ภาคที่หนึ่ง ตอนที่ 47 ความเสียดายที่ชีวิตยอมรับไม่ได้

เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า

ตอนที่ 47 ความเสียดายที่ชีวิตยอมรับไม่ได้

ค่ายกลกระบี่เจ็ดแปดค่ายจะกดทับลงมา ช่วงที่เสียงนี้ดังขึ้น แสงดารามหาศาลบนฟ้าเก้าชั้นโหมซัดสาด มือยักษ์ไร้รูปข้างหนึ่งตบลงบนยอดเขาอนันต์เล็ก คลื่นลมพลันพัดค่ายกลกระบี่หลายค่ายของเขาอนันต์เล็กขึ้นทันที

ผู้ฝึกบำเพ็ญดาราชะตาหลายคนสีหน้าย่ำแย่ถึงที่สุด

ข้างกายสวีจั้ง คลื่นลมเลือนรางค่อยๆ รวมเป็นร่างคน กึ่งสำเร็จลุล่วง เหมือนแสงดารากระจาย

กลุ่มแสงดารานั้นไหลเวียนบนยอดเขาอนันต์เล็ก หลังรวมเป็นร่างคนแล้วก็มองไปรอบๆ ก้มหน้าลงมองศพบนพื้นอย่างเฉยชา มองศพเจ้าเขาอนันต์เล็กนั้น เลือดไหลหลาก กลิ่นอายดับสูญในตัวเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ นางเดินทางไกลพันลี้มาจากเขาสู่ซาน ศพราชันดาราพลิกสมุทรระหว่างทางนั้นก็มีกลิ่นอายดับสูญเช่นกัน

แสงดารากลุ่มนั้นเงียบอยู่ชั่วครู่ ในที่สุดก็พูดขึ้น

“สวีจั้ง เจ้าแน่มาก”

ความจริงหนิงอี้ก็คาดเดาฐานะของคนใหญ่โตท่านนี้ได้แล้ว มาถึงช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อตอนนี้ ยังยินดีออกมือแทนสวีจั้ง ก็มีเพียงเจ้าเขาสู่ซานน้อยคนนั้นที่เจ้าตำหนักทะเลสาบกระบี่กับราชันดาราพลิกสมุทรเกรงกลัว…ท่านพันกร

แต่นึกไม่ถึงว่าเสียงของท่านพันกรจะฟังดูแหบแห้งนิดๆ ไม่อยากเชื่อว่าจะเป็นสตรี

“ศิษย์พี่หญิง…”

น้ำเสียงของสวีจั้งอ่อนแรงเล็กน้อย เขายิ้มอย่างไร้กังวล “ถ้าข้าแน่จริงๆ ตอนนี้คงไม่ได้แค่สังหารเจ้าเขาอนันต์เล็ก แต่เป็นจักรพรรดิไท่จงแล้ว”

คำพูดไร้ความเกรงกลัวดังก้องไปบนยอดเขาอนันต์เล็ก

นี่คือการทรยศระดับใดกัน

เกิดเสียงโวยวายในกลุ่มคน ผู้ฝึกบำเพ็ญดาราชะตาแห่งเขาอนันต์เล็กพบว่าสวีจั้งมีกลิ่นอายต่างออกไป…ไม่ใช่แค่ดับสูญ ในตัวสวีจั้งยังมีเส้นสีทองที่พัวพันไปถึงไขกระดูกและแสงดารา ต่อให้เสียแสงดาราทั้งหมดไปก็ยังสลายไปไม่ได้

เกิดการพัวพันกับสายเลือดจักรพรรดิ…

สวีจั้งเคยสังหารราชนิกุลราชวงศ์ต้าสุย กระทั่งเป็นสายเลือดตรง!

ผู้บำเพ็ญระดับดาราชะตาพวกนี้เผยแววตาตื่นกลัวเสี้ยวหนึ่ง ต่างมองหน้ากัน

พันกรหรี่ตาลง เอ่ยเสียงเย็นชา “เจ้าสังหารคนของราชวงศ์”

สวีจั้งขานรับเบาๆ

เขามองพันกร ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม พูดเสียงนุ่มนวล “เป็นคนที่ต้องตายทั้งหมด เหตุใดจะฆ่าไม่ได้”

พันกรเงียบ ใบหน้าที่รวมจากแสงดารานั้นอ่านอารมณ์ไม่ออก นางใช้มือข้างหนึ่งกดบ่าสวีจั้ง ก้มหน้าลงเพ่งมองหนิงอี้ แต่ไม่ได้พูดอะไรกับหนิงอี้

นางถอนหายใจเบา เงยหน้าขึ้น สายตามองผ่านผู้บำเพ็ญเขาอนันต์เล็กที่ข่มอารมณ์ไว้ไม่ได้พวกนั้น มองเห็นความหวาดกลัวที่มีต่อศิษย์น้องของตนในบุคคลระดับดาราชะตาหลายคน

“หนึ่งชีวิตแลกด้วยหนึ่งชีวิต เจ้าภูเขาชดใช้เผยหมิน สวีจั้งชดใช้พลิกสมุทร ทุกอย่างในตอนนั้น วันนี้กระบี่ตัดทุกอย่างจบลงแล้ว…ยังมีใครไม่ยอมรับอีก”

เสียงของพันกรดังก้องไปทั้งเขาอนันต์เล็ก

เงียบ

แน่นอนว่าเป็นความเงียบ

คนพวกนั้นที่ก่อนหน้านี้คิดจะสังหารสวีจั้งใจเย็นลง มองกลิ่นอายมรณะเข้มข้นที่แผ่มาจากตัวสวีจั้ง กลิ่นอายดับสูญลุกลามเข้าไขกระดูก ผ่านคืนนี้ไปก็จะเป็นคนตาย

ใครจะไปสู้ตายกับเขาอีก

พันกรมองไปรอบๆ อย่างสงบนิ่ง รออยู่ชั่วครู่

นางเอ่ยอย่างเฉยชา “เช่นนั้น เรื่องนี้…จบลงเท่านี้”

สองมือแยกกันวางบนบ่าสวีจั้งกับหนิงอี้ พันกรก้มหน้าหลุบตาลง แสงดาราสั่นไหว คลื่นเล็กกระเพื่อมในอากาศ เศษดาราวนเวียน เป็นกลอุบายเหมือนที่หลี่ไป๋หลินใช้ในอารามรู้กรรม หลังเศษดาราเผาไหม้ ยอดเขาอนันต์เล็กก็ลุกไหม้กลายเป็นความว่างเปล่า

……

ในลานบ้านเล็กเมืองสันติ

เตาไฟกำลังขยับไปมาช้าๆ เด็กสาวในลานบ้านเล็กนั่งยองข้างเตาไฟ นางลืมโบกพัด เหม่อมองเปลวไฟที่ขยับไปมาในนั้น ใบหน้ามีเถ้าถ่านติดอยู่เล็กน้อย ตรงเอวยังผูกผ้ากันเปื้อนคาดเอวเก่าแก่และเรียบง่ายไว้

โต๊ะหนึ่งวางในบ้าน

บนโต๊ะเป็นเป็ดไก่ปลาเนื้อ อาหารคาวเต็มไปหมด เริ่มทำงานตั้งแต่บ่ายจนค่ำ สองคนนั้นออกไปยังไม่กลับมา อาหารพวกนี้เย็นจนร้อนอีกครั้ง ร้อนแล้วก็เย็นอีก…เผยฝานนั่งข้างเตาไฟ ไม่พูดสักคำ

กุญแจวางไว้ใต้กระถางดอกไม้ ในกล่องลูกธนูยังมีธนูเหล็กสิบสี่ดอก ตั้งแต่ที่หนิงอี้เกิดเรื่องครั้งก่อน นางก็ซื้อธนูล่าสัตว์ที่มีแรงดึงมากพอมา

แต่นางออกไปไม่ได้

เพราะในบ้านยังมีบุรุษอีกสองคน

คนตาบอดกับอาจารย์อาสามผีพนันแห่งเขาสู่ซานมาที่นี่ เผยฝานไม่รู้จักพวกเขา แต่นางจำป้ายคำสั่งกระบี่ของเขาสู่ซานได้ บุรุษสองคนนี้นั่งข้างโต๊ะ สีหน้าดูไม่ผ่อนคลาย ‘เฝ้า’ ตนไว้ ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ให้ตนออกจากบ้านแม้แต่ครึ่งก้าว

อาจารย์อาเขาสู่ซานสองคนมาถึงที่นี่ สิ่งแรกที่ทำคือคนหนึ่งเฝ้าบ้านนี้ไว้ อีกคนเดินไปรอบๆ ลากทหารขององค์ชายสามที่นั่งซุ่มอยู่ไม่ไกลออกมา ลงโทษทุบตีบนต้นไม้หนึ่งยก

หลี่ไป๋หลินตรวจสอบตำแหน่งของหนิงอี้ได้ ย่อมสืบสาวมาถึงเผยฝานที่อยู่กับหนิงอี้ เขารู้ว่าหนิงอี้มี ‘น้องสาว’ อยู่คนหนึ่ง หากการพบกันที่อารามรู้กรรมไม่ราบรื่น เขาก็ไม่ถือสาจะใช้ทุกวิถีทางทำให้หนิงอี้เสียใจภายหลัง รวมถึงจ่ายในสิ่งที่ทำลงไป

นี่เป็นลูกไม้เล็กๆ กระจอกๆ ได้ผลดีกับชาวบ้านธรรมดา ทว่ามาใช้กับหนิงอี้ที่ไม่มีพลังบำเพ็ญแต่ยังกล้าสู้กับปีศาจเหมันต์ขอบเขตที่แปดในอารามเทือกเขาประจิม…ต่อให้ไม่มีอาจารย์อาเขาสู่ซานสองคนนี้ เศษสวะที่พลังบำเพ็ญไม่เข้าขั้นพวกนี้จะเข้าบ้านมาก็ต้องจ่ายในราคาแสนสาหัส

อากาศในบ้านเริ่มเปลี่ยนไป คนตาบอดกับอาจารย์อาสามมีสีหน้าจริงจังขึ้นมา เศษดาราเผาไหม้ มีสามร่างเงาก้าวออกมาจากในนั้น ท่านพันกรยังคงอยู่ในร่างมายา มือซ้ายและขวากดหนิงอี้กับสวีจั้งข้ามมาจากยอดเขาอนันต์เล็ก

อาจารย์อาสองคนในบ้านถอนหายใจโล่งอก

เผยฝานที่นั่งยองข้างเตาไฟไม่ยอมหันกลับมามอง แต่เติมฟืนแห้งเข้าไปในเตาทีละชิ้น แสงไฟดังเปาะแปะ เด็กสาวพยายามบีบจมูก ไม่ส่งเสียง

เมื่อเห็นพันกรพาสวีจั้งกับหนิงอี้กลับมา คนตาบอดกับอาจารย์อาสามก็ถอนหายใจโล่งอกก่อน

เผยฝานรู้สึกแปลกไป

คนตาบอดกับอาจารย์อาสามที่พูดไม่หยุดเงียบลง

หนิงอี้ไม่พูดเช่นกัน

สวีจั้งยิ้ม เอ่ยขึ้นเบาๆ

“นี่…ยัยหนู”

ลมร้อนในลานบ้านพัดเถาวัลย์แห้งขยับ ใบหน้าเด็กสาวตรงหน้าเตาไฟหันกลับมาช้าๆ ท่ามกลางแสงไฟเปาะแปะ ทันทีที่นางเห็นสวีจั้งก็เข้าใจสาเหตุที่ในบ้านเงียบ

บุรุษชุดคลุมดำที่หนิงอี้ประคองไว้ครึ่งตัว ชุดคลุมขาดวิ่น ผ้าไหมสีขาวข้างในถูกย้อมเป็นสีแดงงดงาม เลือดไหลมาตามแขน จนถึงปลายนิ้วมือและหยดลง ตรงเท้ารวมเป็นคราบเลือดเหนียวข้น

แสงดาราแตกกระจาย ปราณกระบี่หมดสิ้น

บนแก้มใบหน้าสวีจั้งพลันปรากฏรูเลือดเล็กๆ เหมือนถูกปราณกระบี่แทงจากในไปนอก รอยแผลสีแดงสดปรากฏขึ้นอย่างรวดเร็ว จากนั้นเป็นรอยที่สองรอยที่สาม บุรุษที่จ่ายทุกอย่างเกินขีดจำกัด จนมาถึงช่วงฟ้าจะสาง ในที่สุดจะต้องจ่ายที่ตนใช้ชีวิตเกินขีดจำกัดไป

“ยัยหนู…ข้า…ข้าล้างแค้นแทนพ่อเจ้าแล้ว…”

สวีจั้งแสยะปากยิ้ม เขาพูดเสียงสั่น “มีบางอย่างอยากบอกเจ้า…แล้วก็…”

ธนูในกล่องธนูแลกเป็นเหล็กเหมันต์แดนอุดรที่ดีกว่าได้…

คันศรก็แลกเป็น ‘เหมันต์น้อย’ แห่งเขาสู่ซานได้…

ป้ายคำสั่งของเขาลั่วเจียอย่าเอาออกมาง่ายๆ…

น้ำเสียงเขาอ่อนแรงลงเรื่อยๆ พูดเรื่องเล็กน้อยเป็นกองใหญ่

“ในลานบ้านมีต้นครามหมื่นปีต้นหนึ่ง ข้าชอบมากจริงๆ เจ้าต้องดูแลมันให้ดี”

ปกติสวีจั้งพูดไม่เยอะ เวลาส่วนใหญ่จะใช้ไปกับการนอน ไม่ใช่เพราะเขาขี้เกียจ แต่หลังออกกระบี่นั้นที่เทือกเขาประจิม ชีวิตของเขาได้เดินไปบนเส้นทางมรณะที่ไม่อาจหันกลับได้อีก

เวลาทุกวินาทีคือการเคี่ยวกรำอย่างหนัก

หลังแก้แค้นเขาอนันต์เล็กจบ หินในใจบุรุษก็ตกลงพื้น พลังทั้งตัวเขากระจายออกมา หนังตาหนักขึ้นปิดลงเรื่อยๆ หุบลงเรื่อยๆ พยายามลืมตา แต่แววตากลับสลายหายไปไม่หยุด

เผยฝานปิดปาก มองบุรุษพูดไม่หยุด ร่างปริแตกเป็นรอยเลือดมากขึ้น เส้นเลือดที่เชื่อมต่อกันทำให้ผ้าไหมขาวเปียกชุ่ม ชุดคลุมดำเหนียวและหนัก

นางพยักหน้าไม่หยุด จดจำทุกคำพูดที่สวีจั้งพูดไว้ในใจ น้ำตาไหลลงมาจากเบ้าตา ร่างเงาชุดคลุมดำนั้นพร่าเลือนขึ้นเรื่อยๆ

สวีจั้งเริ่มล้มลง

หนิงอี้รู้สึกว่าน้ำหนักที่แบกบนบ่ายากจะรับไหวขึ้นเรื่อยๆ เขากัดฟัน

สมควรตาย…เหตุใดถึงหนักเช่นนี้ เหตุใดตนถึงแบกสวีจั้งไม่ไหว

“ศิษย์พี่หญิง…”

บุรุษชุดคลุมดำเสียงเบาเหมือนใยหลิ่วในสายลม เขาพูดพึมพำ “ข้าคิดว่าข้าจะไม่ตาย…”

พันกรเงียบ

สวีจั้งใช้แสงดารากับปราณกระบี่เป็นราคาต้องจ่าย อยากจะข้ามผ่านขอบเขตใหญ่ทั้งดาราชะตา บรรลุนิพพานเกิดใหม่ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์

หากเขาทำสำเร็จ เช่นนั้นก็จะเป็นผู้ริเริ่มคนแรกในใต้หล้าตั้งแต่จักรพรรดิองค์แรกแห่งต้าสุยสถาปนาอาณาจักรขึ้น

คนมากมายล้มลงหน้าขอบเขตดาราชะตา ผู้จุดดาราชะตาทั้งหมดล้วนเป็นผู้บำเพ็ญอัจฉริยะที่มีพรสวรรค์สูงมาก

พวกเขาเดินหน้าไปพร้อมกับดารา ขุดคลังสมบัติของกายมนุษย์ออกมา จุดดาราทั้งหมด…สุดท้ายเผชิญหน้ากับนิพพานเกิดดับ หลับตาลงก็จะไม่ตื่นมาอีก

คนที่เดินสวนทางและตื่นขึ้น มีเพียงสวีจั้งคนเดียว

สวีจั้งรู้สึกได้ว่ามีความอบอุ่นแผ่มาจากในกระดูก เหมือนปฏิกิริยาโต้กลับก่อนตาย เขาเหลือเวลาไม่มากแล้ว…นี่เป็นครั้งแรกที่ไม่หวังให้วันที่สองมาถึงเร็วขนาดนี้

ห่วงในโลกขาดแล้ว จิตใจผูกพันกับสิ่งภายนอกสิ้นสุดลง ยังมีอะไรที่เขาปล่อยวางไม่ได้อีก

สวีจั้งยิ้ม

ในความคิดเขา ภาพในชีวิตที่ผ่านมาเหมือนขี่ม้าเดินชมดอกไม้

คารวะเข้าจวนแม่ทัพของท่านเผยหมินตอนหกขวบ

ปีนั้นเริ่มเรียนกระบี่

สิบหกปีเป็นศิษย์เจ้าหรุยแห่งเขาสู่ซาน

ปีนั้นมีชื่อเสียงโด่งดังในใต้หล้า

จากนั้นหนึ่งคนหนึ่งกระบี่เดินในใต้หล้า เมืองหลวงต้าสุย หกเขาศักดิ์สิทธิ์แดนบูรพา ทะเลพลิกผันแดนอุดร ไม่มีห่วง ไร้ที่พึ่งพิง…จนได้เจอคนนั้น

ภาพทั้งหมดในความคิดสวีจั้ง หยุดค้างอยู่ที่ใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม

สิ่งที่ปล่อยวางไม่ได้ ก็ยังคงปล่อยวางไม่ได้

“ศิษย์พี่หญิง…ช่วยอะไรข้าอย่างหนึ่งได้หรือไม่”

สวีจั้งเสียงสั่นนิดๆ

เขาพูดด้วยรอยยิ้ม “ข้าอยากไปเขาม่วง…ข้าอยากไปพบนางหน่อย”

……………………