ตอนที่ 45 บ้าไปแล้วกระมัง ตอนที่ 46 โสมพูดได้

ข้าอาศัยทำนาให้ร่ำรวยมหาศาล

ตอนที่ 45 บ้าไปแล้วกระมัง

ยามนี้สีสันท้องนภายังคงสว่างจ้า ซ่งสวินจึงปล่อยให้นางไปตามความต้องการ

ซ่งอิงมุ่งหน้าไปแปลงนาของครอบครัวตนเอง จากบริเวณไกลๆ กลับมองเห็นหลี่ซานยืนอยู่ในคันนาพื้นที่บ้านนางอีกแล้ว ซ่งอิงเห็นดังกล่าว ไม่ได้กระโตกกระตากให้อีกฝ่ายรู้ตัว โดยเดินอ้อมอยู่รอบหนึ่งแล้วแอบด้อมมองจากพุ่มหญ้าบริเวณตีนเขา

แปลงนาของบ้านนางอยู่บริเวณตีนเขา ดังนั้นซ่งอิงจึงมองเห็นได้ชัดเจนแจ่มแจ้ง

หลี่ซานผู้นี้ส่งเสียงเฮ้อทอดถอนใจอยู่พักใหญ่ “ไม่มีอีกแล้ว!? เป็นไปมิได้น่า? หรือว่าโสมนั่นวิ่งหนีไปพื้นที่บ้านคนอื่นแล้ว? นั่นสิ นั่นสิ จิ๊…ที่นาของบ้านสองครอบครัวซ่งก็ไม่ได้แตกต่างจากของบ้านอื่น โสมมีขาด้วย แน่นอนว่าคงไม่แอบซ่อนอยู่แต่ในที่ดินบ้านเดียวเป็นแน่…”

เมื่อพูดอย่างนี้แล้ว หลี่ซานก็เริ่มมองไปยังพื้นที่บ้านอื่นที่อยู่ข้างเคียง

ซ่งอิงได้ยินกลับงุนงงสับสน

โสม? แล้วยังมีขาด้วย?

หลี่ซานมิได้บ้าไปแล้วกระมัง?

ซ่งอิงไม่ได้รีบร้อนเคลื่อนไหว แอบอยู่บริเวณลับตาคน มองดูหลี่ซานผู้นั้นเริ่มลัดเลาะไปตามคันนา มองหาตามที่ดินของแต่ละบ้าน ดวงตาคล้ายกับจะหลุดร่วงลงไปในแปลงนาแล้วก็ว่าได้ ไม่มองไปยังบริเวณอื่นเลยสักนิด เดินไปพร่ำบ่นไป ไม่รู้ว่าเอ่ยบ่นพึมพำอะไรอยู่

ท่าทางของหลี่ซานเช่นนั้น มองดูแล้วค่อนข้างประหลาดชอบกล ทำให้คนรู้สึกขนลุกขนพอง

ทว่าไม่ถึงครึ่งชั่วยาม หลิวซื่อภรรยาของหลี่ซานก็มาเยือนพร้อมส่งเสียงตะคอก “ตังเจีย[1]! เหตุใดเจ้าถึงเหมือนวิญญาณเร่ร่อนอย่างนี้! ในบ้านวุ่นวายจนกลายเป็นสภาพเช่นนี้แล้ว เจ้าก็ไม่สนใจจะเสนอความเห็นให้ท่านแม่กับข้าบ้างเลย! เรื่องงานแต่งของจิ้นเป่านี่จะทำอย่างไร ครอบครัวแซ่ฟางนั่นไม่ได้เรื่องเกินไปแล้ว คิดไม่ถึงว่าจะมีหน้ามาถามจิ้นเป่าว่าเป็นโรคอะไรที่ไม่ได้บอกกล่าวผู้อื่นใช่หรือไม่! ทั้งที่หมั้นหมายไว้แล้วแท้ๆ พวกเขาหมายความว่าอย่างไรกัน!?”

หลิวซื่อใกล้เดือดดาลจนอกแตกตายเต็มทน เหตุใดบุรุษของครอบครัวตนถึงได้ก่อความวุ่นวายให้ได้มากมายเพียงนี้ ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขดีๆ ไม่ชอบ งานการก็ไม่ทำ สองสามวันมานี้เอาแต่มุ่งหน้ามาแถบบ้านครอบครัวซ่งนี่!

หากไม่ใช่เพราะทุกครั้งบริเวณนาผืนนี้ไร้ผู้คน นางคงได้คิดว่าสามีนางมาที่นี่เพราะนัดเจอเจอนางหญิงชั่วช้าหน้าไม่อายที่ไหนเสียอีก!

“เรื่องใหญ่โตอันใดหรือ ก็แค่งานแต่งมิใช่หรือ ไว้รอข้าหาของเจอแล้ว ครอบครัวฟางอะไรนั่น ข้าก็ไม่ชายตาแลแล้ว! เมื่อถึงเวลาเราค่อยย้ายไปลงหลักปักฐานในตัวเมือง หาลูกสะใภ้ในเมืองให้จิ้นเป่าสักคน!” หลี่ซานกล่าวอย่างหงุดหงิด

“ยังมีหน้ามาเอ่ยถึงสะใภ้ในตัวเมืองอีก! ขนาดในชนบทยังเผ่นแน่บเลย! จะว่าไปนางเด็กครอบครัวซ่งผู้นั้นนี่ช่างเป็นตัวซวยจริงๆ ตั้งแต่เข้าไปเหยียบบ้านพวกเขา จิ้นเป่าของพวกเราก็ซวยซ้ำซวยซ้อน! บัดนี้แม้ร่างกายเขาไม่เจ็บปวดแล้ว ทว่างานแต่งนี้คิดไม่ถึงว่าจะมาขอยกเลิกกันเสียได้…” หลิวซื่อพร่ำโอดครวญ

ระยะนี้น่ะ หงุดหงิดวุ่นวายเกินบรรยาย

แยกครอบครัวกันแล้ว แต่ชื่อเสียงไม่ค่อยดีงาม ผู้เฒ่าแม่เฒ่าในครอบครัวก็อยู่ร่วมกับพวกเขาด้วย ว่ากันตามหลัก พวกเขาเป็นบ้านบุตรคนที่สาม จะอย่างไรก็ไม่ควรเป็นเช่นนี้สิ! แต่ก็เพราะบ้านบุตรคนโตไม่พึงพอใจที่ได้ส่วนแบ่งน้อยนิด เลยพาลไม่ยินยอมเลี้ยงดูบิดามารดาไปด้วย!

แล้วก็ครอบครัวซ่งนั่น…

ได้ยินว่าแม่ไก่แก่ตัวนั้นที่มอบให้ครอบครัวซ่งไปหลายวันก่อน คิดไม่ถึงว่าจะออกไข่ หนำซ้ำออกไข่หนึ่งฟองเทียบเท่ากับสองฟอง คนเขาเอ่ยว่า เพราะนางเด็กสาวบุตรคนรองของครอบครัวซ่งนั่นมีโชควาสนา…

โชควาสนาบ้าบออะไร! ใครเคยเห็นไก่แก่ออกไข่บ้างหรือ ครอบครัวซ่งพูดอันใดก็ต้องเป็นเช่นนั้นหรือ!?

ถุย!

“ตังเจีย! สรุปแล้วเจ้าหาอะไรอยู่ฮะ หรือว่าแปลงนานี้มีทองคำอยู่หรือ!” หลิวซื่อกล่าวอย่างโมโห

“ก็เพราะมีทองคำอย่างไรล่ะ! เจ้าเป็นสตรีจะไปรู้อันใด!” หลี่ซานสบถฮึ คิดอยู่ว่าท้องฟ้าใกล้มืดแล้ว เอาไว้พรุ่งนี้ค่อยมาหาแล้วกัน จึงกล่าวว่า “วันนี้กลับกันก่อน พรุ่งนี้เจ้าค่อยมาช่วยข้าหาก็แล้วกัน!”

หลิวซื่อได้ยินดังกล่าว รู้สึกอึดอัดใจไปหมด

หาๆๆ ทั่วพื้นที่เต็มไปด้วยโคลนเต็มไปด้วยดิน หาบ้าหาบออะไร!

เมื่อสามีภรรยาคู่นี้เดินจากไป ในแปลงนาก็เงียบสงัดลงทันใด

ช่วงเวลาพลบค่ำ บริเวณใกล้เคียงไม่มีผู้ใดออกมาเตร็ดเตร่ ซ่งอิงเตรียมลงไปทำสัญลักษณ์ไว้ในแปลงนา ยังไม่ทันลุกขึ้นยืน พลันได้ยินเสียงกรอบแกรบแว่วลอยมาจากในพุ่มหญ้า

หรือว่ามีงู!? ซ่งอิงตระหนกตกใจ

ตอนที่ 46 โสมพูดได้

ซ่งอิงไม่กล้าขยับสุ่มสี่สุ่มห้า มองไปตามทิศทางของเสียงกรอบแกรบนั่น เห็นเพียงหญ้าป่าพุ่มสูงเคลื่อนไหวสองที ชั่วครู่หนึ่ง ปรากฎใบไม้จำนวนหนึ่งกระจายออกมากะทันหัน

ใบไม้นั้นมองดูคุ้นตาอย่างยิ่ง นางยังไม่ทันมองให้ละเอียด ก็เห็นบางสิ่งผุดขึ้นมาจากดิน…

โสม!?

ซ่งอิงเพ่งมอง ตื่นตกใจสะดุ้งตัวโยน เห็นเพียงโสมหัวหนึ่งวิ่งไปทั่วพื้นที่ ส่วนรากนั่นเสมือนขา รวดเร็วดุจโบยบิน ไม่ทันไรก็ทะยานไปในแปลงนาของบ้านนาง จากนั้นรากนั่นก็เริ่มชอนไชดิน หลังไชเสร็จก็มุดหายลงไปในดิน!

“…” ซ่งอิงคิดว่าต้องเป็นตนที่ตาฝาดไปแล้วแน่นอน

ฮ่าๆ น่าขันเกินไปแล้ว โสมหรือจะวิ่งได้?

เป็นไปไม่ได้

ในคำเล่าขานที่กล่าวต่อๆ กันมา ว่ากันว่าการขุดโสมต้องมัดด้วยเชือกแดงเส้นหนึ่ง ไม่ใช่เพราะมันวิ่งได้ แต่เพื่อเป็นสัญลักษณ์ หลีกเลี่ยงการที่หลังโสมนี้โตได้ที่แล้ว กลับถูกคนเขาถอนเอาไปได้…

แล้วจะวิ่งได้อย่างไร…

ที่ปรากฎเบื้องหน้าอาจเป็นตัวประหลาดอะไรกระมัง

หลังโสมนั่นมุดดินลงไป ใบไม้ไหวไปตามสายลม มองดูให้ความรู้สึกผ่อนคลายสบายยิ่ง เห็นแล้วนางถึงขั้นอยากขุดหลุมแล้วฝังตัวเองลงไปบ้าง

ดังนั้น หลี่ซานไม่ได้เป็นบ้า แต่เพราะเห็นโสมหัวนี้ที่วิ่งได้เข้าแล้วจริงๆ? ถึงได้แวะเวียนมานั่งยองหาบางสิ่งในที่ดินของครอบครัวนาง!?

ส่วนโสมนี้…

เห็นได้ชัดว่าหลังเห็นหลี่ซานเดินจากไปแล้ว ถึงได้วิ่งออกมา ทว่าทำไมล่ะ

ในหนึ่งเค่อถัดมา ซ่งอิงนึกถึงน้ำทะเลสาบจากช่องว่างระหว่างมิติของตนเอง

ที่ดินของบ้านนาง ล้วนรินรดน้ำจากทะเลสาบเอาไว้ สำหรับพืช น้ำทะเลสาบนี้ก็คือน้ำแกงบำรุงชั้นดี โสมนี้…ยอดเยี่ยมจริงๆ…หรือว่าเพราะได้กลิ่นบางอย่าง ดังนั้นจึงแวะเวียนมาหาของบำรุง?

ซ่งอิงคิดว่ามีความเป็นไปได้สูง

ระหว่างตกตะลึงปนประหลาดใจ ซ่งอิงไม่ทันสังเกตว่าใจกลางฝ่ามือของตนร้อนผ่าวขึ้นมา

หลังผ่านไปชั่วครู่ ถึงได้ยกฝ่ามือขึ้นมองดู เห็นเพียง…บริเวณใจกลางฝ่ามือนั่น ปรากฎแสงสีทองวูบวาบรางๆ

ตอนแรกหลังกินผลไม้ที่อยู่บนต้นในช่องว่างระหว่างมิตินั้น ใจกลางฝ่ามือนางนี้ก็สว่างวาบขึ้นมาครั้งหนึ่งแล้วก็หายไป ตอนนั้นนางคิดว่าแสงสีทองมีความสำคัญยิ่ง ทว่าหลักๆ แล้วไว้ทำอะไรได้ กลับไม่ทราบแน่ชัด

ในเวลานี้เอง มองเห็นโสมมีชีวิตหัวนี้ ในสมองซ่งอิงพลันบังเกิดลางสังหรณ์อันแรงกล้า

นางยกมือขึ้นอย่างช้าๆ จ่อไปทิศทางโสมมีชีวิตตัวนั้น

เห็นเพียงระหว่างนางกับโสมมีชีวิต เสมือนมีเส้นด้ายสีทองเพิ่มขึ้นมาหนึ่งเส้น ทันใดนั้นแสงสีทองก็พันโอบรอบตัวโสม จากนั้น ซ่งอิงรู้สึกเพียงร่างกายสั่นไหวชั่ววูบ แสงสีทองนั่นก็หายวับไปนางรู้สึกหน้ามืดเล็กน้อย รู้สึกเพียง…อ่อนล้าเป็นพิเศษ เหมือนเรี่ยวแรงหายไปอย่างไรอย่างนั้น

ดูเหมือนโสมจะสังเกตเห็นนางเช่นกัน

ใบไม้สั่นไหว ให้ความรู้สึกตะลึงพรึงเพริด โสมผุดออกมาจากพื้นดิน เคลื่อนไหวแนวนอนคล้ายปู เตรียมวิ่งเผ่นแน่บ

ซ่งอิงคิดว่าระหว่างตนกับโสมนี้มีความข้องเกี่ยวบางอย่าง จิตใจสำนึกคิดให้มันหยุดเคลื่อนไหว

โสมมีชีวิตก็หยุดเคลื่อนไหวจริงๆ

มันยืนอยู่ตรงนั้น แสงทองรำไรบนเรือนร่างกะพริบเล็กน้อย

“แง้ๆๆ! เจ้ามนุษย์ผู้นี้ทำอันใดกับข้าแล้ว?! รีบปล่อยข้าเร็วเข้า! มิเช่นนั้นข้าจะกินเจ้าเสีย!” เสียงหนึ่งแว่วลอยมาท่ามกลางอากาศอย่างกะทันหัน

ซ่งอิงเบิกตาโต สติกระเจิงเล็กน้อย

โสมนี่ไม่เพียงแต่วิ่งได้ แล้วยังพูดได้อีกด้วย?! ปีศาจชัดๆ!?

หรือเป็นสิ่งคิดค้นทางวิทยาศาสตร์ที่เกิดในสังคมมนุษย์…

ไม่สิ ต่อให้เป็นยุคที่เต็มไปด้วยความเชื่องมงาย ก็ไม่น่ามีสิ่งของประเภทนี้นี่?!

ซ่งอิงทำใจกล้าเดินเข้าไป ต่อให้เข้าใกล้โสมแล้ว โสมนี้ก็ไม่ได้วิ่งหนีไป เห็นได้ชัดว่าถูกจิตใต้สำนึกนางควบคุมเอาไว้

เห็นทีว่า แสงสีทองในมือนางจะใช้การต่อสิ่งนี้ได้อย่างใหญ่หลวง…

ซ่งอิงโล่งใจขึ้นมาหน่อย ส่งนิ้วจิ้มเข้าไปที่โสมทีหนึ่ง เห็นสิ่งเล็กๆ นี้มีท่าทีสั่นเทิ้ม อดไม่ได้ที่จะกล่าว “โสมมีชีวิต…อย่างน้อยๆ ก็คงหลายร้อยปีกระมัง เช่นนั้นน่าจะราคาแพงมาก…”

ใช่ ราคาแพงมาก เมื่อคิดเช่นนี้ ซ่งอิงก็ไม่เกรงกลัวอีกแล้ว แต่กลับเผยรอยยิ้มร้ายกาจออกมา

[1] ตังเจีย (当家) คำเรียกในภาษาจีน หมายถึง ผู้นำครอบครัว หัวหน้าครอบครัว