ตอนที่ 45 คำสารภาพ

ตอนที่ 45 คำสารภาพ

หลินเซี่ยรู้สึกอยากรู้อยากเห็นมาก เฉินเจียเหอเคยพบเธอที่ไหน แล้วทำไมเขาถึงอยากแต่งงานกับเธออย่างหุนหันพลันแล่นแบบนี้?”

“ผมเคยเห็นคุณหลายครั้ง และทุกครั้งผมก็รู้สึกประทับใจเสมอ”

เฉินเจียเหอมองเธอพลางถามคำเบา “คุณยังจำคืนนั้นเมื่อสองปีที่แล้วในช่วงฤดูร้าน ตอนที่คุณทำวิกหายได้หรือเปล่า?”

หลินเซี่ย “???”

เฉินเจียเหอพูดในขณะที่เขาหันกลับ หยิบกระเป๋าจากด้านในตู้ หลังจากเปิดซิปกระเป๋า เขาก็ดึงวิกผมแอฟโฟรออกมา

มันค่อนข้างคล้ายกับวิกที่อยู่ในกระเป๋าของหลินเซี่ย

หลินเซี่ยมองดูของในมือเขาและรู้สึกว่ามันช่างคุ้นเคย เธอจึงพยายามค้นหาจากความทรงจำของเธออย่างหนัก

ท้ายที่สุดนี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อตอนที่เธอยังเป็นเด็ก และเป็นเหตุการณ์จากชีวิตก่อน

หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เธอมองเฉินเจียเหอและถามด้วยความประหลาดใจ “ฉันจำได้ว่าถูกคนนิสัยเสียแย่งไป ทำไมมันถึงมาอยู่ในมือคุณล่ะ?”

เฉินเจียเหอถือวิกขึ้นมาปิดริมฝีปากด้วยความเขินอายและกระแอมเบา ๆ

หลินเซี่ยเหลือบมองสีหน้าไม่สบายใจของเขาแล้วเลิกคิ้วถามว่า “อย่าบอกนะว่าคุณคือคนที่ขโมยวิกฉันไป?”

ในเวลานั้น บุคคลปริศนาสวมหมวกปากเป็ด แต่งกายด้วยชุดสีดำล้วน และรีบวิ่งผ่านเธอไปราวกับลมกระโชกแรง จากนั้นวิกผมบนศีรษะของเธอก็หลุดหายไป และเธอก็ไม่ได้เห็นชัดเจนว่าเขาหน้าตาเป็นอย่างไร

“ครับ” เฉินเจียเหอตอบกลับเงียบงัน “ผมเป็นคนนิสัยเสียที่คุณพูดถึง”

“ทำไมคุณถึงขโมยวิกผมของฉันไปล่ะ?” หลินเซี่ยมองเขาอย่างสงสัย

นี่มันแปลกประหลาดเกินไปแล้ว

เฉินเจียเหอวางวิกผมลงแล้วอธิบายด้วยสีหน้าจริงจัง

“ตอนนั้นผมถูกติดตามขณะถือเอกสารทางเทคนิคที่เป็นสุดยอดความลับ ผมบังเอิญเห็นคุณถือวิกอยู่บนถนน ผมไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องกระทำการโดยพลการ หากไม่ใช่เพราะวิกผมของคุณที่ช่วยผมไว้ วันนั้นผมอาจหลบหนีไม่พ้น และเอกสารอาจถูกชิงไป”

เขายังคงจดจำฉากตอนที่เห็นเธออยู่บนถนนในวันนั้นได้

หญิงสาวร่างสูงมีเสน่ห์หน้าตาสดใส สวมชุดสีชมพู กำลังถือวิกผมอยู่ในมือ ขณะเต้นรำอย่างมีความสุขกลางถนน

ตอนแรกเขาไม่รู้ว่าเธอถืออะไรอยู่ในมือ จนกระทั่งเธอวางมันลงบนศีรษะ แล้วเลียนแบบการเดินของนางแบบอย่างซุกซนราวกับเปลี่ยนร่างเป็นคนละคนในทันที

เขาเกิดความคิดดังกล่าว จึงดึงวิกผมออกจากหัวของเธอและวิ่งหนีไป

จนถึงทุกวันนี้คำพูดของเธอที่ว่า “ไอ้สารเลว เอาวิกผมของฉันคืนมานะ” ยังคงก้องอยู่ในใจของเขา

เขาสวมวิก ถอดเสื้อคลุมออก พลิกกลับเอาด้านในไว้ด้านนอก แล้วมัดไว้รอบเอวเพื่อให้ดูเหมือนกระโปรง แสร้งปลอมเป็นผู้หญิง และสามารถหลบหนีออกไปโดยไม่มีใครสังเกต

หลินเซี่ยได้ยินคำอธิบายของเขาจึงพูดว่า “เป็นแบบนี้นี่เอง”

“ต่อมาผมตามหาคุณอยู่นานเพื่อที่จะคืนวิกผมให้ แต่ก็ไร้ประโยชน์”

เฉินเจียเหอมองเธอและพูดต่อ “การได้เจอคุณอีกครั้งคือเมื่อประมาณหนึ่งปีที่แล้ว เซี่ยตงถูกย้ายกลับไปที่เมืองไห่เฉิง และผมต้องไปเยี่ยมเขาด้วยเหตุผลบางอย่าง จากนั้นผมก็พบคุณที่ลานบ้านของตระกูลเซี่ยโดยบังเอิญ

วันนั้นผมรู้สึกว่ามันง่ายดาย ราวกับว่าผมได้พบบางสิ่งที่มีค่าโดยไม่ได้ค้นหา คุณอยู่ในสนามกำลังตัดผมให้ชายชราจากตระกูลเซี่ย คุณทำผมของเขายุ่งเหยิงจนซ่อมไม่ได้ สุดท้ายก็ต้องโกนหัวเขาให้หมด แถมยังโกนจนติดหนังศีรษะ ทำให้ผู้เฒ่าเซี่ยดุคุณเสียงดังในลานบ้าน”

เฉินเจียเหอนึกถึงเหตุการณ์ที่น่าอับอายของหลินเซี่ย เขาถามด้วยรอยยิ้ม “คุณยังจำได้ไหม?”

หลินเซี่ยก้มหน้าลงขณะรู้สึกเขินอายอย่างมาก

เธอจะจำไม่ได้ได้อย่างไร?

ตอนนั้นเธอเพิ่งเริ่มทำงานเป็นเด็กฝึกงานในร้านตัดผมของรัฐ ฝีมือยังไม่ดี แต่เพราะคันมืออยากลอง จึงหาคนมาฝึกฝีมือ

เมื่อผมของคุณตายาวขึ้น เธอก็โน้มน้าวชายชราว่าจะตัดผมให้ แต่ต่อมาข้อผิดพลาดต่าง ๆ เกิดขึ้น เธอทำผมของเขาเสียโดยไม่ได้ตั้งใจ และไม่มีทางที่จะแก้ไขมันได้ จึงต้องโกนมันออกให้หมด แล้ววันนั้นคุณตาก็แทบทุบตีเธอ

เฉินเจียเหอดันมาเห็นฉากที่น่าอับอายเช่นนี้โดยไม่คาดคิด

เขามองดูหญิงสาวก้มศีรษะลงด้วยความเขินอาย พูดต่อว่า

“ผมอยากเข้าไปช่วยคุณ แต่เซี่ยตงห้ามผมไว้ เขาบอกว่าผู้เฒ่าเซี่ยใส่ใจภาพลักษณ์ของเขามาก หากคนนอกเห็นศีรษะล้านของเขาและหนังศีรษะที่เป็นแผล เขาจะยิ่งโกรธมากขึ้น”

หลินเซี่ยพยักหน้าเห็นด้วย

วันนั้นเมื่อผู้เฒ่าเซี่ยหัวโล้นของเขาในเงาสะท้อนของกระจก สิ่งเดียวที่เขาพูดกับเธอคือ “ขอบคุณพระเจ้า วันนี้ไม่มีใครที่บ้านเห็นหัวล้านของฉัน ไม่อย่างนั้นฉันคงทุบตีเด็กเหลือขออย่างแกแล้ว”

“ผมรู้ว่าคุณเป็นหลานสาวของเซี่ยตง ผมจึงขอให้เขาซื้อวิกผมอันใหม่เพื่อส่งคืนคุณ”

ในตอนนั้น เขาได้ยินจากเซี่ยตงว่าหลานสาวของเขาเก็บเงินมาเป็นเวลานาน และขอให้ใครสักคนซื้อวิกให้ เพื่อที่เธอจะได้ฝึกฝนฝีมือการจัดแต่งทรงผม อย่างไรก็ตาม วิกผมของเธอถูกขโมยไป เธอกลับมาบ้านและต่อว่าโจรคนนั้น โดยขู่ว่าจะทุบตีเขาหากเธอเจอคนสารเลวคนนั้นอีก จากนั้นจะนำไปส่งตำรวจ

เมื่อได้ยินดังนั้น ร่างสูงหนึ่งร้อยแปดสิบสองเซนติเมตรของเขาก็สั่นสะท้าน ก่อนจะล้มเลิกความคิดที่จะคืนวิกให้เธอ

เขาไม่อยากถูกเด็กสาวมองว่าเป็นคนนิสัยไม่ดี

ดังนั้นเขาจึงอธิบายให้เซี่ยตงฟัง และขอให้เซี่ยตงซื้อวิกอีกอันไปมอบให้เธอในนามของเขาเอง

“งั้นวิกผมในกระเป๋าของฉันก็ไม่ใช่ของขวัญจากคุณลุง แต่เป็นคุณที่ซื้อให้ฉันเหรอ?”

“ใช่”

เฉินเจียเหอกล่าวเสริมว่า “ครั้งสุดท้ายที่เราพบกันคือที่งานแต่งงานของเจียซิ่งและเสิ่นเสี่ยวเหมย”

หลินเซี่ยจำได้ว่าเธอพบกับเฉินเจียเหอในงานแต่งของเสิ่นเสี่ยวเหมย “วันนั้นคุณคุยกับฉันและยังส่งเครื่องดื่มให้ฉันด้วย พ่อของฉัน… ไม่สิ ผู้อำนวยการเสิ่นถามฉันตอนที่กลับไปบ้านว่าฉันรู้จักคุณหรือเปล่า เขาบอกว่าปกติคุณไม่ค่อยริเริ่มสนทนากับใคร โดยเฉพาะกับผู้หญิง”

เธอไม่ได้ใส่ใจ เพราะเฉินเจียเหออุ้มหู่จือซึ่งเรียกเขาว่าพ่อทุกครั้ง และหลิวจื้อหมิงก็ยืนอยู่ด้านข้างเธอด้วย การที่เฉินเจียเหอยื่นเครื่องดื่มให้ เธอมองว่ามันเป็นการแสดงมารยาทจากครอบครัวเจ้าบ่าวถึงญาติของเจ้าสาวเท่านั้น

“ด้วยเหตุผลในการทำงาน ผมได้รับมอบหมายให้ไปทำงานต่างประเทศเป็นเวลาหกเดือน เมื่อกลับมา ผมสอบถามเกี่ยวกับคุณจากเซี่ยตงและเรียนรู้ภูมิหลังของคุณ ผมไม่คาดคิดเลยว่าครอบครัวที่แท้จริงของคุณจะอยู่ในหมู่บ้านตระกูลของแม่ ซึ่งเป็นสถานที่ที่ผมเติบโตมา และผมตัดสินใจที่จะกลับมา”

ใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม “ทันทีที่มาถึง ผมก็ได้รู้ว่าคุณจะต้องแต่งงาน”

ตอนแรกที่เขากลับมาหมู่บ้าน เขาไม่ได้ตั้งใจมาเพื่อแต่งงานกับเธอ เขาเพียงรู้สึกว่าเธออาจเผชิญกับความท้าทายและความยากลำบากมากมายในการเปลี่ยนจากอาศัยในเมืองสู่ชนบท เขาต้องการเสนอความช่วยเหลือเท่าที่ทำได้ แต่กลับรู้สึกประหลาดใจเมื่อทราบข่าวว่าเธอกำลังจะแต่งงานกับหวังต้าจ้วง

“หลินเซี่ย ผมแต่งงานกับคุณไม่ใช่เพราะต้องการชดใช้ หรือเพื่อเอารัดเอาเปรียบสถานการณ์ของคนอื่น ในเวลานั้นผมครุ่นคิดถึงวิธีการของตระกูลหลินปฏิบัติต่อคุณ ต่อให้ผมขัดขวางไม่ให้คุณแต่งงานกับหวังต้าจ้วง แต่ในอนาคตก็อาจมีหลี่ต้าจ้วงและหยางต้าจ้วง ผมจึงตัดสินใจแต่งงานกับคุณ และทำให้พวกเขายอมแพ้อย่างสมบูรณ์”

เขามองดูเธอและพูดด้วยน้ำเสียงจริงใจว่า “คุณจะออกไปก็ได้หากต้องการ แต่ผมจะให้คุณออกไปอย่างมีเกียรติที่สุด และจะไม่ยอมให้แม่บีบบังคับคุณออกไป”

หลินเซี่ยมองเขาอย่างว่างเปล่า หลังรับฟังถ้อยคำของเขา อารมณ์อันซับซ้อนท่วมท้นอยู่ในหัวใจเธอ

กลายเป็นว่าในชาติที่แล้วเขาเตรียมใจไว้แล้วว่าเธอจะจากไปหลังจากแต่งงานกัน

หลังจากที่เธอติดตามเสิ่นอวี้อิ๋งและหลิวจื้อหมิง เขาก็ไม่ได้เข้ามาห้ามเธอไว้

แม้ว่าคนอื่นถามในภายหลัง เขาไม่เคยยอมรับการแต่งงานของทั้งคู่ต่อสาธารณะ และกล่าวง่าย ๆ ว่าเป็นเรื่องในหมู่บ้าน

ท้ายที่สุดแล้วก็ไม่มีใบทะเบียนสมรส

แล้วตอนนี้ล่ะ?

ทัศนคติของเขาที่มีต่อเธอ เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ใช่พระอิฐพระปูน

ขณะที่หลินเซี่ยกำลังมึนงง เขาก็เดินเข้ามาใกล้และกล่าวว่า “นี่คือสิ่งที่ผมคิดเมื่อก่อน แต่ตอนนี้… ผมกลายเป็นคนโลภไปแล้ว”

เขาไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อใดที่เขาเริ่มสนใจผู้หญิงคนนี้ซึ่งอายุน้อยกว่าถึงแปดปี

อาจเป็นตอนที่เธอสวมวิกและเต้นรำบนท้องถนน หรือบางทีอาจเป็นเพราะการเดินแบบอันซุกซนของเธอที่ดึงดูดความสนใจของเขา

หรือบางทีมันอาจเป็นวิธีการโกนศีรษะของผู้เฒ่าเซี่ยแบบแปลกประหลาดของเธอที่ฝังลึกอยู่ในใจเขา…

สรุปคือ หัวใจของเขาถูกล่อลวง

เฉินเจียซิ่งต่อว่าเขา โดยบอกว่าเขาไม่ได้คบหาใครมานานหลายปี และไม่ได้พบเจอหญิงงามมากนัก บางทีเด็กคนนั้นอาจพูดถูก

ในตอนแรก เขาชอบเธอเพราะว่าวิกผมของเธอได้ช่วยชีวิตเขาไว้ ดังนั้นเขาจึงคิดจะตอบแทนเธอ

แต่หลังจากใช้เวลาร่วมกันระยะหนึ่ง ความดึงดูดใจเริ่มแรกนั้นก็ค่อย ๆ เป็นรูปธรรมมากขึ้น

เขาต้องการที่จะเก็บเธอไว้

………………………………………………………………………………………………………………………..

สารจากผู้แปล

อ่อ มีที่มาที่ไปอย่างนี้นี่เอง เป็นการพบกันที่แปลกอยู่นะ

ไหหม่า(海馬)