ ก็ยังด่าทอเจ้าของร่างเดิมว่าเป็นตัวซวยอย่างร้ายกาจ จนทำให้เจ้าของร่างเดิมเปลี่ยนไป

ตอนนี้เห็นนางมีเงินแล้วอยากจะมาประจบสอพออย่างนั้นหรือ มีเรื่องดีแบบนี้ที่ไหนกัน

ส่วนคนที่ดีกับนาง นางย่อมต้องช่วยอยู่แล้ว

ท่านป้าหยางกำลังปั่นฝ้ายอยู่ที่บ้าน เมื่อได้ยินเสียงก็รีบออกมาดู เมื่อเห็นว่าเป็นจี้จือฮวนก็ยิ้มออกมาทันที “อ้าว ฮวนฮวนเองหรือ เหตุใดวันนี้เจ้าถึงว่างมาหาข้าได้ล่ะ”

เอ่ยจบก็อุ้มอาชิงขึ้นมา “โอ้โห อาชิงน้อยอ้วนขึ้นไม่เบาเลยนะ ให้ย่าหยางชั่งน้ำหนักดูหน่อยสิ”

ท่านป้าหยางหัวเราะอย่างมีความสุข อาฝู๋หลานชายของท่านป้าหยางก็อยู่ด้วย เมื่อเห็นจี้จือฮวนก็ตกใจจนเข้าไปซ่อนตัวในบ้าน ท่านป้าหยางเรียกอยู่นานจึงยอมออกมา

“เจ้าเด็กคนนี้ขี้กลัว เจ้าอย่าถือสาเขาเลยนะ” ท่านป้าหยางหัวเราะออกมา

“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ วันนี้ที่ข้ามาเพราะมีเรื่องที่อยากจะขอให้ท่านป้าช่วยเจ้าค่ะ” จี้จือฮวนอธิบายสาเหตุที่มาหาให้นางฟัง ท่านป้าหยางจึงเอ่ยด้วยความประหลาดใจ “ฮวนฮวน ทำไมเจ้าถึงได้เก่งเช่นนี้กัน เงินสี่สิบตำลึงเจ้าก็จ่ายได้ง่าย ๆ แบบนี้เลยหรือ”

ท่านป้าหยางจึงลองใคร่ครวญดู อย่างไรเสียตอนนางอยู่บ้านก็ไม่มีอะไรทำอยู่แล้ว “ได้ ข้าจะไปช่วยทำกับข้าวที่บ้านพวกเจ้า”

“ท่านป้าวางใจได้ เรื่องค่าแรงกับอาหารข้าจะเป็นคนรับผิดชอบเองเจ้าค่ะ ข้าให้ท่านวันละหกสิบเหวิน ท่านเห็นว่าอย่างไรเจ้าคะ?”

การทำอาหารหม้อใหญ่ ๆ ไม่ใช่เรื่องง่าย และท่านป้าหยางเองก็อายุมากแล้ว ถ้าจี้จือฮวนมีตัวเลือกที่ดีกว่านี้ ก็คงจะไม่มาใช้แรงงานคนอายุมากอย่างนางแน่

“ไม่ได้ ๆ ข้าจะเอาเงินเจ้าได้อย่างไร”

“ถ้าท่านไม่รับเงิน เช่นนั้นข้าก็ต้องไปหาคนอื่นแล้วล่ะเจ้าคะ จะให้คนทำงานแล้วไม่จ่ายเงินให้ได้อย่างไรกัน”

ท่านป้าหยางเห็นนางพูดจาขึงขังจริงจัง จึงเอ่ยด้วยใบหน้าแดงเรื่อขึ้นมา “ได้ เจ้าว่าอย่างไรก็ตามนั้น”

“ในเมื่อท่านป้าพูดเช่นนี้ ต่อไปพวกเราสองบ้านเวลาไปมาหาสู่กันก็จะได้สบายใจ จะรบกวนคนอื่นอยู่ตลอดได้อย่างไรกันจริงหรือไม่เจ้าคะ ยังมีอีกเรื่อง ถ้าให้ท่านป้าทำงานนี้คนเดียวดูจะหนักเกินไป มีคนที่ไว้ใจได้อีกหรือไม่เจ้าคะ อีกสักคนหนึ่งค่าแรงข้าจะให้เท่ากันเจ้าค่ะ”

ป้าหยางนึกขอบคุณอยู่ในใจ ความจริงแล้วก่อนหน้านี้ที่บ้านของนางก็เกิดเรื่องจนต้องแยกบ้านกันอยู่ ลูกสะใภ้คนโตและคนรองทะเลาะกันเช่นนี้ ทำให้เงินในบ้านแทบจะไม่เหลือ สามีของนางก็ทำได้แค่ทำไร่ไถนา แต่ตอนนี้มีหนทางที่จะหาเงินได้แล้ว ช่างมาได้ถูกจังหวะเวลาจริง ๆ

อีกอย่าง วันหนึ่งยังได้เยอะขนาดนั้น ไม่มีใครปฏิเสธหรอก

“ได้ ข้าจะช่วยดูให้” ท่านป้าหยางรับปากในเรื่องนี้

จี้จือฮวนถึงได้โล่งอก เช่นนี้เรื่องที่บ้านนางก็ไม่ต้องกังวลแล้ว

“ฮวนฮวน ตอนนี้เจ้าเปลี่ยนไปแล้วจริง ๆ ไม่เหมือนกับเมื่อก่อนเลย ข้าเองก็บอกไม่ถูก แต่รู้สึกว่าเจ้าสวยขึ้น” ท่านป้าหยางคิดหาคำพูดอยู่พักใหญ่ แต่น่าเสียดายที่คนในชนบทไม่รู้ว่าจะเอ่ยชมคนอย่างไร

เพียงแต่รู้สึกว่าจี้จือฮวนดูสุขุมขึ้น ไม่เหมือนกับตอนที่ขี้กลัวและเศร้าหมองก่อนหน้านี้ แม้ใบหน้าจะยังคงเหมือนเดิม ทว่ากลับดูสวยขึ้นมาก คำพูดคำจาก็เป็นหลักเป็นการ อีกทั้งยังจัดการเรื่องต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดีอีกด้วย

“บ้านหลังนั้นมีเจ้าอยู่ด้วย วันหน้าต้องดีขึ้นเรื่อย ๆ อย่างแน่นอน”

ท่านป้าหยางคิดถึงคน ๆ หนึ่งขึ้นมาได้ “เจ้าว่าเสี่ยวเจียนเป็นอย่างไร ข้าจะพาเจ้าไปเจอนาง”

บ้านของเสี่ยวเจียนอยู่ติดกับบ้านท่านป้าหยาง พ่อแม่ของนางเสียไปหมดแล้ว พี่ชายก็แต่งงานแล้ว และมักจะไปขายของนอกหมู่บ้านตลอดทั้งปี ที่บ้านจึงเหลือแค่พี่สะใภ้คนเดียวที่คอยรังแกเสี่ยวเจียนทุกวัน เด็กน้อยที่น่าสงสารผอมจนเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก ทุกวันหลังจากกลับมาจากการทำนา ก็ต้องซักผ้า หุงหาอาหาร ผ่าฟืน มีงานมากมายรอนางอยู่

ตอนที่ท่านป้าหยางมาถึง เสี่ยวเจียนก็กำลังซักผ้าไปเช็ดน้ำตาไปอยู่ในลานบ้าน

“เสี่ยวเจียน!” ท่านป้าหยางผลักประตูเข้ามา

เสี่ยวเจียนเงยหน้าขึ้นมา ผมเผ้ายุ่งเหยิง เสื้อผ้าที่สวมใส่ก็ขาดวิ่น ใบหน้ามีร่องรอยของการถูกตบ จี้จือฮวนเห็นแล้วก็ขมวดคิ้วขึ้นมาทันที

“ท่านป้า ท่านมีอะไรหรือเจ้าคะ” เสี่ยวเจียนเช็ดหน้าเช็ดตา ก่อนจะเช็ดมือกับเสื้อที่สวม และเดินออกมาต้อนรับ

[1] ตัวอักษรเสี่ยวจ้วน (小篆) เกิดขึ้นหลังจากจิ๋นซีฮ่องเต้รวบรวมแผ่นดินจีนเป็นหนึ่งได้แล้ว จึงออกนโยบายปฏิรูปอักษรให้ใช้เหมือนกันทั่วประเทศ