บทที่ 53 – คนชั่วที่เห็นแก่ตัว

 

ความเจ็บปวดเกินกว่าจะบรรยายวิ่งเข้าสู่โสตประสาทของหญิงสาวชื่อเอวาน.. เธออายุเพียง 21 ปี เท่านั้น

ชีวิตที่เธอต้องพบตลอดมานั้นเป็นชีวิตที่ไม่ยาวเท่าไหร่นัก และเป็นชีวิตที่ถูกตัดความสุขทิ้งไปตอนอายุ 15 … ใช่แล้ว ความสุขของเธอมันหมดไปตั้งแต่ตอนนั้น

อาจจะเพราะเลือดที่ถูกดูดออกไป หรือเพราะภาพแห่งความตายกำลังเดินเข้ามาใกล้เธออย่างช้าๆ

ภาพในอดีตมันจึงคอยๆ ฉายย้อนทวนขึ้นมาในสมองของเธอ.. ภาพที่เธออยู่ด้วยกันกับครอบครัวอย่างมีความสุข

ภาพก่อนวินาทีสุดท้ายของเธอกับครอบครัว.. ภาพที่เธอเหลืออยู่ตัวเพียงคนเดียวสิ่งที่เยียวยาจิตใจของเธอมีเพียงอย่างเดียวคือเพื่อนในอินเทอร์เน็ต..

เป็นผู้ชาย.. ที่ปรากฏตัวขึ้นในตอนที่เธอตกต่ำ เขาคนนั้นมาช่วยเหลือเธอจากความเศร้า เป็นที่พึ่งทางใจให้กับเธอ

ไม่ว่าเธอจะบอกว่าเธอกลัวตายขนาดไหน เธอเจ็บปวดขนาดไหน.. ตอนที่ครอบครัวเธอตายเธอกลับโล่งอกที่เธอรอดมาได้คนเดียว

หากเป็นตัวเอกในการ์ตูน หากเป็นใครสักคนก็ได้ที่ไม่ใช่เธอ.. คนพวกนั้นคงจะรู้สึกเสียใจ ร้องห่มร้องไห้

กลายเป็นปมในใจไปจนแก่เฒ่า.. ทว่าเธอกลับไม่ใช่ เธอกลับโล่งอกที่ตัวเองไม่ตาย เธอโล่งอกที่ตัวเองไม่ได้หายไป

ทั้งแบบนั้นเธอยังรู้สึกหวงต่อชีวิตที่แสนไร้ค่าของตัวเอง.. เขาคนนั้นไม่เคยหัวเราะเยาะให้กับความขี้ขลาดของเธอ

เขาคนนั้นไม่เคยสมเพชให้กับเธอ.. สิ่งที่เขามักจะพูดกับเธอเสมอก็คือ..

“ไม่เป็นไรหรอกนะ.. การที่เธอจะกลัวตายมันไม่ใช่เรื่องที่ผิดหรอก ผมเองก็กลัวตาย.. กลับกันผมว่ามันคือเรื่องที่วิเศษออก”

“ไม่เป็นไรหรอกนะ”

คำว่าไม่เป็นไรของเขาคนนั้นคือความสุขของเธอ.. มันคือสิ่งเดียวที่ทำให้เธอไม่ดูถูกตัวเองที่เป็นคนแบบนี้

ไม่เช่นนั้น.. ต่อให้เธอที่กลัวตายถึงขนาดนี้ แต่ถ้าต้องแบกรับเอาความรู้สึกที่ตัวเองดีใจที่ครอบครัวตายแต่ไม่ใช่ตัวเองละก็…

บางทีเธอคงเลือกที่จะผูกคอตายไปตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว ทว่าอย่างที่เคยกล่าวชีวิตของเธอนั้นพึ่งจะเริ่มเข้าสู่จุดที่ตกต่ำที่สุด

เธอหลงรักเข้าแล้ว.. หลงรักบุคคลที่อยู่ในโลกอินเทอร์เน็ตคนนั้น คนที่คอยปลอบเธอ คนที่คอยให้คำแนะนำเธอ

คนที่เคยให้ความสนุกแก่เธอ… เพราะว่าในความจริงแล้วไอ้คนที่อยู่เบื้องหลังนั้นมันก็เป็นพวกหลอกลวงที่มีเหยื่อเป็นผู้ที่ประสบอุบัติเหตุ

ใช่แล้ว.. ในช่วงที่ประตูบอร์เดอร์ปรากฏขึ้นนั้น มันทำให้เกิดความวุ่นวายอยู่ทุกมุมโลกเช่นกัน พวกแก๊งต้มตุ๋นจึงฉวยโอกาสสามารถขโมยข้อมูลในโรงพยาบาลของผู้ประสบปัญหาต่างๆ ได้..

ใช่พวกมันอาศัยช่วงเวลาที่ผู้คนอ่อนแอในการ.. ต้มตุ๋น หลอกลวง.. โดยก่อนที่จะทันได้ตั้งตัวและการหลวมตัวของเอวาน

สาวน้อยผู้ตกอยู่ในความลุ่มหลงแห่งห้วงความรัก.. เธอยังเป็นเพียงแค่เด็กอายุ 15 ที่ไม่เคยได้เผชิญหน้ากับความโหดร้ายของโลกใบนี้

ความรักนั้นผลิบาน.. เธอรักผู้ชายที่ไม่เคยเห็นหน้าจริงๆ คนนี้แบบหัวปักหัวปำ.. ไม่เคยแม้แต่จะเอะใจว่าทำไมมันไม่เคยจะยอมมาเดทกับเธอเลย

เงินทองไม่มีเธอก็หายืมมาให้.. ยืมจากรัฐบาลในช่วงภัยพิบัติ.. ยืมจากองค์กรบอร์เดอร์ไลน์ที่ช่วยเหลือผู้ตกทุกข์..

ยืมทุกอย่าง.. แม้จะเป็นแค่เด็กทว่าเธอเหลือตัวคนเดียว แม้จะมีญาติแต่พวกญาติเธอก็ประสบปัญหาเช่นเดียวกัน

ดังนั้นการกู้ยืมเงินจึงเป็นเรื่องที่ไม่ยากสำหรับเด็กในเวลานั้น.. ใช่ จนไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่หนี้ของเธอก็ท่วมหัว

ผู้ชายในฝันของเธอก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย.. เธอได้แต่ก้มมองหน้าจอมือถืออย่างว่างเปล่าในแชทที่ผู้ชายที่เธอรักไม่ตอบมาแล้วประมาณหนึ่งเดือน

ในวินาทีนั้น.. วินาทีนั้นเธอถึงได้เข้าใจว่าตนเองถูกหลอกลวงแล้ว เธอทำได้เพียงแต่หัวเราะไปพร้อมกับน้ำตาที่ไหลรินออกมา

ทว่านั่นไม่ใช่จุดต่ำสุดที่เธอจะเป็นได้.. เพราะเมื่อเวลาผ่านไปเธอพยายามหางานพาร์ทไทม์ทำเพื่อเลี้ยงชีพเพราะยังไม่บรรลุนิติภาวะ

ทางเจ้าหนี้ก็ไม่ได้เข้มงวดเพราะเป็นหนี้ถูกกฎหมาย.. เธอก็ได้หลงเข้าไปในงานต้มตุ๋นเช่นกัน… ใช่ เช่นเดียวกับที่เธอโดนใครสักคนหลอก

ทว่าตอนนี้เธอกลับกลายมาเป็นคนต้มตุ๋นเสียเอง.. หลอกขายของ ทว่าศีลธรรมในใจเธอมันเริ่มบิดเบี้ยว แม้จะรู้สึกผิด

แม้จะเศร้าใจ.. แต่ทว่าถ้าเพื่อมีชีวิตอยู่เธอก็พร้อมจะหลอกลวง ต้มตุ๋นคนอื่น ทว่า.. เธอก็ดันก้าวพลาดไปต้มตุ๋นกับคนมีตังค์เข้า

สุดท้ายก็ถูกฟ้อง จับสูญเสียงานแถมเป็นหนี้สินไปอีกหลายทบ.. ยังดีที่ยังเป็นเยาวชนที่ไม่บรรลุนิติภาวะเลยรอดพ้นจากการติดคุกมาได้

แต่ทุกอย่างยังคงดำเนินต่อไป ยิ่งใช้ชีวิต ยิ่งมีแต่หนี้.. ทว่าพอเข้าองค์กรบอร์เดอร์ไลน์มาสุดท้ายก็ได้ทำงานเงินดี

แต่ก็เป็นงานที่..ชั่วโฉด..

“แต่ว่า…เธอจะพูดอะไรได้?”

“เธอมันบิดเบี้ยวมาตั้งแต่แรกแล้ว”

“เธอมันก็แค่คนเห็นแก่ตัวมาตั้งแต่แรกแล้ว”

“ทำไมถึงยังหน้าด้านมีชีวิตอยู่ต่อนะ”

“ไอ้การที่เธอโดนหลอกลวง เป็นหนี้.. มันคงเป็นบาปกรรมที่เธอต้องชดใช้ที่ปล่อยให้ครอบครัวตายไม่พอตัวเองยังมากระโดดโลดเต้นในโลกนี้”

“แถมยังเออออไปมีความรัก..”

“เธอมันก็แค่คนเห็นแก่ตัวเท่านั้น.. กะอีแค่งานชั่ว ตัวเธอมันชั่วกว่านั้นอีกไม่ใช่หรือยังไง จะมาเสียใจอะไรเอาป่านนี้ คนอย่างเธอน่ะมัน….”

“คนอย่างเธอน่ะมันสมควรตายไปตั้งนานแล้ว”

เสียงอันเย็นชานั้นดังขึ้นในจิตใจอันบอบบางของสาวน้อย ภาพตรงหน้าของเอวานพร่ามัวลงเพราะอาการเสียเลือด

แต่ไม่รู้ว่าเป็นภาพที่ก่อนตายอีกเหมือนกันหรือเปล่าเพราะตรงหน้าของเธอ มีร่างของตัวเองที่เป็นเด็กยืนอยู่

เธอมีบาดแผลเต็มตัวเพราะถูกลูกหลงจากประตูบอร์เดอร์ ตุ๊กตากระต่ายสีฟ้าที่ขาดวิ่นนี้ แม้จะขึ้นมัธยมแล้วเธอก็ยังไม่เคยเลิกกอด

“ใช่แล้ว.. คนอย่างฉันน่ะมัน…”

ทุกอย่างมันคงเป็นบทลงโทษ.. บทลงโทษของคนแบบเธอ บาปกรรมของคนเห็นแก่ตัว อันที่จริงเรื่องนี้เธอรู้แต่แรกอยู่แล้ว

เธอเพียงแค่ไม่ได้พูดมันออกมาหรือคิดมัน.. เธอเพียงเก็บมันไว้ในสวนลึกของจิตใจ ลึกลงไปนั้น เสียงที่ดังก้องขึ้นก่อนชั่ววินาทีจะตายนี้เป็นเพียงแค่ความคิด

ความคิดของเธอเอง.. เธอมันก็แค่คนเห็นแก่ตัว

ร่างของเอวานค่อยๆ ล้มลงไปข้างหน้า.. หน้าของเธอฟาดลงกับพื้นอย่างรุนแรงแต่เธอกลับไม่รู้สึกอะไรอีกแล้ว

ดวงตาของเธอเริ่มไร้แสงอย่างช้าๆ ร่างกายเริ่มขาดเลือด….

รินนะค่อยๆ ถอนฟันนออกจากคอของสาวน้อยแล้วก็ลุกขึ้นอย่างช้าๆ ดวงตาของเธอมองไปที่เอวานด้วยสายตาที่ซับซ้อน

ร่างกายที่แห้งเหี่ยวขาดเลือดกลับมาเหมือนเดิม อาภรณ์โลหิตถูกสวมกลับมาใส่ร่างกายของรินนะ

ดวงตาที่ใกล้ตายของเอวานเงยมองหน้ารินนะ.. นี่เป็นครั้งแรกที่เธอมองอีกฝ่ายด้วยสายตาที่มองจริงๆ ไม่ได้เกิดจากความหวาดกลัว

เพราะเธอจะตายแล้ว… จะมีอะไรให้กลัวอีกล่ะ ร่างกายด้านชาไปหมดต่อให้ถูกหั่นแขนหั่นขาเธอคงไม่รู้สึกอะไรอีกแล้วล่ะ..

รินนะหันหลังให้กำลังจะจากไปแต่ทว่าก็หยุดชะงักลง…

“เธอ….”

เธอเหมือนจะเรียกเอวาน แต่ก็ส่ายหน้า

“พี่เอวาน.. พี่ไม่ใช่คนชั่วหรอกนะ ฉันว่าพี่เหมาะกับรอยยิ้มมากกว่า คุณกระต่ายฟ้าของพี่เองก็คงจะต้องการแบบนั้นเหมือนกัน”

ภาพของสาวน้อยก่อน ‘เหตุการณ์นั้น’ จะเกิดขึ้น.. เป็นภาพที่สาวน้อยที่ร่าเริงขยันพูด เป็นมิตรกับทุกคน กระต่ายฟ้าคือเพื่อนคนแรกของสาวน้อย เธอยิ้มหัวเราะร้องเล่นกับตุ๊กตาตัวน้อยเหมือนเด็กทั่วไป
 

เธอได้ใช้ชีวิตในฐานะ ..เด็ก.. คนหนึ่งอย่างแท้จริง ทว่าเมื่อเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้น.. สาวน้อยก็แทบจะกลายเป็นคนละคนไปโดยสิ้นเชิง–
 

“ฉันไม่มีสิทธิ์ไปตัดสินชีวิตของพี่ก็จริง… แต่ฉันว่า… พี่ไม่ได้ขี้ขลาดหรอกนะ พี่น่ะแข็งแกร่งมาก แข็งแกร่งกว่าฉันด้วยซ้ำ”

ใช่.. รินนะไม่ได้พูดต่อแต่สิ่งที่เธอคิดก็คือ ‘หากฉันเป็นพี่ในตอนนั้น แทนที่จะตามหาเงินใช้หนี้ ฉันคงเลือกที่จะโทษคนที่มาหลอกตัวเองมากกว่าด้วยซ้ำ’

‘บางที ฉันคงเลือกที่จะตามฆ่ามันแทนที่จะใช้หนี้’

แน่นอน.. ความตายของครอบครัวบางคนอาจจะเศร้า บางคนอาจจะลุกขึ้นยืนไม่ได้ แต่การที่โล่งอกที่ตัวเองไม่ตายมันไม่ผิดเลย

ไม่มีใครผิด ไม่มีใครถูก.. เพราะมันก็เป็นหนึ่งในความรู้สึกที่หลากหลายของความรู้สึกทั้งหมดเธอเท่านั้น

ความรู้สึกเศร้าที่ครอบครัวตายของเอวาน.. รินนะสัมผัสได้จากเลือดที่ไหลเข้ามา ความทรงจำที่ไหลเข้ามา.. มันหนักหน่วงไม่ต่างจากเธอที่สูญเสียน้องชายและพ่อไปเลย..

บางที.. คนที่อยู่ใกล้ความตาย ใกล้การฆ่าตัวตายมากที่สุดก็คงเป็นเอวานที่กลัวความตายที่สุด รินนะเชื่อว่าหากไม่ใช่เพราะหนี้ที่ต้องจ่าย

คนคนนี้ก็คง……..

รินนะเงียบลงไป…

“ไม่ต้องเป็นห่วงนะพี่.. พี่จะต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป”