ตอนที่ 57 เทศกาลวันประสูติของเซนต์(2)

สุดยอดเซนต์ตัวปลอมแห่งยุค

ตั้งแต่ที่เจ้าเต่าย้ายมาอยู่ที่สถาบันก็ผ่านมาได้แล้วสัปดาห์หนึ่ง

ชั้นมองออกไปด้านนอกหน้าต่าง พ่นลมหายใจที่เย็นยะเยือก

ด้านนอกเป็นเป็นทิวทัศน์สีขาวกว้างสุดลูกหูลูกตา ฤดูหนาวได้มาถึงแล้ว หิมะที่ตกทับถมกันเปลี่ยนพื้นที่ให้กลายเป็นดั่งทุ่งน้ำแข็ง

ถ้าอุณหภูมิต่ำเกินไปเจ้าเต่าอาจจะช็อกตายก็ได้ ชั้นเลยสร้างบาเรียล้อมรอบบ่อของมันไว้เพื่อปรับอุณหภูมิ

แต่เพราะเป็นบาเรียปรับอุณหภูมิที่สะดวกสะบายแบบนั้น เลยอยู่ได้แค่วันเดียว

ต้องมาร่ายบาเรียใหม่ทุกวันนี่ยุ่งยากจังแฮะ

พูดถึงฤดูหนาวแล้ว นี่เป็นฤดูที่ผู้คนในโลกนี้ไม่ค่อยชอบกันนัก

ต่างจากโลกสมัยใหม่ที่มีเทคโนโลยีทุกอย่างพร้อม ฤดูหนาวในโลกนี้ฆ่าคนตายได้เลย

เพราะปลูกอะไรก็ไม่ขึ้นในฤดูหนาว หากไม่มีการเตรียมเสบียงตุนไว้ให้ดีๆ ก็จะอดอยากตาย

ตามปกติแล้วในช่วงหน้าหนาวอย่างนี้ ผู้คนจะไปออรวมกันรอบกองไฟ คุยกัน ไม่ก็ทำของกระจุกกระจิก

แต่เพราะอะไรบางอย่าง อากาศหนาวแบบนี้แท้ๆ กลับยังมีงานเทศกาลเจี๊ยวจ๊าวกันอยู่ด้านนอก

พวกเด็กๆเล่นปาหิมะใส่กัน ส่วนพวกผู้ใหญ่ก็ยืนกินมันฝรั่งเสียบไม้ย่างดูอยู่ข้างๆ

“ท่านเอลริสคะ ได้เวลาขบวนแห่มาถึงแล้วค่ะ”

ได้ยินเลย์ล่าพูดอย่างนั้น ชั้นก็หันไปมองด้านนอกอีกรอบ

ที่นี่ไม่ใช่สถาบันฝึกฝนอัศวิน แต่เป็นเมืองหลวงของราชอาณาจักรบิลเบอรี่

ตอนนี้ชั้นอยู่ในปราสาท

เมืองหลวงอยู่ห่างจากสถาบันประมาณสิบกิโลเมตร เดินทางด้วยรถม้าก็จะใช้เวลาสักชั่วโมงนึง

ทำไมไปอยู่ซะตรงนั้นล่ะ? ไปอยู่ในตัวเมืองไม่ดีกว่าเหรอ?

จะเห็นได้บ่อยๆในพวกแฟนตาซีเซตติ้งน่ะนะ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะสร้างสถาบันแยกจากตัวเมืองทำไม

ถ้าเทียบกับในยุคปัจจุบัน ก็คงเทียบได้กับพวกโรงเรียนบนเขา

ถ้าพูดไปแล้ว จะโลกนี้หรือโลกนั้นก็เลือกที่ตั้งโรงเรียนได้แปลกเหมือนกันเลยแฮะ

เคยเห็นในสารคดีเหมือนกัน พวกโรงเรียนที่แค่จะไปก็ต้องข้ามแม่น้ำด้วยสะพานผุๆที่ไม่มีที่กั้น เดินขึ้นเขาทีใช้เวลาเป็นชั่วโมงๆ…เรียกได้ว่าต้องเอาชีวิตไปเสี่ยงกับการไปโรงเรียนแต่ละที

ถ้าเทียบกับแบบนั้น… สถาบันอัศวินนี่นี่ถือว่า่โชคดีแล้วมั้ง

ถ้าจะพูดถึงเหตุผลล่ะก็…เพราะว่าในสถาบันน่ะมีปีศาจถูกขังอยู่ไงล่ะ เอาไว้ให้นักเรียนใช้ฝึกซ้อมสู้

ถึงจะโดนขังไว้ดีแค่ไหนหรืออ่อนแอยังไง เกิดมันหลุดเข้าไปในตัวเมืองได้ล่ะยุ่งเลย

แล้วก็สถาบันเป็นตัวล่อพวกสมุนของแม่มดได้อย่างดีเลย…

อัศวินเป็นตัวเกะกะสำหรับพวกปีศาจนี่นะ จะตกเป็นเป้าโจมตีตอนไหนก็ไม่แปลกหรอก

จะเอาที่เล่อเท้าแบบนี้ไปตั้งไว้กลางเมืองก็คงไม่ได้

จริงๆสำหรับชั้นแล้ว การที่สถาบันอยู่ห่างจากตัวเมืองถือเป็นเรื่องดีนะ

ถ้ามันอยู่นเมืองล่ะก็ แม่มดก็ยิ่งมีที่ให้ซ่อนตัวอยู่เยอะ

เพราะมันไม่มีที่ซ่อนให้เลือกมากนี่แหละ ถึงไปหลบอยู่ที่ชั้นใต้ดิน

อุ๊บส์ เผลอพูดนอกเรื่องซะได้

ก็ตามนั้นแหละ ตอนนี้ชั้นน่ะอยู่ที่เมืองหลวงบิลเบอรี่

เพราะว่าชั้นถูกเชิญมาเป็นแขกของงานเทศกาลนี้น่ะ

งานเทศกาลนี้คือ “เทศกาลวันประสูติของเซนต์” …หรือก็คือวันเกิดชั้นนั่นแหละ

ตามปกติแล้วการที่เซนต์เกิดมาก็จะเป็นวันเดียวกับการมาถึงของแม่มด เลยไม่มีใครเฉลิมฉลองวันแบบนั้นกัน ยกเว้นในยุคของชั้น ไม่รู้ทำไม

ไม่ต้องทำขนาดนี้ก็ได้น่า…ตูเป็นตัวปลอมนาเหวย

มาฉลองวันเกิดให้ของเก๊นี่จะได้อะไรขึ้นมาล่ะ?

ยิ่งดูเกี้ยวที่ถูกเตรียมไว้ให้ก็ยิ่งทำชั้นเหนื่อยใจ

นี่มันศาลเจ้าเคลื่อนที่ชัดๆ แล้วนี่จะให้ตูโดนขนไปโชว์รอบๆเมืองบนนี้เนี่ยนะ?

นี่มันเกมลงทัณฑ์รึไง?

นี่ขนาดยังไม่ได้นั่งยังน่าอายขนาดนี้เลยนะ ปล่อยตูไปได้ป่ะ?

“เชิญขึ้นไปได้เลยครับ ทุกๆคนมาที่นี่เพราะอยากจะพบท่านเอลริสนะครับ”

องครักษ์คนนึงบอกกับชั้นตอนเชิญขึ้นไปนั่ง

ไม่ต้องมาหาก็ได้นะ…ตูขอล่ะ…

วันเกิดชั้นแท้ๆ ทำไมต้องมาทำอะไรน่าอับอายอย่างนี้ด้วยเนี่ย?

นี่จริงๆคือตูโดนเหม็นขี้หน้าอยู่ใช่มั้ย?

แล้วต้องเจออย่างนี้มันทุกปีเลย นี่ความคิดไอ้โง่ที่ไหนเนี่ย?

สุดท้ายชั้นก็ยอมแพ้แล้วขึ้นไปนั่งบนเกี้ยว

บนถนนมีผู้คนเต็มเลย ส่วนใหญ่จะถือมันฝรั่งเสียบไม้กินกัน

ว่าไปแล้ว ในหมู่อัศวินที่รับหน้าที่หามเกี้ยว มีคนนึงที่หน้าตาเหมือนกับไอ้แว่นโรคจิตอยู่ด้วย…คิดไปเองรึเปล่านะ?

ถึงจะเป็นไอ้แว่นโรคจิตก็คงไม่ถึงขนาดดักตีหัวอัศวินแล้วสวมรอยแทนหรอกมั้ง

…ไม่ม้าางง?

ช่างอัศวินคนนั้นไปก่อน ที่ทุกๆคนถือมันฝรั่งกันอยู่…ก็เป็นเพราะว่าชั้นเองแหละ

โลกนี้ไม่มีผลผลิตให้เก็บเกี่ยวในหน้าหนาว ผู้คนเลยขาดแคลนอาหารและล้มตาย

ชั้นเลยหาพืชผลที่สามารถเก็บเป็นเสบียงไว้ได้ จนมาเจอมันฝรั่งนี่แหละ

แต่พวกขุนนางดันเอามันมาใช้เป็นไม้ประดับซะนี่

เอาไปกินสิวะ! อยู่ตรงนี้แล้วไง…เสบียงสำหรับหน้าหนาวน่ะ…

ชั้นเลยบินไปทางใต้เพื่อเอามันฝรั่งกลับมา ปลูกมันด้วยเวทมนตร์และเร่งโตด้วยเวทมนตร์ แล้วก็สอนวิธีปรุงเป็นอาหารให้ผู้คน

มันฝรั่งแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว เดี่ยวนี้ที่ไหนๆก็มีหันหมด

เพราะแบบนั้นคนที่อดอยากตายในหน้าหนาวเลยมีลดลงเยอะเลย วันเกิดชั้นเลยโดนมองเป็นเหมือนเทศกาลมันฝรั่งอะไรแบบนั้น

กลายเป็นว่าผู้คนจะขอบคุณมันฝรั่งในวันเกิดชั้นกันแล้วก็อวยพรให้กันอย่างกันขึ้นปีใหม่ กลายเป็นอีเวนท์มั่วถั่วแบบนี้ขึ้นมา

อะไรเนี่ย เทศกาลมันฝรั่ง+คริสต์มาส+ปีใหม่+ขอบคุณพระเจ้าเรอะ? มันเอามาฟิวชั่วกันแบบนี้ได้ไงหว่า

และเพราะว่ามันอยู่กลางหน้าหนาวเลยมีการแข่งปั้นหิมะกัน ฉะนั้นก็บวกเทศกาลหิมะเข้าไปด้วย

นี่จะกลายเป็นเรื่องตลกไปเล่าให้ลูกหลานฟังแหงๆเลย

“ท่านเซนต์ โปรดอวยพรพวกเราด้วยเถิด”

พวกชาวบ้านพูดอะไรเอาแต่ใจกันมาได้

เอาล่ะ เอาล่ะ… ตามนี้นะ

ชั้นโปรยเวทย์รักษาไปมั่วๆ คนที่โนก็จะหายจากอาการเจ็บป่วย

พวกไพร่ฟ้าหน้าโง่ก็จะรู้สึกพอใจกับอีเรื่องแค่นี้แล้ว

“โอว! ตาของข้า! ตาที่ข้านึกว่าจะไม่มีวันมองเห็นได้อีกแล้ว!!”

“อ๊า! ลูกชายข้าที่พิการทำให้เดินไม่ได้ จู่ๆก็ลุกขึ้นมาได้ด้วยตนเอง!!”

“หัวล้านของข้ากลับมามีเส้นผมอีกครั้ง!”

“ท่านเซนต์ช่างเมตตาอะไรขนาดนี้!!”

เออ ดีใจกันก็ดีละ พอแล้วใช่ป่ะ

เฮ่ออ – ตูล่ะเหนื่อยเด้

รีบๆจบไอ้ขบวนแห่นี่เร็วๆดิ๊…