บทที่ 54 – แวมพีร์

 

แวมไพร์… แวมไพร์คือผีดูดเลือดที่มีตำนานต่างๆ มากมายกล่าวถึง บ้างก็ว่ากลัวแสงแดด บ้างก็ว่าดูดเลือดเพื่อมีชีวิตอยู่

บ้างก็ว่าหากดูดเลือดใครแล้ว.. คนนั้นก็จะกลายเป็นแวมไพร์ เรื่องเล่าต่างๆ ที่เกี่ยวกับแวมไพร์นั้นแพร่กระจายไปทั่วหลายพื้นที่

เป็นทั้งเรื่องเล่าพื้นเมือง หนัง นิยาย การ์ตูน.. ต่างก็หยิบยกมาใช้จนเห็นกันเกลื่อนเต็มท้องตลาด.. แน่นอนว่าในโลกใบนี้ไม่มีผีดูดเลือดแวมไพร์อยู่จริง

แต่ทว่าอีกโลก.. ด้านหลังของประตูบอร์เดอร์นั่นก็คนละเรื่อง แน่นอนว่าไม่มีใครรู้ว่าแวมไพร์นั้นมีมาตั้งแต่แรกหรือเกิดขึ้นหลังจากเรื่องเล่า

แต่จะไม่ว่าแบบไหนก็ล้วนไม่สำคัญ เพราะว่ามันมีอยู่จริงๆ.. ปีศาจที่ได้กินเลือดจะยิ่งทรงพลังมากขึ้นอย่างแวมไพร์นั่นน่ะ

แต่ทว่ามันไม่ได้เหมือนในหนังหรือในการ์ตูนขนาดนั้น.. เพราะแวมไพร์ไม่ใช่สิ่งมีชีวิตที่แค่ดูดเลือดก็จะเปลี่ยนคนธรรมดาให้กลายเป็นแวมไพร์ได้

สำหรับแวมไพร์นั้น พวกมันนับเป็นอมนุษย์หรืออาจินนั่นแหละ มันคือสัตว์ประหลาดอยู่ตรงกันข้ามกับมนุษย์

แต่นั่นก็ไม่ได้แปลว่าพวกเขาคือปีศาจที่ชั่วร้าย พวกเขานั้นวิวัฒนาการมาจนถึงขั้นมีความนึกคิด เลือกกินเหมือนมนุษย์ทุกอย่าง

จะต่างกันอย่างเดียวก็คงเป็น.. มนุษย์นั้นกินสัตว์ทุกชนิดบนโลก ทว่าแวมไพร์กินแค่สัตว์ชนิดเดียวนั่นก็คือมนุษย์

การกินเลือดของแวมไพร์นั้นไม่ได้ง่ายอย่างแค่การดูดเอาเลือดที่คอ.. การดูดเลือดแบบนั้นมันคือวิธีพิเศษ

เดิมทีการที่บอกว่าแวมไพร์ต้องการเลือดมนุษย์นั้นมันก็ไม่ถูกซะทีเดียว.. เพียงแค่ในร่างมนุษย์ เลือดนั้นคือสิ่งที่ใกล้เคียงกับต้นกำเนิดของพลังชีวิตอันมหาศาลของมนุษย์มากกว่า

ใช่ สิ่งที่ผีดูดเลือดหรือแวมไพร์ต้องการนั้นเป็น ‘พลังชีวิต’ ต่างหาก แน่นอนว่าแวมไพร์นั้นมีทั้งร่างกาย หรือพลังที่สูงกว่ามนุษย์แทบทุกด้าน

แต่ว่าพวกมันนั้นอายุค่อนข้างสั้น.. ไม่สิ แทนที่จะบอกว่าอายุค่อนข้างสั้นต้องบอกว่าอายุสั้นเลยจะดีกว่า แวมไพร์บางตัวมีอายุแค่หลักไม่ถึง 10 ปีด้วยซ้ำ

แต่ที่บางตัวอายุร้อยปีได้นั้น.. เพราะพวกมันกลืนกินชีวิตของสิ่งอื่น.. ใช่ แวมไพร์ต้องการพลังชีวิตจากสิ่งมีชีวิตอื่นนั่นเอง

พูดให้เห็นภาพเลยก็คืออายุขัย แต่ทว่าพลังชีวิตนั้นไม่ใช่สิ่งที่สามารถเห็นได้แค่การมอง เพราะมันคือพลังงานที่มองไม่เห็น

พลังชีวิตสำหรับเหล่าแวมไพร์ก็คือพลังในการต้านทานหรือภูมิคุ้มกันต่อการเพิ่มขึ้นของ เอนโทรปี่ นั่นแหละ และมนุษย์ก็เป็นหนึ่งในสิ่งมีชีวิตไม่กี่ชนิดที่สามารถต่อต้านการเพิ่มขึ้นของเอนโทรปี่ได้ดีกว่าแวมไพร์หลายเท่า

แวมไพร์นั้นคือสิ่งมีชีวิตที่มีความต้านทานต่อการเพิ่มขึ้นของเอนโทรปี่ที่ต่ำมาก ต่ำจนน่าเหลือเชื่อ ว่ากันว่าหากไม่กินเลือดของสิ่งมีชีวิต

พวกเขาอาจจะอยู่ได้ไม่ถึง 10 ปีด้วยซ้ำ.. ซึ่งมองอาจจะดูว่ามันก็เยอะหากเทียบกับสัตว์ชนิดอื่น แต่ทว่าหากพิจารณาจากร่างกายและความฉลาดของพวกเขาแล้ว

ร่างกายพวกเขาที่ใหญ่ควรจะสามารถผลิตพลังงานมาให้ได้มากพอเหมือนมนุษย์สิ แต่พวกเขาทำแบบนั้นไม่ได้นั่นเอง

แวมไพร์ไม่สามารถรับพลังงานจากภายนอกได้นอกจากสิ่งมีชีวิตอื่นด้วยกันเอง จะพูดให้ถูกก็คือความสามารถในการต้านทานการเพิ่มขึ้นของเอนโทรปี่ต่ำมากนั่นแหละ

แน่นอนว่าอาจจะเพราะเหตุนี้เองแวมไพร์ถึงกลัวแสงแดด อ่อนแอต่อความร้อน.. เพราะคุณสมบัติของความร้อนคือส่วนที่ทำให้การเพิ่มขึ้นของเอนโทรปี่มีมากขึ้น

การที่จะเห็นแวมไพร์ถูกแสงแดดสาดเผาจนสลายกลายเป็นไอ.. มันจึงไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นได้แค่ในหนังเท่านั้น

แต่ว่าแวมไพร์ก็ไม่ได้อ่อนแอขนาดแค่ออกมาโดนแดดก็จะตาย.. อย่างแรกเพราะพวกเขายังมีพลังฟื้นฟูที่ผิดกับความอ่อนแอด้านการเพิ่มขึ้นของเอนโทรปี่

อย่างที่สองหากพวกเขากินเลือดมนุษย์.. พวกเขาจะสามารถต้านทานการเพิ่มขึ้นของเอนโทรปี่ได้ เพราะมนุษย์นั้นมีภูมิต้านทานค่อนข้างเยอะนั่นเอง

กล่าวคือแค่กินเลือดมนุษย์เข้าไปก็สามารถต้านทานได้เยอะแล้วนั่นแหละ แน่นอนว่าเมื่อต้องการพลังชีวิตที่ว่าก็ต้องเอามันมา

แต่ของแบบนั้นมันไม่ใช่สิ่งที่จะสามารถแย่งได้โดยแค่บอกว่าจะเอา เพราะมันคือสิ่งที่จับต้องไม่ได้

การแค่ดื่มเลือดมันไม่เพียงพอต่อการเพิ่มพลังชีวิตให้แวมไพร์ตาย เพราะพวกเขาต้องการพลังชีวิตไม่ใช่เลือด

ดังนั้นเพื่อจะช่วงชิงพลังชีวิตให้เป็นของตัวเองโดยสมบูรณ์ การฆ่าอีกฝ่ายตัดต้นตอของชีวิตแล้วกินเลือด

มันถึงจะกลายเป็นการดูดกลืนพลังชีวิตมาทั้งหมดอย่างแท้จริงนั่นเอง.. นั่นจะทำให้แวมไพร์อายุยืนขึ้น มีพลังงานมากขึ้น แถมหากกินไปคนเดียวก็จะได้อายุเทียบเท่ากับมนุษย์คนนั้นมาเลยถือว่าเป็นการกินครั้งเดียวก็อยู่ได้เป็นร้อยปี หากมนุษย์คนนั้นอายุยืนละนะ..

แล้วหากดูดเลือดแบบไม่ฆ่าล่ะ? … ตรงนี้แหละเป็นปัญหา การดูดเลือดแบบไม่ฆ่าต้องใช้เคี้ยวที่เป็นของหลงเหลือจากการวิวัฒนาการนั้น

อย่างที่บอก แวมไพร์ก็คือสัตว์ประหลาดที่น้ำลายของแวมไพร์นั้นมีเชื้อของเหล่าแวมไพร์อยู่ด้วย แน่นอนว่าเชื้อที่ว่านี่ไม่ใช่การหากคนถูกกัดแล้วคนนั้นจะกลายเป็นแวมไพร์แต่อย่างใด

เพราะไม่งั้นแวมไพร์คงไม่ต้องมีการสืบพันธุ์กันแล้วล่ะ.. แต่ว่าหากมนุษย์โดนมนุษย์นั้นจะติดเชื้อแวมไพร์ และพวกเขาจะกลายเป็นสัตว์ประหลาด

สัตว์ประหลาดที่มีชื่อว่า ‘แวมพีร์’ ขึ้นมา.. ซึ่งเป็นบริวารของแวมไพร์ที่แท้จริง.. มันไม่ใช่แวมไพร์ อ่อนแอกว่าแวมไพร์มาก แถมข้อเสียมันเยอะเกินไปจนแม้แต่เหล่าแวมไพร์ยังไม่คิดจะทำ

เพราะการดูดเลือดแบบนี้มันเพิ่มพลังงานแค่นิดหน่อย ยืดอายุขัยก็ไม่ได้ด้วย แถมหากอีกฝ่ายกลายเป็นแวมพีร์

ชีวิตอีกฝ่ายจะถูกผูกพันธะเข้ากับแวมไพร์ผู้สร้างบริวาร.. ทำให้บริวารนั้นอาศัยพลังงานจากร่างต้นที่สร้าง

และเหนือสิ่งอื่นใด.. สิ่งที่แวมไพร์ไม่ชอบเลย เมื่อสร้างบริวารแวมพีร์ขึ้นมา แวมไพร์จะได้รับเจตจำนง ความคิด ความทรงจำของผู้ที่เป็นบริวารมาอย่างเลี่ยงไม่ได้

เพราะ.. หากไม่ฆ่าแถมทำให้อีกฝ่ายติดเชื้อมันก็เหมือนกับการผูกพันธะชีวิตที่เหมือนกับมีปรสิตมาเกาะชีวิตของแวมไพร์

และแวมไพร์ที่ดูถูกมนุษย์นั้นก็ยิ่งแล้วใหญ่ที่คิดจะสร้างแวมพีร์.. แถมความแข็งแกร่งของมันก็เพิ่มจากเดิมนิดเดียวสู้อะไรก็ไม่ได้

เรียกได้ว่าคือเสียทุกอย่าง.. สำหรับแวมไพร์มนุษย์ก็คืออาหาร เหมือนที่มนุษย์ฆ่าสัตว์แล้วกิน แวมไพร์เองก็เช่นกัน

แทนที่จะเล่นกับอาหาร.. พวกเขาเลือกที่จะฆ่าแล้วกินมากกว่า

พันธสัญญานี้เหล่าแวมไพร์จึงเรียกมันว่า ‘พันธะต้องห้าม’

และแน่นอนว่าใช่ รินนะในตอนนี้ได้รับอิทธิพลจากความรู้สึก ความนึกคิดของเอวานมาเต็มๆ เอาเข้าจริงตัวตนของเธอในตอนนี้ไม่ต่างจากเอวานเลย

ราวกับเป็นคนคนเดียวกันด้วยซ้ำ… รินนะที่ออกมาจากจุดนั้นเธอก็กุมหัว รู้สึกปวดหัวเล็กน้อยเพราะเห็นความทรงจำของเอวาน

เอวานอาจจะไม่รู้ตัว แต่ตอนนี้คนที่เข้าใจเธอที่สุดในโลกก็คือรินนะนี่แหละ.. รินนะที่เห็นความทรงจำของเอวานเธอก็คงเลือกที่จะฆ่าอีกฝ่ายเพื่อกลายเป็นอาหารสำเร็จรูปไม่ได้ รินนะในตอนนี้จึงสับสนยิ่งกว่าใคร

แถมยัง….

“ความทรงจำของพี่เอวาน.. มันแปลกๆ…”

เธอพึมพำกับตัวเอง พยายามนึกย้อนไปก่อนเกิดเหตุการณ์ที่ทำให้ครอบครัวเอวานตาย.. ในช่วงนั้นมันมีความทรงจำที่เอวานเป็นเด็กสาวชอบเล่นกับตุ๊กตา

กับมีอีกภาพหนึ่งที่พร่าเลือนและแตกออกมาจากความทรงจำเหล่านั้น.. มันคือ ภาพที่ทุกอย่างกำลังลุกไหม้

ปราสาทด้านหน้าของเธอพังถล่มเพราะมีสัตว์ประหลาดมีปีกบินถล่ม ร่างของเอวานถูกผลักลงทะเลด้วยคนที่ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้

“เอลิซาเบธ… แม่… ขอโทษ”

เสียงที่เบาบางจนแทบไม่ได้ยินนั้นดังในหัวของรินนะ เธอดึงสติตัวเองกลับมา.. รินนะขมวดคิ้วแน่น

“ทำไม…พี่เอวาน… ถึงมีช่วงเวลาตอนเป็นเด็กถึงสองแบบ…!”

…………

……..

…..

เอวานค่อยๆ ลืมตาขึ้นจากเสียงปลุกของใครก็ไม่รู้

“ตื่นได้แล้ว เฮ้ย นี่มันเวรของเธอนะเอวาน ตื่นสิเฮ้ย”

ดวงตาของเธอเปิดขึ้นด้วยความตกใจ พร้อมกับจับที่คอของตัวเองด้วยความสับสน เธอรีบมองแผลที่คอเลือดที่กระฉูดด้วยความกระวนกระวาย

ทว่า..แผลตรงนั้นกลับ… ไม่มีแล้ว คนที่อยู่ตรงกันข้ามกับเอวานคือหัวหน้าฝ่ายที่เป็นคนสั่งงานให้กับเธอ

“ตื่นสักทีนะ ไปนอนแอบอู้อยู่ด้านนอกนี่โชคดีนะหล่อนไม่โดนสัตว์ประหลาดคาบไปแดกเข้าน่ะ”

หัวหน้าเธอกล่าวแขวะเบาๆ

“งานของเธอคือไปดูแลของพิเศษจากหัวหน้าหน่วยอีกาดำ เห็นว่าเขานำของที่บอสต้องการมาได้แล้ว ถึงจะไม่รู้ว่าเป็นอะไรแต่ที่ฉันให้เธอทำนี่เพราะมั่นใจในฝีมือ”

“รีบลุกแล้วไปทำงานได้แล้ว”

เขาพูดแค่นั้นแล้วจากไปโดยทันที โดยไม่สนใจด้วยซ้ำว่าเอวานพึ่งตื่นหรือสะลึมสะลืออยู่หรือเปล่า

อันที่จริงคนที่ไปเจอเอวานนอนหลับอยู่ตรงนั้นก็คือเขา.. แล้วเขาก็เป็นคนลากยัยนี่กลับมาซึ่งมันเหนื่อยมาก

ถึงแถวนั้นจะมีเลือดสาดกระจายอยู่ก็เหอะ แต่ดูแล้วไม่ใช่เลือดยัยนี่เขาก็ไม่ได้สนใจอะไรอีก เขามีหน้าที่แค่สั่งงานเท่านั้น

เอวานที่ใช้ความคิดอย่างรวดเร็วอยู่นั้น.. ในที่สุดเธอก็ถอนหายใจออกมา

“อะไรกัน.. ฝันหรอกเหรอ”

เพราะไม่มีแผลหลงเหลืออยู่แล้วทำให้เธอได้แต่คิดว่ามันเป็นฝัน.. เธอถอนหายใจพร้อมกับลุกออกจากเตียงรีบเดินไปทำงานตามที่อีกฝ่ายสั่ง

ที่นี่คือตลาดมืด มันไม่ต่างจากบริษัทมืดที่หนีไม่ได้ ยิ่งทำงานเร็วยิ่งได้ผลตอบแทนดี ไม่ว่าจะฝันเจออะไรมา

แต่งานก็คืองาน เอวานวิ่งผ่านกระจกหน้าต่างก่อนจะหยุดชะงักลง… เธอถอยกลับมามองหน้าต่างพร้อมเหงื่อที่เริ่มไหล

คนที่อยู่ด้านในกระจกตอนนี้.. มีเคี้ยวยื่นออกมาจากปากนิดหน่อยสองข้าง.. ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยดำก็เริ่มแดงเลือดชัดเจน

และปลายผมตอนนี้ก็เหมือนจะกลายเป็นสีแดงไปหน่อยๆ แล้ว..

ซึ่งภาพนี้มันเหมือนกับ… เหมือนกับคนในฝัน.. ปีศาจสีเลือด

“ไม่ใช่…ฝัน!?”