ตอนที่ 43 อย่าใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่าย ตอนที่ 44 เงินตำลึงทองเต็มห้อง

ข้าอาศัยทำนาให้ร่ำรวยมหาศาล

ตอนที่ 43 อย่าใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่าย

เจียงจื่อชางทิ้งท้ายคำพูดดุดันไว้ แล้วหันขวับเดินจากไป

“ท่านพี่ เจียงจื่อชางผู้นี้เกี่ยวข้องกับภัตตาคารที่พี่ทำงานด้วยหรือ” ซ่งอิงเอ่ยถาม

ภัตตาคารที่ซ่งสวินทำงานอยู่นั้นไม่ถือว่าใหญ่โต แต่ค่อนข้างมีชื่อเสียงในอำเภอเมืองนี้ กิจการดำเนินไปอย่างยอดเยี่ยมทีเดียว

ทุกเดือน ซ่งสวินจะคำนวณบัญชีให้ภัตตาคารอยู่สามสี่ครั้ง เขารับจ้างราคาถูกและคำนวณได้อย่างแม่นยำ ภัตตาคารก็เลยเลือกใช้เขา และด้วยวัยของเขา จะหางานก็ไม่ได้ง่ายดายเพียงนั้น

“ภัตตาคารนั้นเป็นกิจการที่คนสองคนร่วมหุ้นกัน มารดาสหายเจียงเป็นลูกพี่ลูกน้องของรองเถ้าแก่ร้านผู้นั้น แม้ไม่ถึงขั้นมีความสัมพันธ์สนิทชิดเชื้อ แต่สหายเจียงก็ยังเรียกรองเถ้าแก่ร้านว่าลุง” ซ่งสวินขมวดคิ้วเล็กน้อย “ทว่าเจ้าวางใจเถิด อีกทั้งไม่ใช่ว่ารองเถ้าแก่ร้านจะเชื่อฟังคำพูดของเขาเสมอไปเสียหน่อย ต่อให้เชื่อจริงก็ช่างปะไร หากไม่มีงานคำนวณบัญชีทางด้านภัตตาคารนั่นแล้ว ข้าคัดลอกตำราให้มากขึ้นหน่อยก็เป็นพอ ยิ่งไปกว่านั้น ในเมืองนี้ยังมีอีกตั้งหลายร้าน ที่ต้องการนายบัญชีก็มีจำนวนไม่น้อยเช่นกัน”

“แต่ต้องการนายบัญชียังเยาว์วัยเพียงนี้อย่างท่านพี่ คงมีไม่มากนักกระมัง” ซ่งอิงกล่าวตรงไปตรงมา

ซ่งสวินยิ้มขื่น “ตอนนี้เจ้าช่างหัวไวจริงๆ เกรงว่าภายภาคหน้าข้าคงโกหกเจ้าไม่ได้แล้วสินะ…จริงอย่างที่เจ้าว่านั่นละ ตอนแรกก็เพราะเจ้าของภัตตาคารนี้ต้องการคนเร่งด่วน ข้าขอร้องอยู่พักใหญ่ พวกเขาถึงยินดีให้งานข้า หากข้าถูกไล่ออกก็คงกระทบชื่อเสียงไม่น้อย และคงหางานคำนวณบัญชีได้ไม่ง่ายอีก”

ผู้คนจำนวนมากล้วนทำงานอยู่ในร้านร้านเดียวเป็นเวลาหลายสิบปี

“ท่านพี่ ในเมื่อเป็นเช่นนั้น งานนี้ก็อย่าไปทำอีกเลย คิดๆ ดูแล้วตอนแรกเริ่มท่านก็เคยเรียนหนังสือมาหลายปี ตอนนั้นท่านอาจารย์ชมว่าท่านมีความสามารถ แล้วไยจึงไม่เล่าเรียนต่อไปละ เมื่อก่อนเพราะท่านปู่ท่านย่าขัดขวาง ตอนนี้เราแยกครอบครัวแล้ว ท่านพ่อท่านแม่ย่อมยินดีสนับสนุนแน่!” ซ่งอิงกล่าวทันควัน

ในความทรงจำนาง เจ้าของร่างรู้สึกเสียดายเกี่ยวกับการเรียนของพี่ชายมาโดยตลอด

ยามที่ซ่งสวินเข้าเรียนต่อไม่ได้ หนำซ้ำยังผิดหวังอยู่พักใหญ่ นับแต่นั้นเป็นต้นมา จึงเปลี่ยนไปนิ่งเงียบไม่ค่อยพูดจา และเก็บตัวไม่แสดงสีหน้าอารมณ์ใดๆ ออกมาให้เห็นเท่าใดนัก

นัยน์ตาราบเรียบของซ่งสวินพลันเกิดประกายสว่างไสวเล็กน้อย แต่ไม่ทันไรก็หมองหม่นลง

“อายุข้าในตอนนี้เข้าเรียนอีกก็ไม่เหมาะสมหรอก” ซ่งสวินกล่าวทันใด

“ผู้เฒ่าวัยเจ็ดสิบสอบถงเซิง[1]ยังมี ท่านเพิ่งอายุสิบเจ็ดปี ไยจึงไม่เหมาะสม อีกทั้งปกติแล้วท่านพี่ก็คัดลอกตำราให้ร้านหนังสือเป็นประจำ จะมีตำราอันใดบ้างเชียวที่ไม่เคยอ่านมาก่อน หากได้เล่าเรียนขึ้นมาจริง จะต้องเรียนรู้ได้ไวกว่าใครต่อใครเป็นแน่ ท่านกังวลเรื่องเงินใช่หรือไม่ ท่านพี่ ตอนนี้ข้าร่างกายแข็งแรงเป็นพิเศษ ไม่จำเป็นต้องกินยาใดๆ ทั้งนั้น ท่านก็เห็นแล้ว ข้ารู้จักหาเงินได้ สถานการณ์ของครอบครัวเราจะต้องดียิ่งๆ ขึ้นแน่นอน!” ซ่งอิงแสดงเจตนารมณ์ทันทีทันใด

“มิได้หรอก” ซ่งสวินส่ายหน้า พลางเก็บข้าวของเตรียมเดินทางกลับ

ซ่งอิงพอรู้อยู่ว่าเขากังวลอะไร

การสอบและเรียนต้องใช้จ่ายเงินจำนวนมาก ที่ต้องใช้จ่ายไม่เพียงแต่ค่าพู่กัน หมึก กระดาษและจานฝนหมึก แต่ยังมีตำราที่ใช้ศึกษา อาจารย์ที่ชี้นำสั่งสอนและการคบค้าสมาคมกับสหายทั้งหลาย

ตอนนี้ครอบครัวพวกเขายากจนแร้นแค้น

ในหมู่บ้านซิ่งฮวานั่น ทุกบ้านทุกครอบครัว ต่อให้เพิ่งแยกครอบครัว ในครอบครัวอย่างน้อยก็มีที่ดินเจ็ดแปดหมู่ อย่างเช่นบ้านใหญ่และบ้านสี่ของครอบครัวซ่ง ยามที่แยกครอบครัวแม้ว่าได้รับที่ดินสามหมู่ แต่ก็ให้เงินไปด้วยจำนวนหนึ่ง อีกทั้งเงินส่วนตัวที่หามาได้ด้วยตนเองก็มีจำนวนไม่น้อย หลังแยกครอบครัว ก็นำไปซื้อที่ดินได้อีกหลายหมู่

มีเพียงบ้านสอง ได้รับส่วนแบ่งน้อยสุด ทั้งยังประสบปัญหาเจ้าของร่างล้มป่วย ดังนั้นถึงตกระกำลำบาก

สำหรับครอบครัวชาวไร่ชาวนา ในครอบครัวไร้ที่นา เท่ากับต้นไม้ไร้ราก ปราศจากความมั่นคง

หากส่งคนหนึ่งศึกษาเล่าเรียนอีก เช่นนั้นการใช้ชีวิตก็จะยิ่งยากลำบาก

ซ่งอิงรู้เช่นกันว่าคงเกลี้ยกล่อมในเวลาอันสั้นไม่ง่าย จึงไม่พูดถึงอีก

รอนางหาเงินได้มากๆ แล้ว ค่อยไปโน้มน้าวต่อหน้าบิดามารดาอีกที การไปร่ำเรียนของซ่งสวินก็คือเรื่องที่ต้องทำให้เป็นจริงให้จงได้

เด็กหนุ่มน้อยเพิ่งอายุสิบเจ็ดปี แสร้งทำเป็นหนักแน่นและมีความเป็นผู้ใหญ่อะไรกัน ควรไปตั้งหน้าตั้งตาเรียนถึงจะถูก!

“เงินสหายเจียงนี่จะให้ท่านพ่อท่านแม่มิได้เชียว ท่านพ่อยึดมั่นในคุณธรรมความซื่อตรงอย่างยิ่ง หากรู้เข้า จะต้องให้เจ้าเอาไปคืนเป็นแน่” ซ่งสวินมองนางแวบสายตาหนึ่ง “ใบหน้าเจ้านี่…แม้รักษาได้ไม่หมดจด แต่ในตัวจังหวัดมียาทาชั้นเยี่ยม ทำให้รอยแผลเป็นจางลงได้ก็ดีไม่น้อยเช่นกัน ดังนั้นเงินนี้เจ้าเก็บหอมรอมริบไว้ให้ดีๆ อย่าใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่ายเชียว”

ตอนที่ 44 เงินตำลึงทองเต็มห้อง

ซ่งสวินเสมือนผู้เฒ่าน้อยคนหนึ่ง

นี่หากอยู่ในโลกของภพชาติก่อน ซ่งสวินวัยนี้ เพิ่งจะมัธยมปลายเองกระมัง ทว่าตอนนี้กลับมีอากัปกิริยาของการเป็นผู้นำครอบครัวแล้ว

“สี่ตำลึงเงินนี้ ข้ารับไว้ทั้งหมดไม่ได้หรอก และรู้ว่าท่านพี่คงไม่ยินดีรับไว้เช่นกัน ดังนั้น…หลังแบ่งให้ท่านพ่อท่านแม่บางส่วนแล้ว ค่อยแบ่งเงินนี้ไว้ให้ท่านครึ่งหนึ่ง ข้าจะช่วยเก็บเอาไว้ให้ท่าน รอภายภาคหน้าหากข้าจำเป็นต้องใช้เงินทำกิจการใด ก็จะใช้เงินนี้ถือเป็นการร่วมลงทุนกัน ถึงเวลานั้นทุกเดือนก็จะได้มีเงินไว้ใช้จ่าย!” ซ่งอิงแย้มยิ้มกล่าว

เงินก้อนนี้ มองดูแล้วทำให้คนรู้สึกสบายใจดีจริงๆ

ในภพภูมิก่อน เพื่อดำรงชีวิต นางก็ลุ่มหลงไปกับทรัพย์สินเงินทอง คิดไม่ถึงว่าครั้นได้มีชีวิตอีกครั้ง ก็ยังคงลุ่มหลงในเงินทองอีกเช่นเดิม

“เจ้าอยากทำกิจการ? ข้าบอกแล้วอย่างไรว่า เงินนี้เจ้าต้องเก็บหอมรอมริบเอาไว้…”

ซ่งสวินยังไม่ทันพูดจบ ซ่งอิงก็เอ่ยปากสวนขึ้น “ท่านพี่ ยามที่ข้าอยู่ในจวนโหว ใช้ชีวิตอย่างทุกข์ยากลำบากเป็นพิเศษ ตอนนั้นเบี้ยรายเดือนของสาวใช้ยังมากกว่าข้าด้วยซ้ำ ข้าไม่ได้ใช้จ่ายเงินสุรุ่ยสุร่าย ไม่มีเงินแม้แต่จะซื้อเตาเล็กๆ เป็นของตัวเองด้วยซ้ำ ทุกเดือนจะต้องอดยากปากแห้งเป็นเวลาครึ่งเดือน ท่านรู้หรือไม่ว่าการที่คุณหนูต้องหิวท้องกิ่วจะนึกคิดเช่นไรอยู่ในใจ ตอนนั้นข้าคิดว่า หากมีวันใดวันหนึ่งข้าหาเงินตำลึงทองได้เต็มห้องก็ดีสิ! ตอนนี้ข้ามีอิสระแล้ว แน่นอนว่าต้องพยายามเพื่อทำความปรารถนาของตัวเองให้สำเร็จ!”

คำพูดนี้ของซ่งอิง ไม่ได้หลอกลวงแต่อย่างใด

ตอนนั้นเจ้าของร่างใช้ชีวิตเช่นนี้จริง และมีความนึกคิดนี้เช่นกันจริงๆ

ตอนนี้นางมาเยือนในร่างนี้แล้ว นางสัมผัสได้ว่า ตามจริงแล้วอุปนิสัยของนางและเจ้าของร่างได้หล่อหลอมรวมกันบ้างแล้ว ส่วนความปรารถนานี้ เมื่อทั้งสองผนวกเข้าด้วยกัน จึงถือได้ว่ายิ่งเป็นอะไรที่แรงกล้ามากขึ้น

เมื่อเอ่ยถึงจวนโหว ซ่งสวินก็ได้แต่พะงาบปาก

เขาจะพูดอะไรได้หรือ แน่นอนว่าจะคัดค้านอีกก็ไม่ดี

“ยกให้เจ้าทั้งหมดนั่นละ ข้าไม่ต้องการหรอก” ซ่งสวินกล่าวอย่างเรียบง่าย

“ที่ควรเป็นของข้า ข้าถึงจะต้องการมัน สิ่งที่ไม่ควรเป็นของข้า ข้าก็ไม่อาจรับมันได้เช่นกัน” ซ่งอิงเงยหน้า ใบหน้าเต็มไปด้วยความดื้อดึง

ซ่งสวินจนปัญญา ทำได้เพียงกล่าวว่า “เช่นนั้นแบ่งให้ข้าเพียงหนึ่งตำลึงเงินเท่านั้นพอ หากไม่ เราทั้งสองก็ไม่ต้องเอา ให้ท่านพ่อนำเงินไปคืนคนเขาเป็นอันสิ้นเรื่อง!”

คำพูดของสองพี่น้อง กลับเล็ดลอดเข้าหูคนที่อยู่ร้านน้ำชาด้านข้างอย่างครบถ้วนทุกคำพูด

“ต้าเหริน ท่านมาดื่มชาที่นี่เป็นการเฉพาะ คงมิใช่เพราะอยากฟังสองพี่น้องนี้พูดคุยกันหรอกกระมัง? หรือว่า…พวกเขากระทำความผิดที่ไหนเอาไว้!? ข้าว่าก็คลับคล้ายคลับคลาอยู่เช่นกัน โดยเฉพาะสตรีผู้นี้ ใส่หมวกไม่เปิดเผยใบหน้า จะต้องมีลับลมคมในเป็นแน่! แล้วก็ทักษะการเป่ายิ้งฉุบนั่นอีก ไม่เหมือนคนธรรมดาทั่วไปจริงๆ พวกเขายังเอ่ยถึงจวนโหวอีกด้วย…นี่คงมิใช่ว่าคนแซ่โหว[2]ถูกทำร้ายเข้าแล้วกระมัง?” ผู้ใต้บัญชาที่ติดตามข้างกายเผยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความเคลือบแคลงใจ เริ่มกระชับดาบไว้ในมือ เตรียมพร้อมสำหรับการลงมือได้ทุกเมื่อ

รู้สึกได้ถึงสายตาอันรุนแรงของผู้อื่น ซ่งอิงจึงมองมาทางด้านนี้ปราดหนึ่ง

เห็นเพียงบุรุษหนุ่มใหญ่สองคน มองดูดุดันน่าเกรงขราม

ภายในใจพลันเกิดความสงสัยเล็กน้อย คงไม่ใช่ขโมยที่หมายตาเงินของนางและพี่ชายเข้าแล้วกระมัง

รีบๆ ออกไปจากบริเวณนี้โดยเร็วหน่อยจะดีกว่า

“ต้าเหริน พวกเขาเผยสีหน้าลนลาน ต้องเกิดความระแวดระวังขึ้นมาบ้าง และเตรียมวิ่งหนีแล้วเป็นแน่ขอรับ!” จางเต๋อกล่าวขึ้นอีกครั้ง

“เพียงแค่คนธรรมดาทั่วไป ไม่จำเป็นต้องสนใจมากนัก” ฮั่วเจ้ายวนมองไปทางด้านนั้นแวบหนึ่ง และกล่าวอย่างง่ายดาย

คิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่า คุณหนูใหญ่ที่ตอนแรกเหยียนผิงโหวจงใจให้ล่วงลับไปผู้นั้นจะอยู่ ณ ที่แห่งนี้ มิน่าล่ะ เสียงที่เขาได้ยินเมื่อวานจึงรู้สึกคุ้นหู

ตอนแรกเขาเคยเห็นนางในงานเลี้ยงบรรดาศักดิ์คราหนึ่ง ได้ยินเพียงว่าคุณหนูใหญ่ซ่งท่านนั้นถูกกำหนดให้เป็นคู่ครองอ๋องวัยชรา ตอนนั้นแม้คิดว่าชายชรากับเด็กสาวไม่คู่ควรกัน แต่ก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอันใดกับเขา จึงมองสตรีผู้นี้เพียงพริบตาเดียว

พอได้ยินว่าสตรีผู้นี้เสียชีวิตก็เกิดความเสียดายอยู่พักหนึ่ง แต่กลับไม่เคยคิดว่า คนผู้นี้จะมาเยือนถึงถิ่นของเขาได้

ช่างเถอะ ก็แค่สตรีที่น่าเวทนาคนหนึ่ง ไม่จำเป็นต้องใส่ใจและถามไถ่มากเกินไป

ซ่งอิงอกสั่นขวัญแขวนตลอดทาง กังวลว่า ‘คนเลว’ ที่ร่างกายใหญ่โตกำยำทั้งสองนั่นจะติดตามมา ดีที่ตลอดทางทำใจกล้า และกลับมาถึงจนได้

ซ่งสวินเห็นลักษณะเช่นนี้ของนาง อดหัวเราะออกมาไม่ได้ “กลางวันแสกๆ จะมีขโมยที่ไหนใจกล้าหรือ เจ้าทำใจให้สบายเถอะ แล้วหลังกลับเข้าบ้านแล้ว อย่าได้หลุดปากพูดออกไปเชียว มิเช่นนั้นท่านแม่คงต้องร้องห่มร้องไห้ขอให้เจ้าซื้อยาทาหน้า และการที่เจ้าคิดจะพึ่งพาเงินนี้ต่อเงิน คงเป็นไปไม่ได้แล้ว”

“เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ!” ซ่งอิงส่งเสียงขานรับทันควัน “ท่านพี่ ท่านกลับบ้านไปก่อน ข้าต้องไปแปลงนาดูอะไรเสียหน่อย ยังต้องทำสัญลักษณ์เอาไว้ ครั้งหน้าหากครอบครัวหลี่มาทำอันใดอีก พวกเราก็จะได้รู้เท่าทัน”

[1] ถงเซิง (童生) คือคำเรียกนักเรียนนักศึกษาผู้สอบผ่านระดับต้น หรือระดับท้องถิ่นอย่างระดับอำเภอ และระดับจังหวัด

[2] แซ่โหว (姓侯) ‘แซ่’ คือคำเรียกนามสกุลของชาวจีน ใช้หลักเกณฑ์เดียวกับไทยคือลูกใช้แซ่ตามบิดา แต่ต่างกันที่แซ่ของชาวจีนจะวางไว้หน้าชื่อ ‘โหว’ นอกจากจะเป็นตำแหน่งขุนนางชั้นผู้ใหญ่แล้ว ในที่นี้เป็นการระบุถึง นามสกุลโหว