ตอนที่ 48 คำก่อนตาย (rewrite)
เขาม่วงที่ศึกษาวิชาต้องห้ามเกิดดับ เป็นเขตต้องห้ามที่ลึกลับที่สุดในเขาศักดิ์สิทธิ์แดนประจิม
ทั้งเขาม่วงปกคลุมอยู่กลางเทือกเขาที่มีเมฆหมอกลอยล่อง ค่ายกลแผ่คลุม คนปกติยากจะหาพบ ศิษย์เขาม่วงมีทั้งหมดไม่กี่ท่าน ไม่ข้องเกี่ยวทางโลก ไม่เดินในโลกมนุษย์ เหนือใต้ออกตกสี่ทิศ ต่อให้เป็นเขาสู่ซานที่ลือชื่อเรื่องทำอะไรเงียบๆ ยังมีสัมพันธ์ที่ตัดไม่ขาดนับไม่ถ้วนกับทางโลก แต่เขาม่วงไม่มี
การแย่งชิงแห่งราชวงศ์ การล่ากันไปมาแห่งแดนอุดร การหลอกลวงกันของเขาศักดิ์สิทธิ์ พวกนี้ไม่เกี่ยวข้องกับเขาม่วง เขตแดนเขาม่วงเล็กยิ่ง วัดกันที่พื้นที่เขตแดน ไม่อาจหยิบยกมาเทียบกับเขาศักดิ์สิทธิ์อื่นได้เลย
แต่เขาม่วงเป็นที่รู้กันว่าในสี่เขตแดน เป็นเขาศักดิ์สิทธิ์ที่มีโอกาสซ่อนอมตะที่หลับใหลมากที่สุด
ไม่แก่งแย่งไม่ถามไถ่ไม่สนใจ เขาศักดิ์สิทธิ์เช่นนี้ หากไม่มีกลอุบายสุดยอด คงถูกเขาศักดิ์สิทธิ์ที่มีใจทะเยอทะยานสูงกดทับ กินลงท้องไปนานแล้ว
วิชาต้องห้ามเกิดดับของเขาม่วงเป็นหนึ่งในใต้หล้า ประตูสำนักที่แท้จริงซ่อนอยู่ในภูเขาแดนประจิม ผู้บำเพ็ญหาพบได้ แต่หากไม่ได้รับอนุญาตจากคนใหญ่คนโตเขาม่วง แล้วยังบุกเขาม่วงก็จะมีแต่คำว่าตาย
……
เจ้าเขาม่วงมีฐานะลึกลับมาก เขาศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ไม่ข้องเกี่ยวทางโลกมาเกือบร้อยปีแล้ว เล่าลือว่าเจ้าภูเขายังหาศิษย์ที่ถูกใจไม่ได้ บ้างก็บอกว่าตอนนี้เจ้าเขาม่วงใกล้จะถึงขีดจำกัด ลังเลไม่แน่ใจอยู่หน้าก้าวของนิพพานเกิดดับ
ยิ่งศึกษาวิชาลับเกิดดับ ก็ยิ่งรู้ถึงความน่ากลัวที่แฝงในก้าวนั้นมากขึ้น
ภูเขาใหญ่แปดร้อยลี้ที่มีปราณม่วงรวมกัน ประตูสำนักที่แท้อยู่ในนั้น
แสงดาราไหลเวียนเหนือศีรษะพันกร นางเอามือไพล่หลังข้างหนึ่งเดินหน้าไป แสงดารามหาศาลพากลุ่มคนข้างหลังก้าวเข้าเขาม่วง ผนึกเกิดดับของเขาม่วงไม่ทำงาน ทั้งเขาศักดิ์สิทธิ์เงียบสงัด
สวีจั้งหน้าขาวซีด อาการบาดเจ็บในกายได้พันกรใช้แสงดารายับยั้งไว้ เลือดไม่ถึงกับระเบิดในกาย แต่ปราณกระบี่แผ่ออกมาเรื่อยๆ อาภรณ์จะถูกฉีกขาดเป็นรูใหม่ตลอด
บุรุษที่กลับมามีแรงก่อนตาย ครึ่งตัวเกาะบ่าหนิงอี้ แต่เขาเดินเองได้แล้ว แสงดาราของพันกรดันหลังเบาๆ การเดินทางมาไม่ถือว่าช้า ฝ่าเท้าเหยียบย่ำหิน ภูเขา และใบหญ้า
เผยฝานจับมือข้างหนึ่งของหนิงอี้ไว้แน่น
เด็กสาวไม่พูด มีท่านพันกรอยู่ข้างหน้า ต่อให้ผนึกของเขาม่วงทำงานก็ไม่เป็นอันตรายกับทุกคน
เจ้าเขาม่วงคนนั้นจะต้องเห็นทุกอย่าง แต่ไม่ได้ขวาง ปล่อยให้เข้ามาได้
เสียงเบาดังขึ้นบนเส้นทางเล็กเขาม่วง
“สวีจั้ง”
เสียงนั้นดังบนเส้นทางเล็ก ก้องกังวาน ฟังดูแห้บแห้งและแก่ชรา
หนิงอี้หรี่ตาลงเล็กน้อย
เจ้าเขาม่วงก็เป็นสตรีเหมือนกันหรือ
น้ำเสียงของเจ้าเขาม่วงสงบนิ่งและเฉยชา นางพูดต่อ “ศิษย์ของข้าเพียงคนเดียว ตายเพื่อเจ้าเมื่อสิบปีก่อน เขาศักดิ์สิทธิ์สี่ดินแดนสร้างปัญหาให้เขาม่วง ถึงตอนนี้ เจ้ายังไม่ยอมให้นางสงบอีกหรือ”
เสียงนี้ดังขึ้นในเขาม่วง วานรตกใจนกบินขึ้น ฝูงอีกากระพือปีก หมอกดำควันม่วง
เจ้าเขาม่วงรอคำตอบจากสวีจั้ง
สวีจั้งเอ่ยเสียงเบา “ข้าสังหารราชันดาราพลิกสมุทรแล้ว และยังมีเจ้าเขาอนันต์เล็ก”
เจ้าเขาม่วงเงียบไปชั่วขณะ
“เขาอนันต์เล็กถูกทำลายแล้ว งานราชวงศ์ใหญ่ครั้งต่อไป น่าจะลบนามเขาอนันต์เล็กออกจากเขาศักดิ์สิทธิ์” สวีจั้งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดต่อ “ส่วนราคาที่ข้าต้องจ่าย ท่านน่าจะมองออก”
“ก่อนตะวันขึ้น” สวีจั้งพูด “ข้าอยากพบหลุมศพของนาง”
ทั้งเขาม่วงสั่นไหวเบาๆ ท่ามกลางคำพูดของสวีจั้ง
เจ้าเขาม่วงหัวเราะเบาๆ ในเสียงหัวเราะมีความหมายที่บอกไม่ถูกอยู่เล็กน้อย
นางไม่ได้ปฏิเสธหรือตอบตกลง เพียงแต่ปราณกระบี่ปราณดาบนับไม่ถ้วนหมุนม้วนมาจากสองข้างถนนเล็ก รวมเป็นกลุ่มดาว ในตอนนี้เหมือนอาวุธเทพนับพันนับหมื่นพุ่งออกมา…
สวีจั้งยื่นมือมาข้างหนึ่ง ขวางศิษย์พี่หญิงของตนไว้
ในสี่ทิศ ขอบเขตราชันดารา พันกรอยู่ระดับสูงสุดอย่างไม่ต้องละอายใจ วิชาที่นางฝึกมีความสามารถในการสัมผัสเรียกได้ว่าเป็นที่หนึ่งในสี่ทิศ แสงดารามหาศาลสามารถคุมพันมือปราบศัตรู ทะเลวิญญาณยังสมบูรณ์แบบไร้ที่ติ
ผนึกเกิดดับของเขาม่วงขวางพันกรไม่ได้จริงๆ
หลังสวีจั้งขวางพันกร เขาก็พูดเสียงเบา “ผู้อาวุโสไม่เชื่อ…ผู้เยาว์ก็จะแสดงฝีมืออันต่ำต้อยให้ดู”
สวีจั้งที่แสงดาราและปราณกระบี่หมดสิ้นไปแล้วเกาะบ่าหนิงอี้ มือข้างหนึ่งชักพินิจเหมันต์ออกมา ชี้ขึ้นไปบนผืนฟ้า
สายลมหิมะลอยล่อง ปราณกระบี่แทงคืนมืด
หนึ่งกระบี่ชี้ไป แสงสว่างพุ่ง เหมือนกระบี่นั้นที่แทงระหว่างคิ้วเจ้าภูเขาอนันต์เล็ก
ไม่มีพลังบำเพ็ญใดๆ
ไม่มีแสงดาราเหลือ
ไม่มีอะไรเลย นี่เป็นเพียงกระบี่ธรรมดา
กระบี่ของคนใกล้ตาย
หนิงอี้ม่านตาหดลงอีกครั้ง เขาจำเค้าโครงทั้งหมดของกระบี่นี้ได้ แต่ไม่อาจเข้าใจได้…เหตุใดกระบี่ที่ธรรมดาถึงทะลวงผ่านขีดจำกัดทั้งหมด ไปถึงส่วนลึกทะเลวิญญาณที่เป็นแก่นรากวิถีกระบี่สังหารคนได้
สองข้างทางเขาม่วงซ่อนหินภูเขาต้นไม้ที่มีความหมายเกิดดับลึกลับไว้มากมาย หลังสวีจั้งแทงกระบี่ออกไปพลันระเบิดออก เศษหินพุ่งเข้าไปกลางภูเขา เกิดเป็นหลุมเว้าเต็มไปหมด อานุภาพเทียบเท่ากับลูกธนู
ข่ายเวทของราชันดาราพันกรปกคลุมเด็กสาว ฝุ่นควันหายไป เขาม่วงกลับมาเงียบสงบ
เจ้าเขาม่วงเหมือนเห็นภาพน่าเหลือเชื่อจากกระบี่นั้นของสวีจั้ง นางอุทานเสียงเบา ก่อนจะเงียบไป
บุรุษที่ออกกระบี่เช่นนี้ได้ มีความสามารถสังหารราชันดาราพลิกสมุทรได้จริงๆ
เจ้าเขาม่วงกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง ไม่พูดและไม่ออกมือขวางอีก
สวีจั้งจึงเกาะบ่าหนิงอี้แล้วยิ้มๆ สื่อให้หนิงอี้เดินหน้าต่อ
สภาพภูเขาเปลี่ยนจากสูงชันเป็นสบาย สุดท้ายเป็นทางเข้าถ้ำ สวีจั้งหยุดลง เขาตบบ่าหนิงอี้เบาๆ สื่อว่าเด็กหนุ่มไม่ต้องประคองตนอีก
หนิงอี้ก้มตัวลงอย่างระมัดระวัง ปล่อยสวีจั้งลง ประคองบุรุษจนเขายืนได้อย่างมั่นคง จากนั้นยืดหลังตรง
สวีจั้งพูดเสียงเบา “ยัยหนู”
เผยฝานมึนงง เดินมาหน้าสวีจั้ง
สวีจั้งพูดเสียงเบา “บิดาเจ้าฝากของที่สำคัญมากไว้ให้เจ้า…ตอนนี้ข้าจะมอบมันให้เจ้า เจ้าจะต้องรักษาไว้ให้ดี”
เผยฝานเม้มริมฝีปาก มองสวีจั้งยื่นนิ้วมือมา กดตรงระหว่างคิ้วนางเบาๆ
นิ้วของบุรุษ เลือดแข็งตัวแล้ว ตอนที่กดระหว่างคิ้วเผยฝาน สะเก็ดแผลแตก เลือดเหนียวข้นถูกบีบออกมาเหมือนไข่มุกร้อนเม็ดหนึ่ง เผยฝานรู้สึกร้อนตรงระหว่างคิ้วเล็กน้อย พริบตาก็ผ่านพ้นไป ไม่ได้เจ็บปวด เพียงแต่ตรงจุดที่กดนิ้วมีสัญลักษณ์เม็ดพุทราจางๆ ค่อยๆ จางลง จนสุดท้ายกลายเป็นสีขาวเนียนไม่ต่างอะไรกับผิวนาง
“กระบี่ซ่อนของท่านเผยหมิน…” พันกรขมวดคิ้ว จ้องสวีจั้ง “เขามอบกระบี่ซ่อนให้เจ้า ไม่ได้ใช้ในศึกวันนั้นรึ”
หนิงอี้ที่อยู่ข้างๆ ขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาไม่รู้ว่า ‘กระบี่ซ่อน’ คืออะไร แต่เข้าใจได้คร่าวๆ ว่านี่เป็นของที่สำคัญยิ่ง เผยหมินบิดาของเผยฝาน ตอนนั้นที่ถูกปิดล้อม ไม่ได้นำ ‘กระบี่ซ่อน’ ไปด้วย
สวีจั้งหัวเราะเบาๆ “ท่านกับข้าต่างรู้พลังบำเพ็ญของเผยหมิน ต่อให้ศึกนั้นในเมืองหลวง เจ้าเขาศักดิ์สิทธิ์ขี้ข้าราชวงศ์มากันหมด คู่ต่อสู้ของเขาก็มีเพียงจักรพรรดิต้าสุย ใช้ ‘กระบี่ซ่อน’ หรือไม่ ไม่ส่งผลกับบทสรุปสุดท้าย…ให้ยัยหนูไว้ ถือเป็นปณิธานก่อนตาย”
เผยฝานจับระหว่างคิ้ว ทำอะไรไม่ถูก นางเงยหน้าขึ้น ถูกสวีจั้งตบศีรษะเบาๆ บุรุษย่อตัวลง สองมือบีบหน้ารูปไข่ของเด็กสาว ยิ้มอย่างยากลำบาก “เจ้าพูดถูก บิดาเจ้าไม่อยากเห็นเจ้าเรียนวิชากระบี่สังหารคนกับข้า เผยหมินหวังให้เจ้าใช้ชีวิตอย่างมีความสุข ห่างไกลจากการแก่งแย่งของต้าสุย…เป็นคนธรรมดา หลังจากข้าไปแล้ว…เจ้าจะต้อง…ดูแลตัวเองให้ดี”
สวีจั้งยิ้มอ่อนโยนอย่างพบเห็นได้ยาก
เด็กสาวจุกในลำคอ นางตาแดงมองสวีจั้ง พูดไม่ออกสักคำ
“อย่าให้ตัวเองเสียใจภายหลัง…ยัยหนู”
สวีจั้งพูดจบก็หมุนตัวกลับ เขามองหนิงอี้ที่ยืนอยู่ข้างตน ก่อนจะยิ้มอย่างอ่อนโยน “เจ้าก็เหมือนกัน”
หนิงอี้รู้สึกไร้เรี่ยวแรงลึกๆ เป็นครั้งแรกในชีวิต
เขาอยากจะขวางอะไรบางอย่างไว้ การจากไปของสวีจั้ง การมาถึงของความตาย…แต่ก็พบว่าตนทำอะไรไม่ได้เลย หนิงอี้ที่ยืนอยู่หน้าถ้ำเขาม่วง ความจริงไม่ต่างอะไรกับเด็กหนุ่มคนนั้นหน้าอารามเทือกเขาประจิมเมื่อหลายเดือนก่อนเลย
สวีจั้งพูดถูก สิ่งมีชีวิตที่ยืนอยู่บนพื้น ไม่ว่ามนุษย์หรือมดปลวก โดยเนื้อแท้แล้วเหมือนกัน จากเกิดไปสู่ดับ หยุดการหายใจ ทุกข์สุขที่ผ่านมาทั้งหมดกลายเป็นเม็ดทรายลอยล่อง
สายลมพัดเม็ดทราย พัดทีเดียวก็หายไป
กุมไว้ไม่ได้ รั้งไว้ไม่ได้ ความตายเหมือนสัญญาที่มาถึง ผู้คนได้แต่ยอมรับ ได้แต่เผชิญหน้า
สวีจั้งปักพินิจเหมันต์ เหมือนคนชราใกล้ตาย เดินไปทีละก้าวอย่างลำบาก แต่ไม่หันกลับมา
เดินเข้าถ้ำเขาม่วงไปเช่นนี้
…..
ภายในถ้ำเป็นพื้นหญ้ากว้างโล่ง
ร้อยหญ้าพัดไหว ปราณกระบี่หมุนม้วน
สวีจั้งที่ยันกระบี่เดินหน้า ตรงหน้าเป็นพื้นหญ้ามหึมา
บนพื้นหญ้าตั้งป้ายหลุมศพหนึ่ง
เขามาถึงป้ายหลุมศพ ยกพินิจเหมันต์ขึ้นปักบนพื้นหญ้า จากนั้นย่อตัวลงเล็กน้อย นั่งขัดสมาธิหน้าป้ายหลุมศพ จอนผมสีเทาลอยขึ้นลงกลางสายลม
สวีจั้งมองนามเล็กบนป้ายหิน
กลิ่นอายดับสูญในตัวเขาเข้มขึ้นเรื่อยๆ ในที่สุดก็ส่งไปถึงทะเลวิญญาณ การหมุนวนของทะเลสาบวิญญาณเริ่มช้าลง ภาพในความคิดบุรุษไม่โลดแล่นอีก แต่ติดๆ ขัดๆ
ชีวิตคนเหมือนขี่ม้าชมดอกไม้ หยุดไม่ได้ ได้แต่นึกถึง
มีสตรีสวมชุดคลุมสีแดงมาอยู่ข้างหลังเขา
คนนั้นถามเสียงเบา “เจ้าเสียใจหรือไม่”
สวีจั้งไม่ตอบคำถามนี้
เมื่อสิบปีก่อน คืนนั้นคดีเลือดในเมืองหลวง อาจารย์ของสวีจั้งกับคนรักถูกปิดล้อมพร้อมกัน เขาเลือกไปช่วยชนรุ่นหลังตระกูลเผยก่อน
ดังนั้นถึงได้มีป้ายหลุมศพนี้บนเขาม่วง
ใบไม้ร่วงร่ำไห้ บนฟ้าเขาม่วงเกิดหิมะตก
ตกลงบนจอนผมของสวีจั้ง
บุรุษยิ้ม หลับตาลง
เจ้าเขาม่วงมีใบหน้าเรียบนิ่ง เอามือข้างหนึ่งวางบนศีรษะเขา
แขนเสื้อใหญ่สะบัดเบาๆ จอนผมลอยขึ้น
สวีจั้งยังคงอยู่ในท่าทางนี้ ไม่ขยับอีก
ดับสูญไปทั้งตัว มีแต่กลิ่นอายมรณะ
……………………