ตั้งแต่ที่เจ้าเต่าย้ายมาอยู่ที่สถาบันก็ผ่านมาได้แล้วสัปดาห์หนึ่ง
ชั้นมองออกไปด้านนอกหน้าต่าง พ่นลมหายใจที่เย็นยะเยือก
ด้านนอกเป็นเป็นทิวทัศน์สีขาวกว้างสุดลูกหูลูกตา ฤดูหนาวได้มาถึงแล้ว หิมะที่ตกทับถมกันเปลี่ยนพื้นที่ให้กลายเป็นดั่งทุ่งน้ำแข็ง
ถ้าอุณหภูมิต่ำเกินไปเจ้าเต่าอาจจะช็อกตายก็ได้ ชั้นเลยสร้างบาเรียล้อมรอบบ่อของมันไว้เพื่อปรับอุณหภูมิ
แต่เพราะเป็นบาเรียปรับอุณหภูมิที่สะดวกสะบายแบบนั้น เลยอยู่ได้แค่วันเดียว
ต้องมาร่ายบาเรียใหม่ทุกวันนี่ยุ่งยากจังแฮะ
พูดถึงฤดูหนาวแล้ว นี่เป็นฤดูที่ผู้คนในโลกนี้ไม่ค่อยชอบกันนัก
ต่างจากโลกสมัยใหม่ที่มีเทคโนโลยีทุกอย่างพร้อม ฤดูหนาวในโลกนี้ฆ่าคนตายได้เลย
เพราะปลูกอะไรก็ไม่ขึ้นในฤดูหนาว หากไม่มีการเตรียมเสบียงตุนไว้ให้ดีๆ ก็จะอดอยากตาย
ตามปกติแล้วในช่วงหน้าหนาวอย่างนี้ ผู้คนจะไปออรวมกันรอบกองไฟ คุยกัน ไม่ก็ทำของกระจุกกระจิก
แต่เพราะอะไรบางอย่าง อากาศหนาวแบบนี้แท้ๆ กลับยังมีงานเทศกาลเจี๊ยวจ๊าวกันอยู่ด้านนอก
พวกเด็กๆเล่นปาหิมะใส่กัน ส่วนพวกผู้ใหญ่ก็ยืนกินมันฝรั่งเสียบไม้ย่างดูอยู่ข้างๆ
“ท่านเอลริสคะ ได้เวลาขบวนแห่มาถึงแล้วค่ะ”
ได้ยินเลย์ล่าพูดอย่างนั้น ชั้นก็หันไปมองด้านนอกอีกรอบ
ที่นี่ไม่ใช่สถาบันฝึกฝนอัศวิน แต่เป็นเมืองหลวงของราชอาณาจักรบิลเบอรี่
ตอนนี้ชั้นอยู่ในปราสาท
เมืองหลวงอยู่ห่างจากสถาบันประมาณสิบกิโลเมตร เดินทางด้วยรถม้าก็จะใช้เวลาสักชั่วโมงนึง
ทำไมไปอยู่ซะตรงนั้นล่ะ? ไปอยู่ในตัวเมืองไม่ดีกว่าเหรอ?
จะเห็นได้บ่อยๆในพวกแฟนตาซีเซตติ้งน่ะนะ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะสร้างสถาบันแยกจากตัวเมืองทำไม
ถ้าเทียบกับในยุคปัจจุบัน ก็คงเทียบได้กับพวกโรงเรียนบนเขา
ถ้าพูดไปแล้ว จะโลกนี้หรือโลกนั้นก็เลือกที่ตั้งโรงเรียนได้แปลกเหมือนกันเลยแฮะ
เคยเห็นในสารคดีเหมือนกัน พวกโรงเรียนที่แค่จะไปก็ต้องข้ามแม่น้ำด้วยสะพานผุๆที่ไม่มีที่กั้น เดินขึ้นเขาทีใช้เวลาเป็นชั่วโมงๆ…เรียกได้ว่าต้องเอาชีวิตไปเสี่ยงกับการไปโรงเรียนแต่ละที
ถ้าเทียบกับแบบนั้น… สถาบันอัศวินนี่นี่ถือว่า่โชคดีแล้วมั้ง
ถ้าจะพูดถึงเหตุผลล่ะก็…เพราะว่าในสถาบันน่ะมีปีศาจถูกขังอยู่ไงล่ะ เอาไว้ให้นักเรียนใช้ฝึกซ้อมสู้
ถึงจะโดนขังไว้ดีแค่ไหนหรืออ่อนแอยังไง เกิดมันหลุดเข้าไปในตัวเมืองได้ล่ะยุ่งเลย
แล้วก็สถาบันเป็นตัวล่อพวกสมุนของแม่มดได้อย่างดีเลย…
อัศวินเป็นตัวเกะกะสำหรับพวกปีศาจนี่นะ จะตกเป็นเป้าโจมตีตอนไหนก็ไม่แปลกหรอก
จะเอาที่เล่อเท้าแบบนี้ไปตั้งไว้กลางเมืองก็คงไม่ได้
จริงๆสำหรับชั้นแล้ว การที่สถาบันอยู่ห่างจากตัวเมืองถือเป็นเรื่องดีนะ
ถ้ามันอยู่นเมืองล่ะก็ แม่มดก็ยิ่งมีที่ให้ซ่อนตัวอยู่เยอะ
เพราะมันไม่มีที่ซ่อนให้เลือกมากนี่แหละ ถึงไปหลบอยู่ที่ชั้นใต้ดิน
อุ๊บส์ เผลอพูดนอกเรื่องซะได้
ก็ตามนั้นแหละ ตอนนี้ชั้นน่ะอยู่ที่เมืองหลวงบิลเบอรี่
เพราะว่าชั้นถูกเชิญมาเป็นแขกของงานเทศกาลนี้น่ะ
งานเทศกาลนี้คือ “เทศกาลวันประสูติของเซนต์” …หรือก็คือวันเกิดชั้นนั่นแหละ
ตามปกติแล้วการที่เซนต์เกิดมาก็จะเป็นวันเดียวกับการมาถึงของแม่มด เลยไม่มีใครเฉลิมฉลองวันแบบนั้นกัน ยกเว้นในยุคของชั้น ไม่รู้ทำไม
ไม่ต้องทำขนาดนี้ก็ได้น่า…ตูเป็นตัวปลอมนาเหวย
มาฉลองวันเกิดให้ของเก๊นี่จะได้อะไรขึ้นมาล่ะ?
ยิ่งดูเกี้ยวที่ถูกเตรียมไว้ให้ก็ยิ่งทำชั้นเหนื่อยใจ
นี่มันศาลเจ้าเคลื่อนที่ชัดๆ แล้วนี่จะให้ตูโดนขนไปโชว์รอบๆเมืองบนนี้เนี่ยนะ?
นี่มันเกมลงทัณฑ์รึไง?
นี่ขนาดยังไม่ได้นั่งยังน่าอายขนาดนี้เลยนะ ปล่อยตูไปได้ป่ะ?
“เชิญขึ้นไปได้เลยครับ ทุกๆคนมาที่นี่เพราะอยากจะพบท่านเอลริสนะครับ”
องครักษ์คนนึงบอกกับชั้นตอนเชิญขึ้นไปนั่ง
ไม่ต้องมาหาก็ได้นะ…ตูขอล่ะ…
วันเกิดชั้นแท้ๆ ทำไมต้องมาทำอะไรน่าอับอายอย่างนี้ด้วยเนี่ย?
นี่จริงๆคือตูโดนเหม็นขี้หน้าอยู่ใช่มั้ย?
แล้วต้องเจออย่างนี้มันทุกปีเลย นี่ความคิดไอ้โง่ที่ไหนเนี่ย?
สุดท้ายชั้นก็ยอมแพ้แล้วขึ้นไปนั่งบนเกี้ยว
บนถนนมีผู้คนเต็มเลย ส่วนใหญ่จะถือมันฝรั่งเสียบไม้กินกัน
ว่าไปแล้ว ในหมู่อัศวินที่รับหน้าที่หามเกี้ยว มีคนนึงที่หน้าตาเหมือนกับไอ้แว่นโรคจิตอยู่ด้วย…คิดไปเองรึเปล่านะ?
ถึงจะเป็นไอ้แว่นโรคจิตก็คงไม่ถึงขนาดดักตีหัวอัศวินแล้วสวมรอยแทนหรอกมั้ง
…ไม่ม้าางง?
ช่างอัศวินคนนั้นไปก่อน ที่ทุกๆคนถือมันฝรั่งกันอยู่…ก็เป็นเพราะว่าชั้นเองแหละ
โลกนี้ไม่มีผลผลิตให้เก็บเกี่ยวในหน้าหนาว ผู้คนเลยขาดแคลนอาหารและล้มตาย
ชั้นเลยหาพืชผลที่สามารถเก็บเป็นเสบียงไว้ได้ จนมาเจอมันฝรั่งนี่แหละ
แต่พวกขุนนางดันเอามันมาใช้เป็นไม้ประดับซะนี่
เอาไปกินสิวะ! อยู่ตรงนี้แล้วไง…เสบียงสำหรับหน้าหนาวน่ะ…
ชั้นเลยบินไปทางใต้เพื่อเอามันฝรั่งกลับมา ปลูกมันด้วยเวทมนตร์และเร่งโตด้วยเวทมนตร์ แล้วก็สอนวิธีปรุงเป็นอาหารให้ผู้คน
มันฝรั่งแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว เดี่ยวนี้ที่ไหนๆก็มีหันหมด
เพราะแบบนั้นคนที่อดอยากตายในหน้าหนาวเลยมีลดลงเยอะเลย วันเกิดชั้นเลยโดนมองเป็นเหมือนเทศกาลมันฝรั่งอะไรแบบนั้น
กลายเป็นว่าผู้คนจะขอบคุณมันฝรั่งในวันเกิดชั้นกันแล้วก็อวยพรให้กันอย่างกันขึ้นปีใหม่ กลายเป็นอีเวนท์มั่วถั่วแบบนี้ขึ้นมา
อะไรเนี่ย เทศกาลมันฝรั่ง+คริสต์มาส+ปีใหม่+ขอบคุณพระเจ้าเรอะ? มันเอามาฟิวชั่วกันแบบนี้ได้ไงหว่า
และเพราะว่ามันอยู่กลางหน้าหนาวเลยมีการแข่งปั้นหิมะกัน ฉะนั้นก็บวกเทศกาลหิมะเข้าไปด้วย
นี่จะกลายเป็นเรื่องตลกไปเล่าให้ลูกหลานฟังแหงๆเลย
“ท่านเซนต์ โปรดอวยพรพวกเราด้วยเถิด”
พวกชาวบ้านพูดอะไรเอาแต่ใจกันมาได้
เอาล่ะ เอาล่ะ… ตามนี้นะ
ชั้นโปรยเวทย์รักษาไปมั่วๆ คนที่โนก็จะหายจากอาการเจ็บป่วย
พวกไพร่ฟ้าหน้าโง่ก็จะรู้สึกพอใจกับอีเรื่องแค่นี้แล้ว
“โอว! ตาของข้า! ตาที่ข้านึกว่าจะไม่มีวันมองเห็นได้อีกแล้ว!!”
“อ๊า! ลูกชายข้าที่พิการทำให้เดินไม่ได้ จู่ๆก็ลุกขึ้นมาได้ด้วยตนเอง!!”
“หัวล้านของข้ากลับมามีเส้นผมอีกครั้ง!”
“ท่านเซนต์ช่างเมตตาอะไรขนาดนี้!!”
เออ ดีใจกันก็ดีละ พอแล้วใช่ป่ะ
เฮ่ออ – ตูล่ะเหนื่อยเด้
รีบๆจบไอ้ขบวนแห่นี่เร็วๆดิ๊…