บทที่ 39 ข้าแค่ขี้อาย (รีไรท์)
บทที่ 39 ข้าแค่ขี้อาย (รีไรท์)
หลายวันมานี้บรรดาพี่ชายไม่ได้มาหาเสี่ยวเป่าเลย เพราะในระหว่างที่ศึกษาเล่าเรียนจากตำรา พวกเขายังต้องฝึกวรยุทธ์ ขี่ม้า และยิงธนูไปพร้อม ๆ กัน
หลังจากฝึกเสร็จทุกวัน พวกเขาก็เหนื่อยจนแทบลุกไม่ขึ้น จึงไม่มีเวลามาหาเสี่ยวเป่า
ถึงกระนั้น พวกเขาแต่ละคนยังให้คนนำของขวัญมาให้นาง
ทั้งหมดนั้นล้วนเป็นของเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่พวกเขาเก็บสะสมไว้ ไม่ว่าจะเป็นไข่มุกหรือเพชรนิลจินดา
เห็นเสด็จแม่ของพวกเขาชอบสิ่งเหล่านี้ไม่น้อย น้องสาวเองก็น่าจะชอบสิ่งเหล่านี้เช่นกัน
เสี่ยวเป่าทะนุถนอมของขวัญจากพี่ชายเป็นอย่างดี เก็บรักษาไว้ในกล่องใบเล็ก จากนั้นนางก็รีบวิ่งไปหาท่านพ่อ เพราะอยากจะให้ของขวัญพี่ ๆ บ้าง
“ท่านพ่อ ๆ เขียนอักษรสักคำสองคำให้เสี่ยวเป่าได้หรือไม่เพคะ”
ไม่มีผู้ใดในตำหนักฉินเจิ้งคิดจะหยุดนาง เสี่ยวเป่าจึงวิ่งเข้ามาพร้อมเสียงใส ๆ ของเด็กน้อยวัยฟันน้ำนม
พอเข้าไปข้างในนางถึงได้รู้ว่าที่นั่นไม่ได้มีเพียงท่านพ่อ
เจ้าก้อนแป้งรีบปิดปากและหยุดส่งเสียงทันที เหลือบมองคนเหล่านั้นแล้วนางก็รีบก้มหน้างุด
เพราะเห็นว่าคนเหล่านั้นกำลังมองมาที่นางอยู่!
จิตใต้สำนึกสั่งเสี่ยวเป่าว่าต้องไปหาผู้ที่คุ้นเคยและใกล้ชิดนางที่สุด ขาสั้น ๆ ของนางจึงรีบวิ่งไปหลบหลังท่านพ่อ
หนานกงสือเยวียนเห็นนางวิ่งเสียงหอบมาหลบอยู่ข้างหลังตน เจ้าก้อนแป้งสีขาวราวหิมะใช้มือน้อย ๆ กำชายชุดคลุมของเขาไว้แน่น รอยยิ้มจาง ๆ พลันฉายชัดในแววตาของเขา
เหล่าขุนนางที่กำลังแอบมององค์หญิงน้อยที่ผู้คนเล่าลือกัน จู่ ๆ ก็ได้เห็นรอยยิ้มอันเลือนรางของฝ่าบาท ต่างสงสัยว่าพวกเขาแก่ชราจนตาลายแล้วเป็นแน่!
เยี่ยมไปเลย! ผู้คนต่างเล่าลือกันว่าฝ่าบาททรงปฏิบัติต่อองค์หญิงน้อยแตกต่างจากผู้อื่น เมื่อก่อนเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่วันนี้พวกเขาได้เห็นกับตาตนเองแล้ว
“ถ้าไม่มีอะไรแล้วก็แยกย้ายเถอะ”
แต่กับผู้อื่น หนานกงสือเยวียนยังคงเฉยชาราวกับก้อนน้ำแข็ง
ดีจริง นี่สิถึงจะเป็นบรรยากาศที่พวกเขาคุ้นเคย ยังคงเป็นทรราชคนเดิมไม่ผิด
“พ่ะย่ะค่ะ”
เหล่าขุนนางถอยออกไปเงียบ ๆ แต่พวกเขายิ่งอยากรู้อยากเห็นเรื่องขององค์หญิงน้อยมากขึ้นเรื่อย ๆ
ทว่านางก็ดูคล้ายฝ่าบาทอยู่บ้าง แม้องค์หญิงน้อยจะยังเป็นเพียงเจ้าก้อนแป้งวัยสามขวบ แต่ครั้งแรกที่พบนางก็ให้ความรู้สึกว่านางมีพรสวรรค์อันปราดเปรียว เรียกได้ว่าเป็นเทพธิดาตัวน้อยจากสรวงสวรรค์ที่ลงมาจุติยังโลกมนุษย์อย่างไม่ต้องสงสัย
“ท่านพ่อ”
เมื่อคนพวกนั้นจากไปหมดแล้ว เสี่ยวเป่าก็โผล่หัวออกมาจากด้านหลังพร้อมมองเขาตาปริบ ๆ
หนานกงสือเยวียนยื่นนิ้วออกมาเคาะหน้าผากนางเบา ๆ
“เจอข้าเจ้าไม่กลัว แต่เจอพวกเขาแล้วไยเจ้าถึงกลัว”
เสี่ยวเป่าใช้โอกาสนี้คว้ามือท่านพ่อมาถูไถกับใบหน้านุ่มนิ่มของตนราวกับแมวน้อยติดแม่
“เพราะท่านคือท่านพ่ออย่างไรเล่า”
พูดจบนางก็ยังพึมพำต่อ “เสี่ยวเป่าไม่ได้กลัว แค่…แค่อาย”
หนานกงสือเยวียนหลุดขำออกมาเล็กน้อย ทว่าเสี่ยวเป่ากลับได้ยินชัด
คนตัวเล็กยืดคอมองหน้าเขา เขย่งเท้าขึ้นเพื่อจับใบหน้าอันหล่อเหลาของท่านพ่อ
“ท่านพ่อหัวเราะหรือ?”
เด็กน้อยคิ้วโก่งสูงถามอย่างตกใจ แต่ใบหน้ากลับแย้มยิ้มราวกับมีความสุขกว่าหนานกงสือเยวียนเสียอีก
คนตัวใหญ่ยื่นมือออกไปหยิกแก้มนาง ไขมันบนแก้มบีบเข้าหากันเหมือนขนมปังก้อนเล็ก ๆ ดูเคี้ยวง่าย
“อีกห้าวันจะมีงานเลี้ยง นับตั้งแต่วันพรุ่งนี้ไปหมัวมัวจะมาสอนมารยาทและธรรมเนียมปฏิบัติให้เจ้า แค่ให้รู้จักการวางตัวในงานเลี้ยงอาหารค่ำที่จะถึงนี้ก็พอ ที่นั่นจะมีผู้คนมากหน้าหลายตา ดังนั้นอย่าได้เขินอายเหมือนวันนี้”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เสี่ยวเป่าก็เบิกตากว้าง ซ้ำยังคงถูกท่านพ่อบีบแก้มอย่างกับซาลาเปา นางหน้ามุ่ยพลางส่งเสียงเพื่อหยุดเขา
“ทราบแล้วเพคะ ท่านพ่อปล่อยมือได้แล้ว”
หนานกงสือเยวียนอดใจไม่ไหวบีบแก้มอ้วน ๆ อีกครั้งก่อนจะปล่อย เมื่อเทียบกับช่วงแรก ๆ เห็นได้ชัดว่ายามนี้ร่างกายของเสี่ยวเป่ามีเนื้อมีหนังมากขึ้น ซ้ำยังบีบเล่นได้มันมือมาก
“ท่านพ่อเขียนอักษรให้เสี่ยวเป่านะเพคะ”
คนตัวเล็กหวนนึกถึงจุดประสงค์ที่มาที่นี่ จึงค่อย ๆ นอนลงหนุนตักท่านพ่ออย่างออดอ้อน
“จะให้เขียนสิ่งใด”
หนานกงสือเยวียนยามนี้อารมณ์ดีไม่น้อย หยิบกระดาษแผ่นหนึ่งขึ้นมากางออก
เสี่ยวเป่าเกาหัวแกรก ๆ “เขียนชื่อพวกท่านพี่ แต่พี่หกมีนามว่าอย่างไรเขาก็ไม่เคยบอก!”
หนานกงสือเยวียน “…”
ไม่รู้อันใดเลยแล้วยังมาให้ข้าเขียน?
เจ้าก้อนแป้งที่กำลังนอนหนุนตักเขาเอ่ยเสียงนุ่มนวล
“พวกท่านพี่มอบของขวัญให้เสี่ยวเป่า มีทั้งลูกปัดหินและของล้ำค่างดงามทั้งนั้น เสี่ยวเป่าก็อยากให้ของขวัญพวกเขาเหมือนกัน”
หนานกงสือเยวียนรู้สึกเปรี้ยวขึ้นมาในใจ แต่ฮ่องเต้ผู้เรืองอำนาจและเป็นที่น่าเกรงขามอย่างเขาจะยอมรับว่าอิจฉาเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ได้อย่างไร
ดังนั้นจึงเขียนชื่อบุตรชายทั้งสามอย่างใจเย็น และมอบให้นางไป
“เจ้าหัวแหลมมากที่ใช้ข้าเขียนอักษรให้เพื่อเอาไปเป็นของขวัญ”
เสี่ยวเป่ากอดมือท่านพ่อไว้พลางใช้แก้มถูไถอย่างเอาอกเอาใจ “ท่านพ่อคือคนโปรดของเสี่ยวเป่า ท่านพ่อแสนดีที่สุด!!!”
ปากก็เล็กแค่นั้น ไม่เห็นต้องหวานถึงเพียงนี้
หลังจากได้สิ่งที่ต้องการแล้ว เสี่ยวเป่าก็เอ่ยเสียงหวานอีกครั้ง “ท่านพ่อก้มลงมาหน่อย”
หนานกงสือเยวียนหลุบตามองนาง “ยังอยากทำสิ่งใดอีก?”
แม้จะมีคำถาม แต่น้ำเสียงนั้นฟังดูก็รู้ว่าพร้อมจะทำตามทุกอย่างที่นางต้องการ
เสี่ยวเป่าส่งสายตาเร่งเร้า “ท่านพ่อก้มลงมากกว่านี้อีกนิด อีกนิดหนึ่งนะเพคะ”
เห็นลูกน้อยส่งสายตาอ้อนวอนอย่างนั้นแล้ว สุดท้ายหนานกงสือเยวียนก็ต้องใจอ่อนโน้มตัวลงมาหานาง
เจ้าก้อนแป้งสีขาวราวกับหิมะรีบเขย่งเท้าเพื่อจุ๊บแก้มเขาทันที
พรึ่บ!
แส้จามรี*[1]ในมือฝูไห่กงกงหล่นลงพื้น
“ขอบคุณเพคะท่านพ่อ”
พูดจบ เสี่ยวเป่าก็หยิบกระดาษสามแผ่นแล้วกระโดนโลดเต้นออกไปทันที
หนานกงสือเยวียนตัวแข็งทื่ออยู่พักหนึ่ง ก่อนจะเม้มปากแน่นและยืดตัวตรง
ดูภายนอกบุรุษผู้นี้คงมีท่าทีสงบนิ่ง แต่ความจริงมุมปากแอบยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย
เมื่อก่อนเขาไม่ได้ใส่ใจเรื่องทายาทเท่าไหร่นัก ไม่ว่าองค์ชายหรือองค์หญิงก็ไม่ต่างกัน
ดังนั้นเรื่องที่ในวังมีองค์ชายถึงแปดคนและไม่มีองค์หญิงสักคนเดียวจึงไม่ได้มีผลอันใดต่อเขา
เขาเคยเย้ยหยันความคิดบ้า ๆ ของเซียวเหยาอ๋องและเจิ้นหนานอ๋องที่ต้องการลูกสาว
แต่ตอนนี้…
แน่นอนว่าลูกสาวดีกว่าและเอาใจใส่มากกว่า เซียวเหยาอ๋องและเจิ้นหนานอ๋องมีลูกชายมากมายแต่ไม่มีลูกสาวสักคน
หึ… ของแบบนี้ไม่ใช่ว่าผู้ใดอยากจะมีก็มีได้ตามต้องการ
เซียวเหยาอ๋องและเจิ้นหนานอ๋อง… ต้องขอบคุณพวกเขาจริง ๆ
เสี่ยวเป่ายืนถือกระดาษที่มีอักษรที่ท่านพ่อเขียนให้ พลางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะวิ่งไปยังอุทยานหลวง นางค่อย ๆ หาดอกไม้ที่ดูไม่โดดเด่นแต่มีสีสันสวยงาม
วันนั้นทั้งวัน นางยุ่งอยู่กับการเตรียมของขวัญให้พี่ ๆ
ดอกไม้ดอกน้อย ๆ ถูกเสี่ยวเป่าทำให้พวกมันแห้งสนิทและเปลี่ยนให้เป็นที่คั่นตำราอันงดงาม
โลกที่นางเคยอาศัยในชาติที่แล้วนั้นอุดมสมบูรณ์ไปด้วยพืชพันธุ์นานาชนิด เหล่าภูตต่างบินเที่ยวชมความงามของสรรพสิ่งทั้งหลาย เพียงแต่พวกเขาต้องเฝ้าดูอย่างลับ ๆ เพื่อซ่อนตัวจากผู้คน
โลกมหัศจรรย์นั้นดีก็จริง แต่ต้องใช้พลังจำนวนมาก นางอยู่ได้ไม่นานก็อยากกลับไปที่ป่าเพื่อเล่นกับเหล่าพืชพันธุ์และสัตว์ป่าแล้ว
เสี่ยวเป่าจับพู่กันมาวาดใบหน้าแย้มยิ้มที่ดูเรียบง่ายและเข้าใจง่ายไว้ด้านล่างชื่อพี่ ๆ อย่างระมัดระวัง
“เรียบร้อย!”
[1] แส้จามรี หมายถึง แส้ที่ทำจากขนจามรี เชื่อว่าสามารถใช้ปัดเป่าสิ่งชั่วร้าย ขันทีข้างกายฮ่องเต้มักถือติดมือไว้ตลอด