ภาคที่หนึ่ง ตอนที่ 45 วิถีของสวีจั้ง

เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า

ตอนที่ 45 วิถีของสวีจั้ง

ราชันดาราพลิกสมุทรที่ออกจากเขาศักดิ์สิทธิ์ตำหนักทะเลสาบกระบี่พุ่งทะยานออกไป เคลื่อนกระบี่บินไปทางเขาอนันต์เล็ก

ค่ายกลกระบี่โอฬารเร่งความเร็วขึ้นเรื่อยๆ

คนกลุ่มนี้ไม่ได้ออกมือแต่บรรลุเป้าหมายแล้ว ราชันพลิกสมุทรขมวดคิ้ว เจ้าตำหนักใหม่แห่งตำหนักทะเลสาบกระบี่นั่นดูสุภาพอ่อนโยนมาตลอด แต่ความจริงเป็นคนที่ล่วงเกินไม่ได้ พลังบำเพ็ญยากจะอ่านได้ ยิ่งพลังบำเพ็ญสูงก็ยิ่งก้มหัวได้ยาก ต้องแย่งชิงไปทุกเรื่อง เจอหัวเหล็ก จะหัวแตกเลือดไหลเอาได้ง่ายๆ

ทุกคนเข้าใจหลักการนี้ แต่จะตัดเนื้อให้เหยี่ยวกินกลับยากมาก

หลิ่วสือยินดีสังหารดาราชะตาสองคนแห่งตำหนักทะเลสาบกระบี่ ไถ่โทษให้สวีจั้ง หรือเพียงเพราะบุญคุณที่พันกรมีต่อเขาในตอนนั้นกัน

ราชันดาราพลิกสมุทรคิดกลับไปกลับมา นึกไปถึงสีหน้าของหลิ่วสือรวมถึงความหมายพวกนั้นในคำพูด

ออกจากเขตแดนตำหนักทะเลสาบกระบี่มา พลันมีเสียงทะลวงอากาศเบาๆ แว่วมาจากข้างหลัง

ราชันดาราพลิกสมุทรพลันหันกลับ แสงกระบี่สีดำสนิทพุ่งเข้ามาเฉียดผ่านแก้มเขา ตัดผมเปียยาวเป็นเถ้าถ่าน แสงดำนั้นเสียงเบามาก แต่กลับมีอานุภาพสังหารแกร่งยิ่ง พริบตาเดียวก็พุ่งใส่ค่ายกลกระบี่

ทะเลแดงข้างราชันดาราพลิกสมุทรมีกระบี่นับพันลอยขึ้นลง ทุกเล่มผ่านการหล่อหลอมด้วยเลือดหัวใจ เชื่อมต่อแนบแน่นกับทะเลวิญญาณของเขา ล้อมรอบตัวเองลอยไป ‘ค่ายกลกระบี่โอฬาร’ เป็นค่ายกลกระบี่ที่แข็งแกร่งยิ่ง อานุภาพที่สำแดงออกมาอยู่อันดับต้นๆ ในเขาอนันต์เล็ก เพียงแค่พกพาไม่สะดวกเท่านั้น

ค่ายกลกระบี่หนักเช่นนี้ หลังเสียงทะลวงอากาศเบาดังแว่วมา ทั้งค่ายกลกระบี่สั่นสะเทือน

จากนั้นเป็นเสียงทะลวงดัง ‘ปัง’

ราชันดาราพลิกสมุทรอึ้งงัน เขายังตั้งสติกลับมาไม่ได้ในทันที ค่ายกลกระบี่โอฬารที่เชื่อมต่อกับแสงดาราชีวิตถูกลำแสงสีดำนั้นทะลวง กระบี่ที่ขวางทางแสงดำไว้ถูกทำลายล้าง

ราชันดาราพลิกสมุทรหน้าซีดขาวไปสามส่วนทันที แทบจะกระอักเลือดออกมา หลังฝืนกดไว้แล้วพลันหยุดนิ่ง คนที่เด้งออกมาในความคิดคนแรกคือพันกรแห่งเขาสู่ซาน

เขาหันไปมองรอบๆ สุดท้ายมองบนพื้นดิน บุรุษชุดคลุมดำเก็บกระบี่วางมาดเดินออกมาจากพุ่มไม้ช้าๆ

แสงดำนั้นวนรอบหนึ่ง ส่งเสียงดังพึ่บพั่บกลางสายลมยามราตรี หันเหทิศทางและทะลวงทะเลแดงอีกครั้ง พาศพของศิษย์เขาอนันต์เล็กตกลงพร้อมกันสามสี่คน ก่อนจะพุ่งลงดินสามฉื่อตรงหน้าสวีจั้งอย่างเงียบสงบยิ่ง

นั่นคือฝักกระบี่สีดำสนิท

ฝักกระบี่พินิจเหมันต์

ราชันดาราพลิกสมุทรมองสองคนที่อำพรางพลังไล่ตามมาตลอดด้วยความตกใจอย่างยิ่ง เสียงโกรธแค้นของเขาฉีกยามราตรี “สวีจั้ง!”

ผู้ฝึกกระบี่ที่มีพลังบำเพ็ญเพียงขอบเขตที่สี่ เหตุใดถึงได้ไร้เหตุผลเช่นนี้!

ภายใต้สถานการณ์เหนือความคาดหมายของตน ถ้าบอกว่าพินิจเหมันต์ที่มีระดับสูงยิ่งสามารถทำลายค่ายกลโอฬารได้ เขาก็แทบจะไม่เชื่อ

ฝักกระบี่โบราณธรรมดาไม่หวือหวา เหตุใดถึงได้มีอานุภาพน่ากลัวขนาดนี้กัน

บนพื้น

เสียงศพทุ้มต่ำและแสบหูตกลงพื้นดังขึ้น สวีจั้งปักกระบี่ร่มลงบนดิน ยกเท้าข้างหนึ่งขึ้นเหยียบฝักกระบี่พินิจเหมันต์ ทั้งตัวเขาพลันพุ่งออกไป ประกบฝ่ามือ ฝักกระบี่ดำสนิทนั้นลอยขึ้นจากพื้นอีกครั้ง ตามมา

หนิงอี้ปฏิบัติตามคำสอนอย่างระมัดระวัง สวีจั้งเงียบมาตลอดทาง ใบหน้าซีดขาวขึ้นเรื่อยๆ กลิ่นอายแสงดาราในกายลดลงไม่หยุด เพียงแค่พูดกับตนสี่คำ

“ดูให้ดี จำไว้”

หนิงอี้มองร่างเงาชุดคลุมดำที่กระโดดขึ้นสูง ภายใต้ดวงจันทร์ใหญ่ สองมือจับฝักกระบี่ดำ ฝักกระบี่เก่าแก่และธรรมดาเรียวยาวถูกเขาควงขึ้นสูง เหมือนกระบองดึงฟ้าดิน!

สวีจั้งฟาดฝักกระบี่ลงใส่ค่ายกลกระบี่โอฬาร!

“กระบี่ฟาด”

ในความคิดหนิงอี้เป็นภาพตรอกเล็กที่ฝนตกในเมืองสันติ สวีจั้งโยนพับไฟออกไปก่อนจะใช้ฝักกระบี่ผ้าดำเปียกฝนฟันแตก

มันซ้อนทับกับภาพตรงหน้า

หลังเขาสู่ซาน ความลับของกระบี่ฟาด…

ทุกสรรพสิ่ง ก็แค่กระบี่เดียว

หนึ่งกระบี่ฟาดลง เกิดเสียงดัง ‘วิ้ง’ เหมือนมีค้อนใหญ่ฟาดใส่ข้างหูหนิงอี้ เสียงฟ้าผ่าดังไปทั้งความคิด ขาวโพลน

การจู่โจมอย่างรุนแรงลงมาจากฟ้า ใช้กระบี่นั้นฟาดลงเป็นใจกลาง ดึงหินดินต้นไม้รอบๆ หนิงอี้คว้ากระบี่ร่มที่ปักลงพื้นไว้ ทั้งตัวเขาแทบจะลอยขึ้น ใช้ตัวกระบี่ที่ปักลงดินหนึ่งฉื่อเป็นแกนกลาง พยายามต้านแรงดึงขึ้นมหาศาลสุดชีวิต อาภรณ์ฉีกขาด เส้นผมปลิวไสว เศษหินมากมายกระแทกใบหน้า สองเท้าเหยียบบนพื้นจนเกิดเป็นร่องยาวสองสาย

หลังผ่านหนึ่งกระบี่ ม่านยามราตรีเงียบสงบและน่ากลัว

ค่ายกลกระบี่โอฬารถูกฝักกระบี่ฟาดแตก ศิษย์เขาอนันต์เล็กถูกฉีกท่ามกลางเสียงดังปราณกระบี่ที่พุ่งเข้ามา บางคนป้องกันไม่ทัน ทั้งตัวถูกปราณกระบี่ทลายล้างบดแหลกเป็นเสี่ยงๆ หากดวงยังดีบ้างก็ยังเหลือศพในสภาพสมบูรณ์…

ทะเลแดงแตกเป็นเสี่ยงๆ ถูกฝักของสวีจั้งฟาดจนเหมือนเมล็ดคะน้า พากันลอยขึ้น เศษดาราสีแดงฉานถาโถมเข้ามา…

หนิงอี้เงยหน้าขึ้น เห็นราชันดาราพลิกสมุทรเอาสองมือมากันไว้ตรงหน้ากลางฟ้า สองแขนเสื้อถูกปราณกระบี่ฉีกขาดเละ ไม่อยากเชื่อว่ายังมีพลังอยู่ เพียงแต่ว่าสองมือที่กันไว้ข้างหลังบิดรูป สติพร่าเลือนไปหมดแล้ว

สวีจั้งมีใบหน้าไร้คลื่นอารมณ์ ฝักกระบี่กดที่สองมือราชันดาราพลิกสมุทร สั่นข้อมือเบาๆ

ร่างเงานั้นถูกฟาดออกไปดังปัง กระแทกลงพื้นดิน

กลางหลุม ราชันดาราพลิกสมุทรเส้นผมเหมือนกระเซอะกระเซิง กระบอกตาเว้าลึกลงไป ในดวงตารวมเป็นเงาสะท้อนที่กระนั้นฟาดเข้ามา…ใบหน้าซีดขาว ริมฝีปากสั่น

เขาเพิ่งเผชิญหน้ากับความกลัวที่สุดในโลก

สองมือที่เขาขวางไว้ข้างหน้า ผิวหนังที่กระทบกับฝักกระบี่กลายเป็นสีน้ำหมึกเหมือนค่ำคืน กลิ่นอายมรณะแทรกซึมเข้ามาเรื่อยๆ ผ่านชั้นผิวหนัง กัดกินแสงดาราถึงกระดูก จากนั้นลุกลามเข้าไปในอวัยวะภายใน

หนิงอี้หน้าซีดขาวขึ้นมา เขารู้สึกถึงกลิ่นอายดับสูญรุนแรง…ไม่ใช่จากตัวราชันดาราพลิกสมุทร แต่เป็นในตัวสวีจั้งที่ฟาดฝักกระบี่

บุรุษที่ลงข้างหลังตน ใบหน้าเหมือนมีหิมะตกลงมา ขาวจนทำให้คนรู้สึกอย่างลึกซึ้ง กลายเป็นการเปรียบเทียบกับชุดคลุมดำที่เข้าสู่คืนมืดอย่างเข้มข้นชัดเจน

พลังบำเพ็ญสวีจั้งลดลงมาถึงขอบเขตที่สาม…

สวีจั้งมองหนิงอี้ก่อนถามอย่างจริงจัง “เห็นชัดเจนหรือไม่”

หนิงอี้พยักหน้า

สวีจั้งถามอีก “จำได้หรือไม่”

หนิงอี้พยักหน้าอีกครั้ง

สวีจั้งยิ้ม “ดี”

เขาตบศีรษะหนิงอี้ก่อนพูดอย่างอ่อนแรง

“ไปเถอะ”

เขาไม่ได้มองราชันดาราพลิกสมุทรที่นอนในหลุม แต่เดินตรงไป ไกลออกไปเป็นทิศทางของเขาอนันต์เล็ก บุรุษชุดคลุมดำหิ้วฝักกระบี่ เดินหน้าไปอย่างโดดเดี่ยว หมอกที่ขวางหน้าถูกปราณกระบี่ฟันขาด แหวกเป็นสองข้างทาง

ก้นบึ้งหัวใจหนิงอี้พลันมีกลิ่นอายความเศร้าโศกยากจะบรรยายหลั่งไหลขึ้นมา

เขามองสวีจั้งที่เดินอยู่ข้างหน้า การเดินของร่างเงานั้นช้าลงและหมดแรง ขณะที่แสงดาราเผาไหม้ไปทีละนิด พลังบำเพ็ญของสวีจั้งลดลงไปเรื่อยๆ…เขามีพลังบำเพ็ญเพียงขอบเขตที่สามจริงๆ สังหารราชันดาราพลิกสมุทรได้ก็เพราะเขาไม่ได้อาศัยแสงดารา

เขาอาศัยปราณกระบี่ที่วนเวียนกับแสงดาราที่ตนฝึกมาจนถึงตอนนี้

หนิงอี้พลันเข้าใจวิถีกระบี่ที่สวีจั้งบอกว่าหมายถึงอะไรกันแน่…

สวีจั้งพลังบำเพ็ญลดลงมาตลอดสิบปี สลายแสงดาราไปเรื่อยๆ หากเขาไม่ทำเช่นนี้ เขาก็จะเป็นผู้บำเพ็ญราชันดาราที่มีชื่อเสียงสั่นสะเทือนใต้หล้าเหมือนกับโจวโหยว

ผู้บำเพ็ญมุ่งสู่ความตายถึงได้กำเนิด เขาจะละทิ้งทุกอย่าง ก้าวข้ามธรณีประตูทั้งหมด ไปถึงระดับ ‘นิพพาน’ ที่เหนือกว่าราชันดารา

กำเนิดเป็นชีวิตใหม่

แต่เขาสลายแสงดารากลับไม่สลายปราณกระบี่ ปราณกระบี่ที่สืบทอดมาจากท่านเผยหมินฝังลึกลงในกระดูก พลังบำเพ็ญของสวีจั้งลดลงเรื่อยๆ ปราณกระบี่กลับแกร่งขึ้นเรื่อยๆ…เขาจะละทิ้งทุกอย่าง

ฆ่าคน

ฆ่าคนเป็นวิธีที่ดีที่สุด ฆ่าคนเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการลดปราณกระบี่

เทียบกับคำว่าอัจฉริยะแล้ว เขาเหมือนคนบ้าสติฟั่นเฟืองไปแล้วมากกว่า

หิ้วกระบี่เหล็กสามัญ ทะลวงกฎการบำเพ็ญ การบำเพ็ญกับหลักการของโลกนี้เขาไม่เคารพสักอย่าง ไม่ยอมรับสักอย่าง

ก็เพื่อแก้แค้นให้ท่านเผยหมินในตอนนั้นหรือ

หนิงอี้มองชุดคลุมดำถือฝักกระบี่ เขาไม่รู้อะไรเกี่ยวกับตอนนั้นเลย

ในตอนนี้ รู้แค่ว่าสวีจั้งใกล้จะตายแล้ว

ฆ่าคนเสร็จ ปราณกระบี่กับแสงดาราจะหมดไป ไม่ต่างอะไรกับคนตาย

ซ่อนคมสิบปี ออกจากฝักหนึ่งวัน

……..

ป้ายชีวิตของตำหนักคุมกฎพลันระเบิดกระจาย ความตายของผู้อาวุโสตำหนักคุมกฎเจิ้งฉีครั้งก่อน ป้ายชีวิตเจ็ดแปดแผ่นก่อให้เกิดคลื่นลูกใหญ่ขึ้น

และครั้งนี้…ศิษย์สี่สิบเก้าคนในค่ายกลกระบี่โอฬาร ป้ายชีวิตของคนพวกนี้แทบจะระเบิดพร้อมกัน สิบกว่าลมหายใจสั้นๆ จากนั้นป้ายชีวิตที่เป็นสัญลักษณ์ของฐานะสูงสุดในตำหนักคุมกฎก็แตกร้าวดังกึก

จากนั้นป้ายชีวิตก็แตกออกช้าๆ และไม่อาจหยุดยั้งได้

ราชันดาราพลิกสมุทร…สิ้นชีพ

ตำหนักคุมกฎเงียบสงัด

ความเงียบสงัดนี้ลุกลามไปทั้งเขาศักดิ์สิทธิ์อย่างรวดเร็ว ข่าวกระจายออกไป และที่น่าเยาะเย้ยคือความแค้นที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดเกือบร้อยปีมานี้ของเขาอนันต์เล็ก ถึงขั้นไม่ต้องให้พวกเขาวางค่ายกลออกไปตามหาศัตรูเพื่อแก้แค้น…เพราะตัวการมายืนอยู่ใต้ภูเขาแล้ว

ผู้ฝึกบำเพ็ญดาราชะตาแห่งเขาอนันต์เล็กตื่นจากสภาวะการบำเพ็ญ ค่ายกลกระบี่คืนชีพมาทีละอย่าง พลังชั่วร้ายเชื่อมฟ้าฉีกหมอกบนยอดเขา พายุคลั่งถาโถม ดวงชะตาบนยอดเขาถูกสั่นสะเทือน

เจ้าภูเขาอนันต์เล็กเดินออกมาจากตำหนักคุมกฎ สองมือเขากอบป้ายชีวิตของราชันดาราพลิกสมุทร มองไม่ออกว่าอยู่ในอารมณ์ใดแม้แต่น้อย ยืนบนยอดเขา แผ่พลังลงมา

นี่คือสำนักที่คนนอกไม่เข้าใจเลย

สำนักต่างกับราชวงศ์ แต่ผู้บำเพ็ญแห่งเขาอนันต์เล็ก…ทุกชีวิตถูกมองว่าล้ำค่ายิ่ง มองไปในใต้หล้า นอกจากราชวงศ์แล้วแทบจะไม่มีเขาศักดิ์สิทธิ์ใดสามัคคีได้อย่างเขาอนันต์เล็ก

เจ้าเขาอนันต์เล็กยืนบนยอดเขาอนันต์เล็ก ชุดคลุมสีเทาโบกสะบัด

เขาร่วมคดีเลือดในเมืองหลวงเมื่อสิบปีก่อน ตอนนี้ยืนอยู่บนจุดสูงสุด เฝ้าดูศิษย์ของเผยหมินแก้แค้นในสิ่งที่พวกเขาทำมาตลอดสิบปี

แสงตะเกียงสว่างขึ้น จากนั้นเป็นเสียงดัง ‘ปังๆ’ ตะเกียงสว่างขึ้นต่อกันเหมือนเล่นปิดตาตีกลอง สว่างไปจนถึงใต้ภูเขา

หนิงอี้มองพินิจเหมันต์ในอ้อมกอด ตามหลังสวีจั้ง ซวนเซไปตลอดทาง ก่อนจะหยุดลงโดยพลัน

บุรุษชุดคลุมดำตรงหน้าเงยหน้าขึ้น

ยืนใต้เขาอนันต์เล็ก แสงสว่างแสบตา

สวีจั้งมองทั้งเขาอนันต์เล็กเงียบๆ ไม่รู้สึกว่าแสงสว่างพวกนี้แสบตาเท่าไร

ค่ายกลมากมายจุดไฟขึ้น สว่างไสวในคืนมืด

แต่สวีจั้งต่างหากคือแสงสว่างเพียงหนึ่งเดียวในฟ้าดิน

เขายื่นมือออกมาข้างหนึ่ง หนิงอี้ส่งพินิจเหมันต์ให้ สวีจั้งคว้าด้ามกระบี่ หันคมกระบี่ออกช้าๆ

ก็ยังเอ่ยเพียงสี่คำ

“ดูให้ดี จำไว้”

……………………….