ตอนที่ 46 ค่ำคืนล้างบางเขาอนันต์เล็ก
เขาอนันต์เล็กมีเก้าสิบเก้าค่ายกล
กลางยามราตรี เขาศักดิ์สิทธิ์ที่สูงตระหง่านเกิดเสียงดังสนั่นหู หนิงอี้ถูกแสงสว่างสะท้อนหน้าขาว เขาตามหลังสวีจั้ง มองบุรุษชุดคลุมดำชูมือถือกระบี่ของตนขึ้นช้าๆ ไปทางฟ้าดิน
เจ้าเขาอนันต์เล็กที่ยืนอยู่สูงสุด จอนและเส้นผมขาว เอ่ยเสียงเบา
“วางค่ายกล!”
สวีจั้งที่พลังบำเพ็ญลดลงถึงขอบเขตที่สาม และยังลดลงไปเรื่อยๆ แสงดาราสลายไปเรื่อยๆ ยกแขนขวาขึ้น พินิจเหมันต์เสมอกับหัวไหล่ กำฝักกระบี่เก่าแก่และเรียบง่ายสีดำสนิท
ขอบเขตที่สามพังทลาย
ขอบเขตที่สอง
ขอบเขตที่สองพังทลาย…
เขากำลังสูญเสียไปเรื่อยๆ สุดท้ายไม่เหลืออะไรเลย
แสงดาราหายไปทั้งหมด
จากในสู่นอก แขนเสื้อใหญ่โบกสะบัด ชุดคลุมดำของบุรุษคนนี้ถูกปราณกระบี่เย็นยะเยือกทิ่มแทงกระดูกฉีก หนิงอี้แทบจะมองร่างของสวีจั้งตรงๆ ไม่ได้ เขายืนอยู่ใต้ภูเขา ไม่พูดจา พลังโดดเดี่ยวและยิ่งใหญ่
ถือกระบี่เดินไป
สวีจั้งเริ่มขึ้นเขา เขาเดินก้าวแรก สองทางซ้ายขวาพลันเกิดแสงสว่าง บุรุษชุดคลุมดำไม่ชำเลืองตามอง แค่สั่นข้อมือที่ถือกระบี่เบาๆ หนิงอี้เห็นว่าสองข้างเส้นทางภูเขา แสงไฟของค่ายกลแตกกระเซ็น ยังไม่ทันจุดขึ้นก็ถูกปราณกระบี่ของสวีจั้งทำลายเป็นเสี่ยงๆ
สวีจั้งมองตรงไปบนยอดเขา สายตาเขามองข้ามสิ่งกีดขวางทุกอย่าง ค่ายกลทั้งหมด แสงสว่างสุดขั้วแสบตา สุดท้ายมองไปยังชายชราคนนั้นบนยอดเขา
สวีจั้งทำลายไปสองค่ายกล ไม่ได้รีบร้อนก้าวเดิน แต่หยุดเล็กน้อย น้ำเสียงอ่อนแรง แต่ยังจงใจพูดเสียงดัง ดังจนทั้งเขาอนันต์เล็กได้ยิน
คำพูดนั้นคือ
“หนิงอี้ ดูเข้าใจหรือไม่”
ศิษย์เขาอนันต์เล็กมองไปที่หนิงอี้ เด็กหนุ่มที่สวีจั้งพามาคนนั้น
‘พินิจเหมันต์’ ในมือสวีจั้งเอามาจากในอกเสื้อเขา กระบี่ล้ำค่าของเจ้าหรุย สัญลักษณ์ของอาจารย์อาน้อยเขาสู่ซานที่เดินไปในใต้หล้า นี่เป็นของศักดิ์สิทธิ์ที่มีการสื่อความหมายอย่างชัดเจน
ผู้บำเพ็ญยุคก่อน รู้ว่ากระบี่นี้มีความหมายอย่างไรกับสวีจั้ง
สวีจั้งพาเด็กหนุ่มมา เหยียบเขาอนันต์เล็ก ไม่ใช่แค่ยั่วยุแต่ยังเป็นการชี้แนะ
เขาจะสอนหนิงอี้ฆ่าคน
นี่คือบทเรียนสุดท้ายของเขา
หนิงอี้กลั้นหายใจ จ้องพินิจเหมันต์นั้น ไม่กล้าพลาดทุกรายละเอียด
ความขมฝาดพรั่งพรูออกมาจากใจเขา ตัวสวีจั้งสั่นไหวเบาๆ หลังแสงดาราสลายหายไปทั้งหมด ร่างของผู้บำเพ็ญไม่ได้ยืนหยัด วิชากระบี่ที่แกร่งกว่ากำลังกินพลังชีวิตเกินขีดจำกัด
แต่สวีจั้งกลับพูดด้วยน้ำเสียงมั่นคงมาก “ต่อไป จำไว้”
สวีจั้งเดินก้าวที่สอง ค่ายกลสองข้างทางภูเขาพลันเกิดเสียงดัง คนขึ้นเขาสีหน้าไร้คลื่นอารมณ์ ฟาดกระบี่ลง ค่ายกลแตก หินภูเขาพังทลาย เด็กหนุ่มตามหลังบุรุษชุดคลุมดำ สวีจั้งเริ่มช้าลง พยายามให้หนิงอี้ได้เห็นทุกกระบี่
หนิงอี้มองเงากระบี่ผ่านตาไปทีละเงา ผ่าทำลายค่ายกล ค่ายกลแตก หินภูเขาร่วงหล่น หินภูเขาถล่มทลาย เทพขวางฆ่าเทพ ทำลายล้างทุกสิ่ง
ปุถุชนล้วนบอกว่าสวีจั้งเป็นคนบ้าการสังหาร
แต่ปราณกระบี่ของเขากลับไม่มีความดุร้ายเลยแม้แต่นิด
เขาใช้กระบี่ฟันทุกสิ่งที่ขวางหน้าอย่างสงบนิ่งและอ่อนโยน ไม่ว่าจะหิน ต้นหญ้า ค่ายกลหรือชีวิตคน
มหามรรคดั่งฟ้าคราม ใต้ฟ้าคราม ในความสามัญ โซ่ตรวนนับไม่ถ้วนพันธนาการทุกสิ่งมีชีวิต ไม่ว่าจะทำอะไรจะมีกฎมากมาย นี่ก็ไม่ได้ นั่นก็ไม่ได้
พันมือพันเท้าเช่นนี้
แต่ความจริงโลกนี้มีเส้นทางมากมาย
ขอแค่กระบี่เจ้าคมมากพอ เดินตรงไป ฟันสิ่งกีดขวางทั้งหมด อย่าลังเล เจ้าก็ไปถึงฟากฝั่งได้
สวีจั้งไม่ใช่คนบ้าสังหาร
เขาแค่เดินเป็นเส้นตรง ฟันกฎที่ขวางหน้าตนทั้งหมด
ก็แค่นั้น
เขาอนันต์เล็กเกิดเสียงดังสนั่น ค่ายกลทยอยกันเปิดขึ้นอย่างรวดเร็วตามการย่างก้าวของสวีจั้ง แต่ปราณกระบี่กลับเร็วกว่าค่ายกล ปราณกระบี่มหาศาลและหนาแน่นทำลายสองข้างทางภูเขา เส้นทางที่สวีจั้งเดินไป สองข้างทางเหมือนถูกคนยักษ์เหยียบผ่าน หินแตกตะปุ่มตะป่ำ
เขาอนันต์เล็กที่เปล่งแสงสว่างไฟเริ่มดับลงตั้งแต่ตีนเขา
สวีจั้งทำลายค่ายกลทีละค่าย ข้างหลังเขาเป็นเงามืด ภูเขาแห่งแสงสว่างข้างหน้ายังคงถูกดับแสงลงเรื่อยๆ อย่างมั่นคง
จนกระทั่งแสงสว่างแตกทั้งหมด ศิษย์เขาอนันต์เล็กเริ่มรวมค่ายกล ค่ายกลกระบี่ดาวเหนือ ค่ายกลกระบี่แปดทิศ ค่ายกลดาบทำลายล้าง ค่ายกลกระบี่โอฬาร…แต่ละอย่างทยอยกันเข้ามา สวีจั้งใช้เพียงกระบี่เดียว
สิ่งที่ขวางทางพวกนี้ถูกฟันทำลายทั้งหมด แตกกระจาย จากนั้นดับไปพร้อมกับปราณกระบี่ของสวีจั้ง
หลังค่ายกลไร้เจ้าของพวกนั้นใต้ภูเขาถูกสวีจั้งทำลายด้วยกระบี่เดียวแล้ว ศิษย์เขาอนันต์เล็กก็ยังคงจิตต่อสู้ไว้ มองสองร่างเงาเล็กใหญ่ที่บุกขึ้นเขามาจากเบื้องบน จากนั้นรอบุรุษคนนี้หมดแรง ถูกค่ายกลกระบี่ค่ายกลดาบที่ทยอยกันเข้าไปจมหาย…ความไม่สงบในคืนนี้ก็จะผ่านพ้นไป
หากเป็นเช่นนั้น บนเขาอนันต์เล็กก็จะมีคนเดียวที่โลหิตไหล
ทว่าเด็กหนุ่มทึ่มทื่อที่บุกขึ้นเขาตามสวีจั้งมาคนนั้น จดจำกระบวนท่ากระบี่ของสวีจั้งอย่างจริงจัง ไม่สนใจความเป็นตายของตนเลย…หลังสวีจั้งทำลายค่ายกลกระบี่ไปส่วนใหญ่ ศิษย์เขาอนันต์เล็กพวกนี้ตระหนกเล็กน้อย สวีจั้งยังคงความเร็วไม่เปลี่ยน ความเร็วในการทำลายค่ายกลยังเร็วขึ้นอีกด้วยซ้ำ
เด็กหนุ่มพยักหน้าหงึกๆ ความเร็วในการจดจำกระบวนท่ากระบี่เร็วขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน
จากนั้นสวีจั้งทำลายค่ายกลทั้งหมด
มีคนวางค่ายกลโจมตี
จากนั้นตายลงทั้งหมด
มาอีกกลุ่ม…
ก็ยังเหมือนเดิม
แสงไฟทั้งเขาอนันต์เล็กมอดดับลงทั้งหมด เหลือเพียงแสงสว่างของบุรุษชุดคลุมดำกับเด็กหนุ่ม จากนั้นเป็นเสียงอ่อนแรง
สวีจั้งถาม “จำได้หมดหรือไม่”
หนิงอี้ตอบ “จำได้หมดแล้ว”
สองคนเดินมาถึงยอดเขา
ข้างหลังสวีจั้งกับหนิงอี้เป็นศพนอนเกลื่อนกลาด ชีวิตของศิษย์เขาอนันต์เล็กมากกว่าร้อยฝังอยู่ที่นี่ ผู้บำเพ็ญตำหนักคุมกฎมีมากที่สุด
นี่เป็นเหตุการณ์กลิ่นคาวเลือด แต่ใบหน้าสองคนต้นเรื่องไม่มีความแตกต่างไปเลย
สวีจั้งชินกับเรื่องแบบนี้มานานแล้ว
ในดวงตาหนิงอี้มีเพียงพินิจเหมันต์นั้น
เขารู้ว่าสวีจั้งยังมีอีกกระบี่ที่ไม่ได้ใช้
ศิษย์เขาอนันต์เล็กไม่เข้ามาอีก บนยอดเขามีชายชราคนหนึ่ง ขวางพวกกลัวตายไร้ค่า
ขอบเขตพลังของสวีตั้งลดลงมาจนลดไม่ได้อีก แต่อานุภาพสังหารไม่อ่อนแอเลย ชีวิตคนมากมายโถมเข้าไป แต่สิ่งที่ได้กลับมาเป็นเพียงการดับสูญหลังหนึ่งกระบี่
กลิ่นอายพลังค่ายกลพังทลาย แสงดาราปั่นป่วน ทำให้ยอดเขาแห้งแล้ง หญ้าสีขาวเริ่มแห้งเหี่ยวด้วยความเร็วที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
เจ้าเขาอนันต์เล็กยืนห่างจากสวีจั้งสามฉื่อ
สามฉื่อคือหนึ่งกระบี่
ใบหน้าชายชราคนนี้มีจิตสังหารรวดเร็วและดุดันยิ่ง ต่อให้อายุมากแล้ว ก็ยังเห็นถึงบุคลิกในตอนนั้น ต่างกับหลิ่วสือแห่งตำหนักทะเลสาบกระบี่อย่างสิ้นเชิง ต้องเป็นคนแน่วแน่สังหารอย่างเด็ดขาดแน่นอน
“เขาอนันต์เล็กมีเจ้าภูเขาอย่างเจ้า…ช่างโชคร้ายจริงๆ” สวีจั้งยิ้ม มองชายชราพลางพูด “คืนนี้ต้องการแค่มีคนเดียวเลือดไหล คนนั้นไม่ควรเป็นพลิกสมุทร และไม่ควรเป็นคนพวกนั้นที่ล้มลงใต้กระบี่ข้าเมื่อครู่”
เสียงระหว่างสองคนเหมือนจะแข็งตัว
ผู้อาวุโสและศิษย์เขาอนันต์เล็กที่ขี่กระบี่บินอย่างตึงเครียด แต่ยังรักษาระยะห่างไว้ห้าสิบจั้งตรงประตูสำนักไม่ได้ยินคำพูดของสองคน
แต่หนิงอี้ได้ยิน
“ขอแค่เจ้ารับกระบี่นี้ พวกเขาก็ไม่ต้องตาย” สวีจั้งพูดเยาะเย้ย “แต่เจ้าไม่กล้า เจ้ากลัว เจ้าอยากให้คนพวกนั้นลดปราณกระบี่ลงบ้าง จะได้ให้เจ้ามีโอกาสรอดมากขึ้น
เจ้าไม่เคยสนใจชีวิตพวกเขา ความสามัคคีแห่งเขาอนันต์เล็กอะไรนั่น…เป็นเพียงกลอุบายในการรวมใจคน รังแกคนอ่อนแอกลัวผู้แข็งแกร่ง ไร้สาระ”
เจ้าเขาอนันต์เล็กเงียบไปชั่วครู่ ก่อนตอบกลับนิ่งๆ “สวีจั้ง…หากเจ้าสลายพลังบำเพ็ญแล้ว ไม่มาหาเขาอนันต์เล็กข้า แต่ไปหาป่าเขารกร้าง นอนผ่านคืนนี้ไป เช่นนั้นวันนี้ก็จะไม่มีใครนองเลือด”
สวีจั้งแค่นยิ้ม
“หากคืนนั้นเมื่อสิบปีก่อน เจ้าไม่ไปหาเผยหมิน แต่ไปหาป่าเขารกร้างนอนสักคืน เช่นนั้นคืนนี้ก็จะไม่มีใครนองเลือดเช่นกัน” ในน้ำเสียงสวีจั้งมีความเฉยชา เขาพูดเสียงแหบแห้ง “ผู้มีอำนาจยิ่งใหญ่กลัวอำนาจที่สูงกว่า พวกเจ้ามักจะเอาเหตุผลของความอยุติธรรมมาโทษคนอื่นเสมอ…ถึงเวลาสะสางแล้ว ตอนนี้เริ่มกลัวแล้วสิ”
เจ้าเขาอนันต์เล็กสูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนพูดอย่างสัตย์จริง “คืนนี้เจ้าสังหารคนเขาอนันต์เล็กไปสองร้อยกว่าชีวิต ตำหนักทะเลสาบกระบี่จ่ายไปสองชีวิต สวีจั้ง…พวกเราจบกันตรงนี้ ข้าจะแสดงความจริงใจกับตำหนักทะเลสาบกระบี่ แสดงการขออภัย ว่าอย่างไร”
สวีจั้งตะลึงงัน
จากนั้นเขาหัวเราะ
หนิงอี้ไม่เคยเห็นสวีจั้งหัวเราะเสียสติเช่นนี้มาก่อน ทั้งเขาอนันต์เล็กได้ยินเสียงหัวเราะแหบแห้งของเขา
เจ้าเขาอนันต์เล็กสีหน้าไม่ดีนัก
ศิษย์ตายไปสองร้อยกว่าคน แต่เขาก็ยังอ่านความตื้นลึกของพลังบำเพ็ญสวีจั้งไม่ออก และยิ่งไม่รู้ว่าสวีจั้งเอาปราณกระบี่จากที่ใดมาไม่ขาดสาย
เขารู้แค่ว่าผ่านคืนนี้ไป สวีจั้งจะเป็นคนตาย
เขายินดีทำตามคำขอทุกอย่างของสวีจั้ง รอแค่ผ่านคืนนี้ไป
เสียงหัวเราะเงียบลง
สวีจั้งมองเจ้าเขาอนันต์เล็ก หัวเราะจนน้ำตาไหล เขาตบบ่าหนิงอี้ ก่อนพูดเสียงเบาและนุ่มนวลกับเจ้าเขาอนันต์เล็ก “ข้าขอแค่ของอย่างเดียว”
หนิงอี้เพ่งสมาธิ เขารอตอนนี้มานานมากแล้ว
เจ้าเขาอนันต์เล็กที่เพ่งสมาธิมาตลอดตั้งแต่ต้น ทันใดนั้นมีเงาดำเลือนรางขยับผ่านในดวงตา แทงตรงระหว่างคิ้วเบาๆ
สวีจั้งดึงปลายร่มสีแดงฉานพินิจเหมันต์กลับ ก่อนถามคนชราด้วยความห่วงใยทีละคำ “ข้าเอามาแล้ว เจ้าเจ็บหรือไม่”
เจ้าเขาอนันต์เล็กที่ร่วมคดีเลือดในเมืองหลวงเมื่อสิบปีก่อน เป็นผู้บำเพ็ญที่อยู่ก่อนราชันดาราพลิกสมุทรมานานมาก เขารู้สึกว่าระหว่างคิ้วของตนพลันเหนียวข้นขึ้นมา
ชายชรายกมือขึ้นลูบระหว่างคิ้วตนด้วยความสับสน เกิดเสียงฉึก เหมือนแหวกอะไรบางอย่าง เขามองสีขาวขมุกขมัวตรงฝ่ามือ เหมือนเกล็ดหิมะ
กลิ่นอายความตายนั้นพรั่งพรูเข้ามาในทันทีที่ตนเอามือลง เลือดสีแดงกระแทกบน ‘ผิว’ สีขาว เขาพลันคุกเข่าลง ทะเลวิญญาณจมลง เงียบสงัด
ทั้งเขาอนันต์เล็กเห็นภาพนี้ เจ้าภูเขาคุกเข่าลงกับพื้น ศีรษะเหมือนถูกตนเปิดดวงตาที่สาม ตรงดวงตาตั้งตรงมีเลือดพุ่งมาจำนวนมากเหมือนน้ำตก ผิวขาวซีดเหมือนเลือด พื้นดินถูกย้อมเป็นสีแดงน่าแปลกประหลาด
ชั่วพริบตาเดียว ศิษย์ที่เหลือในเขาอนันต์เล็กตาแดงกันหมด
ผู้บำเพ็ญดาราชะตาที่ไม่ได้ออกมือกัดฟันด้วยความโกรธ แทบจะสู้ตายกับสวีจั้ง
สวีจั้งถือพินิจเหมันต์ ยืดหลังตรงอีกครั้ง
บุรุษชุดคลุมดำที่ปักกระบี่ยืนตรงคนนั้นแก้แค้นที่ตนอยากทำสำเร็จแล้ว เขาแสยะปากหัวเราะ มองค่ายกลมากมายบนฟ้า เหมือนเตรียมฆ่าล้างทั้งเขาศักดิ์สิทธิ์
ตอนนี้เอง มีเสียงเย็นเยือกและเงียบเหงาดังขึ้นบนเขาอนันต์เล็ก
“พอแล้ว”
……………………….