ภาคที่หนึ่ง ตอนที่ 49 เพลิงดาราแผดเผา (rewrite)

เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า

ตอนที่ 49 เพลิงดาราแผดเผา (rewrite)

“ตำหนักทะเลสาบกระบี่ ขอบเขตดาราชะตาตายไปสามคน”

“ราชันดาราพลิกสมุทรก็ตายแล้ว”

“เจ้าเขาอนันต์เล็กก็ตายเหมือนกัน”

ข่าวการสังหารคนของสวีจั้งแพร่งพรายมาจากเขาศักดิ์สิทธิ์สองลูกแห่งแดนประจิม กระจายไปถึงสี่ทิศต้าสุยด้วยความเร็วสูงสุด

ค่ำคืนนี้แสงดาราอ่อนลง สวีจั้งถือกระบี่สังหารเขาอนันต์เล็ก ตำหนักทะเลสาบกระบี่ที่ล่าสังหารสวีจั้งลับๆ มาสิบปีจ่ายชีวิตผู้บำเพ็ญดาราชะตาสองคนในตอนนั้น สงบคลื่นลมลง

ส่วนเขาอนันต์เล็กที่มาหาตัวอ่อนสังหารเขาสู่ซานคนนี้ถึงที่ เรียกว่าซวย

ราชันดาราพลิกสมุทรถูกสวีจั้งตามมาเขตแดนเขาศักดิ์สิทธิ์ครึ่งหนึ่ง ค่ายกลกระบี่โอฬารรักษาชีวิตไว้ไม่ได้ เล่าลือว่าตายอนาถ ครึ่งเขาอนันต์เล็กถูกตัดเรียบ ศิษย์ตายไปนับไม่ถ้วน เลือดไหลนองไปทั้งเส้นทางภูเขา ค่ายกลเก้าสิบเก้าค่ายคุ้มกันภูเขาถูก ‘พินิจเหมันต์’ ทำลายลงทั้งหมด

…..

ตอนที่ข่าวยังไม่กระจายออกไป เมืองหลวงเงียบสงัด

ทั้งเมืองหลวงมีเพียงความเงียบไร้คำพูด ป้ายชีวิตที่องค์ชายสามบีบแตกช่วงเย็นนถูกเผาเป็นเถ้าถ่าน ความเจ็บปวดที่เสียสายเลือดแท้ราชวงศ์ไปคนหนึ่ง มาเยือนในใจราชนิกุลสายตรงทุกคน

รถม้าที่อยู่ในสภาพดูไม่ได้นั้น ขณะเดียวกับที่หลี่ไป๋หลินบีบจี้หยกเคลื่อนย้ายมาปรากฏบนเส้นทางกว้างโล่งของเมืองหลวง ชุดคลุมขาวขององค์ชายสามเปื้อนคราบเลือดสีทองเล็กน้อย ใบหน้าขาวซีดแต่โกรธแค้น กำหมัดจนข้อต่อนิ้วจนเขียวอมขาว

องครักษ์คนหนึ่งของหลี่ไป๋หลิน ทั้งยังเป็นราชนิกุลสายตรงของราชวงศ์…ตายแล้ว

ทันทีที่รถม้ามาปรากฏในเมืองหลวง สมาชิกแกนหลักทุกคนในเมืองหลวงต่างหยุดงานในมือตน

บางแห่งในเมืองหลวง บุรุษหนุ่มที่เชื่อฟังคำสั่งบิดาตัวแข็งทื่อ รู้สึกถึงความเจ็บปวดทางสายเลือด นัยน์ตาฉายแววเย้าหยอกและเยาะเย้ย

บุรุษที่พูดมาตลอดเงียบลง

กี่ปีแล้ว…ที่ไม่มีองครักษ์ตาย องครักษ์สายเลือดตรงราชวงศ์ เพราะการสืบทอดทางสายเลือด กำลังรบจึงเหนือกว่าขอบเขตพลังเดียวกัน การตายของราชนิกุล นอกจากเคยเกิดขึ้นในสงครามทะเลพลิกผันแดนอุดรแล้ว ในอาณาเขตต้าสุย ไม่เคยเกิดเรื่องน่าเหลือเชื่อเช่นนี้มาก่อน

ยินยอมเป็นองครักษ์ปกป้องสายเลือดราชวงศ์ เป็นผู้บำเพ็ญจุดดาราชะตา จะตายได้อย่างไรกัน

โกรธแค้นและตกตะลึง พรั่งพรูในใจราชนิกุลทุกคน

เส้นทางที่รถม้าหยุด

หลี่ไป๋หลินเงยหน้าขึ้น หน้าต่างกระดาษเหนือศีรษะเปิดออกดัง ‘ปึง’

บุรุษมึนเมาโยนขวดสุราแตกลงบนพื้นอย่างแรง บุรุษคนนั้นชะเง้อหน้าออกมา มองไปรอบๆ เห็นองค์ชายสามที่ยืนบนถนนเงยหน้ามองตน ข้างหลังมีแม่นางสองคนกำลังนวดบ่านวดหลังให้เขา

องค์รัชทายาทเหมือนไม่รู้สึก ‘เห็นใจทางสายเลือดร่วมกัน’ แม้แต่น้อย เขายิ้มหยีตาถาม

“ไป๋หลิน…เจ้า…เพิ่งกลับมาจากเขาสู่ซานรึ”

ในเมืองหลวงไม่มีความลับ

ทุกคำที่องค์รัชทายาทพูดกับตนตอนนี้ ปิดบังไม่ได้ในถนนเมืองหลวง ทุกคำจะเข้าถึงหูทุกคนในราชวงศ์ต้าสุยไม่มีขาดตก

โดยเฉพาะถึงหูองค์ชายรอง

หลี่ไป๋หลินสีหน้าย่ำแย่ยิ่ง

เขาสูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนจะพูดเสียงเบา “ท่านอากงตายที่เขาสู่ซานแล้ว”

เมื่อเอ่ยคำนี้จบ องค์รัชทายาทถึงได้ทำเสียง ‘ซี้ด’ เข้าใจแจ่มแจ้งแล้ว ทั้งตัวหน้าซีดขาว เข้าใจถึงความเจ็บปวดที่แผ่มาจาก ‘สายเลือด’ ไม่หยุด เขาผลักแม่นางสองคนข้างกายออกด้วยความมึนเมา ก่อนจะถามด้วยความร้อนใจอีกครั้ง “ใครฆ่าท่านอากง”

หลี่ไป๋หลินพูดด้วยใบหน้าไร้คลื่นอารมณ์ “เขาสู่ซาน สวีจั้ง”

องครักษ์ของราชวงศ์เริ่มตื่นตัว กลิ่นอายพลังสีทองหมุนวนใต้ดิน ค่ำคืนถูกปราณกระบี่ตรงชานเมืองหลวงแยกออก สีทองสว่างจ้าย้อมแม่น้ำพายุแดงที่ล้อมรอบเมืองหลวงเป็นสีเหนียวข้นทองกับแดงซ้อนทับกัน ปราณกระบี่กระเพื่อม จิตสังหารก่อตัวขึ้นไม่หยุด

นามสวีจั้ง โด่งดังโลกหล้ามาเมื่อสิบกว่าปีก่อน

นี่คือผู้ดูหมิ่นกฎโดยแท้ สิบปีมานี้ใช้ชีวิตอย่างน่าเวทนา ถูกลิ่วล้อทุกเขาศักดิ์สิทธิ์ไล่ล่าจนต้องหนีหัวซุกหัวซุน…ใครจะไปคิดว่าจะมีวันนี้ และยังกล้าหาญเช่นนี้

หลี่ไป๋หลินไม่ได้เล่าคำพูดเนรคุณพวกนั้นที่สวีจั้งพูดหน้าอารามรู้กรรม เขามององค์รัชทายาท ไม่รู้ว่าพี่ใหญ่คนนี้ของตนแกล้งบ้าหรือขายโง่กันแน่ ตนบีบจี้หยกเคลื่อนย้าย จุดเคลื่อนย้ายก็สุ่มในเมืองหลวง หากไม่ใช่ว่าองค์รัชทายาทบังเอิญอยู่ในหอนางโลมแห่งนี้ เช่นนั้นจะเข้าตำหนักไปรายงานเสด็จพ่อโดยตรง…เรื่องราวอาจจะง่ายกว่านี้หน่อย

ผู้บำเพ็ญของเมืองหลวงคอยจ้องหาโอกาสเคลื่อนไหวแล้ว สวีจั้งสังหารองครักษ์ขอบเขตดาราชะตาได้ เกรงว่าพวกวัตถุโบราณในเมืองหลวงต้าสุยคงจะเคลื่อนไหวกัน…เรื่องนี้ส่งผลกับตนมาก ไม่ว่าจัดการอย่างไร ตนจะต้องจดจำเอาไว้

คนที่สังหารราชวงศ์สายตรง จะถูกประทับตราของสายเลือดจักรพรรดิในใจ ไม่ว่าจะหนีไปที่ใด อยู่ที่ใด ก็หนีไม่พ้นการประทับตราของสายเลือดจักรพรรดิ

เงียบอยู่บนถนนชั่วครู่ ผู้มีอิทธิพลแท้จริงในเมืองหลวงพวกนั้นกำลังจะตื่นขึ้น ทันใดนั้นเอง หลี่ไป๋หลินขมวดคิ้ว

องค์รัชทายาทก็ขมวดคิ้วเช่นกัน

สัมผัสสายเลือดจักรพรรดิที่เลื่อนลอยนั้นค่อยๆ จางลง

คนนั้นที่ถูกสายเลือดจักรพรรดิประทับตรา…พลังชีวิตกำลังลดลงไปเรื่อยๆ

จากนั้นในช่วงเวลาที่สั้นยิ่งก็เหมือนแมลงเม่าบินเข้ากองไฟ อุณหภูมิทั้งหมดพุ่งขึ้นตามแสงไฟ

แสงสว่างส่องแก้มใบหน้าขาวซีดของหลี่ไป๋หลิน

องค์รัชทายาทส่ายหน้า ปิดหน้าต่าง

องค์ชายรองในตำหนักเอ่ยสองคำเบาๆ

มือนั้นของจักรพรรดิไท่จงที่ยกขึ้นวางลงอีกครั้ง

ผู้อาวุโสในเมืองหลวงที่ห่างไปหลายสิบลี้ กลิ่นอายพลังอ่อนลง กลับมาสงบลงอีกครั้ง

หยกแตก เผาตัวเอง

ข่าวการตายของสวีจั้งไม่ได้เริ่มจากเขาม่วง แต่เริ่มจากเมืองหลวง กระจายไปทั่วสารทิศ

…..

สิบวันสั้นๆ ทั้งใต้หล้าต้าสุยรู้เรื่องที่เกิดขึ้นในคืนนั้น

สวีจั้งถือกระบี่สังหารคน แสดงท่วงท่าสง่างามที่สุดเหมือนเผยหมินในตอนนั้น

ตำหนักทะเลสาบกระบี่เลือกเงียบ ไม่พูดสักคำ

ทางด้านเขาอนันต์เล็กปิดทั้งสำนัก ห้ามให้ใครเข้าไป

ความเงียบของตำหนักทะเลสาบกระบี่คือคำตอบที่ดีที่สุด

องครักษ์ของเมืองหลวงตาย นี่ไม่ใช่เรื่องที่ควรค่าแก่การโอ้อวด ความเศร้าและเจ็บปวดของสายเลือดตรง หายไปอย่างรวดเร็วหลังสวีจั้งตาย ข่าวนี้ก็ถูกปิดไว้เช่นกัน

แต่ข่าว ‘การตายของสวีจั้ง’ กลับแพร่กระจายในเมืองหลวงอย่างรวดเร็ว

กดสองเขาศักดิ์สิทธิ์แดนประจิมจนเงยหน้าไม่ขึ้น ตอนนี้อาจารย์อาน้อยสวีจั้งผู้อวดตนเป็นหนึ่งแห่งเขาสู่ซานตายแล้วรึ

ไม่นานก็มีคนไปพิสูจน์ที่เขาสู่ซาน

เขาสู่ซานปฏิเสธการตายของสวีจั้ง และบอกกับภายนอกว่าสวีจั้งแค่ปิดด่านบำเพ็ญ

……

สำนักเต๋าเทือกเขาประจิม ตำหนักนภาม่วง

เทือกเขาประจิมเกิดหิมะตก ทั้งเขาศักดิ์สิทธิ์เงียบสงัด วิจิตรไม่ปนเปื้อนธุลีดิน

นกกระจอกแดงเกาะอยู่ตรงสันของหลังคา ไม่มีพิษภัย เหมือนนกบริสุทธิ์ตัวหนึ่ง มันพลันตกใจตื่น

นักพรตเต๋าผมขาวหนุ่มผลักประตูหอ ตื่นจากสภาวะปิดด่านบำเพ็ญ

ในมือโจวโหยวบีบจี้หยกบางยิ่ง จี้แตกร้าว วิญญาณในนั้นสลายไปลับๆ

เขายืนอยู่บนยอดเขาตำหนักนภาม่วงด้วยสีหน้าซับซ้อน

ฟ้าดินเกิดหิมะตกหนัก โจวโหยวมองไปทางเขาสู่ซาน บนแท่นมรรค ศิษย์ตำหนักนภาม่วงจำนวนมากมองเจ้าตำหนักหนุ่มมีสีหน้ากลัดกลุ้ม รู้ว่าข่าวจากโลกภายนอก…อาจจะเป็นความจริงแล้ว

โจวโหยวมีสหายเพียงคนเดียว

สวีจั้งก็มีสหายเพียงคนเดียว

โจวโหยวถือป้ายชีวิตของสวีจั้งในมือ เป็นเรื่องที่ปกติมาก คนที่ทำให้อัจฉริยะสำนักเต๋าที่อยู่สุดยอดของโลกบำเพ็ญตอนนี้ออกด่านบำเพ็ญได้…มีเพียงคนเดียว

สวีจั้ง

ครั้งก่อนโจวโหยวออกจากสภาวะปิดด่านบำเพ็ญเพื่อไปช่วยสวีจั้งที่ถูกเขาศักดิ์สิทธิ์เทือกเขาประจิมปิดล้อม

และครั้งนี้ หลังโจวโหยวออกจากด่านบำเพ็ญก็ไม่พูดอะไรเลย เดินมาถึงยอดเขาตำหนักนภาม่วงเงียบๆ มือข้างหนึ่งบีบป้ายชีวิตของสวีจั้ง อีกมือไพล่หลัง ยืนบนยอดเขาตำหนักนภาม่วงอย่างโดดเดี่ยว แบมือออก ปล่อยเศษป้ายชีวิตถูกสายลมพัดไป ดังนั้นชีวิตที่ทั้งน่ารักและน่าชังจึงถูกพัดไปสุดหล้าฟ้าเขียว อยู่ทุกหนแห่งในโลก

เรือล่องโดดเดี่ยว ร่อนเร่ในโลกมนุษย์

มาเพื่อการนี้ จากไปเช่นนี้

โจวโหยวเรียกศิษย์พี่ใหญ่แห่งตำหนักนภาม่วงมา เขาฟังเรื่องราวการตายของสวีจั้งเกี่ยวกับคืนนั้นอย่างไม่แปลกใจเลย

“เจ้าตำหนักทะเลสาบกระบี่สังหารดาราชะตาไปสองคนเพื่อระงับโทสะของสวีจั้ง”

“ราชันดาราพลิกสมุทรที่นำค่ายกลกระบี่โอฬารมาถูกสวีจั้งสังหาร”

“เขาอนันต์เล็กถูกเขาเหยียบทลาย บาดเจ็บล้มตายสาหัส”

แม้จะรู้ความจริงของเรื่องนี้คร่าวๆ ศิษย์พี่ใหญ่นภาม่วงก็ยังพูดตามความจริง “ท่านเจ้าตำหนัก…เขาสู่ซานปิดภูเขาแล้ว บอกข่าวกับภายนอกว่าสวีจั้งยังปิดด่านบำเพ็ญ”

เขาสู่ซานปิดเขา สวีจั้งปิดด่านบำเพ็ญ

โจวโหยวขานรับด้วยใบหน้าไร้คลื่นอารมณ์

นกกระจอกแดงบินลงมาจากบนยอดตำหนักนภาม่วง มันส่งเสียงร้องดัง มองเศษป้ายชีวิตสวีจั้งที่กระจายเต็มฟ้า เหมือนเข้าใจอะไรบางอย่าง ชีวิตคนสารเลวบางคนจากไปและตนยังไม่ทันแก้แค้น เลยระบายความโกรธและความไม่เต็มใจบนฟ้าตำหนักนภาม่วง พายุเพลิงร้อนระอุลุกแผดเผาบนยอดเขาตำหนักนภาม่วง

โจวโหยวมองภาพนี้เงียบๆ

ศิษย์พี่ใหญ่นภาม่วงถอนหายใจเบา ไม่พูดอีก เขาพลันเลิกคิ้วขึ้น เหมือนนึกเรื่องที่สำคัญยิ่งได้

“ท่านโจวโหยว เขาสู่ซานยังมีอีกเรื่องใหญ่”

ศิษย์พี่ใหญ่ตำหนักนภาม่วงมีสีหน้าซับซ้อนและปลงอนิจจัง นึกไปถึงตอนที่ตนเพิ่งได้ยินข่าวนี้ยังตกตะลึงอยู่เลย รู้สึกว่ามันเหลือเชื่อ

“หลายคนสงสัยว่าสวีจั้งสังหารคนเพื่อสร้างสถานการณ์”

เขาครุ่นคิดอย่างจริงจัง ก่อนพูดมาทีละคำ “หลังจบเรื่องนี้ มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งก้าวออกมา…เขารับตำแหน่งแทนสวีจั้ง เป็นอาจารย์อาน้อยคนใหม่ของเขาสู่ซาน”

โจวโหยวหรี่ตาลง

“เด็กหนุ่มคนนั้นชื่อหนิงอี้ รายนามดาราใต้ฟ้าต้าสุยจัดเขาไปอยู่อันดับหนึ่ง หนิงอี้ที่ไม่เคยโผล่หน้ามาก่อน ได้รับขนานนามว่าเป็นอัจฉริยะที่มีหวังทะลวงพลังจุดดาราชะตาได้ก่อนมากที่สุดในรุ่นนี้!”

ศิษย์พี่ใหญ่ตำหนักนภาม่วงที่คิดว่าชมเด็กหนุ่มคนนี้เกินไปสูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนพูดด้วยความโกรธ “ตอนนี้ทั้งโลกหล้ารู้จักนามของหนิงอี้ เขารับพินิจเหมันต์ของสวีจั้ง มรดกของเจ้าหรุย ในความหมายบางอย่าง…แบกรับบุญวาสนาของสวีจั้ง เขายืนอยู่ในตำแหน่งที่สูงยิ่งกว่าบุตรศักดิ์สิทธิ์ใต้ฟ้าต้าสุยอีก”

พูดจบ บนยอดเขาเงียบ

ศิษย์พี่ใหญ่เม้มริมฝีปาก งุนงงเล็กน้อย

เพราะโจวโหยวที่ได้ยินข่าวนี้เหมือนจะไม่ได้ตกใจเลย

โจวโหยวยกแขนข้างหนึ่งขึ้น นกกระจอกแดงร่างใหญ่บนฟ้าแผดเสียงร้องครั้งสุดท้ายแล้วก็เปลี่ยนทิศทางพุ่งลงมา ระหว่างทะลวงหิมะในชั้นเมฆ ขนาดก็เล็กลงเรื่อยๆ สุดท้ายตอนที่ลงบนแขนโจวโหยว ก้อนเนื้อหนึ่งก้อนสองกรงเล็บจับแขนเสื้อไว้แน่น เกาะโยกเยกไปมาบนแขนโจวโหยว ร้องไห้ด้วยความเสียใจ

สวีจั้งตายแล้ว ทุกคนใต้ฟ้าต้าสุยคิดว่านี่เป็นเรื่องที่ควรค่าแก่การฉลอง

ในเขตสี่สมุทร คนที่ร้องไห้ให้เขาอย่างแท้จริงมีเพียงนกตัวนี้เท่านั้น

โจวโหยวมีสีหน้าซับซ้อน

‘หนิงอี้’

เขาพูดนามเงียบๆ ในใจ

ตอนพบกันที่เทือกเขาประจิม โจวโหยวรู้ว่าเด็กหนุ่มคนนี้สักวันจะเป็นที่รู้จักในใต้หล้า

แต่เขาไม่เคยคิดเลยว่าวันนั้นจะมาถึงเร็วขนาดนี้

………………………..

—————————————