บทที่ 22 หนึ่งรุมเจ็ด

หมอเทวดาขอกลับมาเป็นป๊ะป๋า

บทที่ 22 หนึ่งรุมเจ็ด

บทที่ 22 หนึ่งรุมเจ็ด

พวกอันธพาลข้างถนนเหรอ?

โจวอี้หรี่ตามอง สีหน้าของเขาดูเย็นชา

“ทำไม คุณโจวรู้จักคนพวกนั้นเหรอ?” จี้หมิงเฉินขมวดคิ้วถาม เขาเห็นว่ารถสองคันนั้นจอดรออยู่นานแล้ว

“ผมไม่รู้จัก แต่พวกเขาคงจะมาสร้างปัญหา” โจวอี้ตอบ

“พวกเขาไม่กล้ามาที่นี่เพื่อสร้างปัญหาหรอก พี่น้องเกือบทั้งหมดในทีมรักษาความปลอดภัยของเราเกษียณมาจากกองทัพเชียวนะ” จี้หมิงเฉินดูภูมิใจ และพูดด้วยรอยยิ้มว่า “มีอะไรให้พวกเราช่วยไหม? รับรองว่าพวกเขาจะไม่มารบกวนคุณอีก”

“ไม่ พวกเขายังเด็กอยู่” โจวอี้โบกมือส่ง ๆ ก่อนจะเดินไปที่รถสองคันนั้น

“เมื่อไล่พวกเขาไปแล้ว หลังเลิกงานมากินหม้อไฟกันนะครับ” จี้หมิงเฉินตะโกนบอกโจวอี้ ก่อนจะหันมาพูดกับพนักงานรักษาความปลอดภัยคนอื่น ๆ ซึ่งเป็นลูกน้องของเขา

“ตราบใดที่คนเหล่านั้นไม่ก่อปัญหา ก็อย่าใจร้อน แต่ถ้าพวกนั้นคิดที่จะต่อสู้ ก็เป็นหน้าที่ของเราที่จะต้องปกป้องเจ้าของบ้าน”

“เข้าใจแล้ว!” พนักงานรักษาความปลอดภัยเหล่านั้นขานรับหนักแน่น

โจวอี้เดินล้วงกระเป๋ากางเกงไปที่รถสองคันนั้น เขาเห็นว่าประตูรถถูกเปิดออกทีละบาน ก่อนที่วัยรุ่นเหล่านั้นจะลงมาจากรถ และถือแท่งเหล็กติดมือมาด้วย

จางจื่อเฉียง เดินนำออกมา เขาสวมแจ็กเก็ตหนัง เส้นผมของเขาถูกหวีจนเรียบแปล้ สีหน้าฉายแววเยาะเย้ยถากถาง

“ไอ้บ้า! แกนี่มันโง่จริง ๆ! แกกล้าออกมาได้ยังไง” เขาเชิดหน้าขึ้นถามโจวอี้

“คุณคือใคร?” โจวอี้ถามกลับ

“แกไม่มีสิทธิ์ที่จะรู้ว่าพวกเราเป็นใคร แกแค่ต้องบอกมาว่าวันนี้แกทำร้ายพี่สาวของฉันทำไม ที่สวนสัตว์นั่นน่ะ?!” จางจื่อเฉียงถามอย่างดุดัน

“แล้วพี่สาวคุณเป็นใคร?” โจวอี้แสร้งถามด้วยสีหน้าใสซื่อ

“อย่ามาทำเป็นโง่ เราอยู่ในสวนสัตว์มาหลายชั่วโมงแล้ว แกออกมาพร้อมกับยัยหนูตัวน้อยในอ้อมแขน แกทุบตีใครไปบ้าง จำไม่ได้หรือไง?!” จางซื่อเฉียงตะโกนด่าทออย่างโกรธเคือง

“อ๋อ…ผมจำได้แล้ว คุณหมายถึงทั้งสามคนในครอบครัวที่เอาแต่ร้องไห้และหัวเราะสินะ ใช่ ผมทุบตีพวกเขา เกิดอะไรขึ้นเหรอ พวกคุณอยากเป็นแบบพวกเขาเหรอ?” โจวอี้ถามด้วยรอยยิ้ม

“ไอ้เวรนี่ปากดี…!!!!”

จางจื่อเฉียงตวาด เขาถือแท่งเหล็กและเตรียมจะพุ่งไปทุบที่หัวของโจวอี้

ทว่าเมื่อแท่งเหล็กอยู่ห่างจากหัวของโจวอี้เพียงสองคืบ ชายหนุ่มก็ทุบเข้าที่ท้องของจางซื่อเฉียงด้วยหมัดหนัก ๆ

ในขณะที่อีกฝ่ายงอตัวลงและเซถอยหลัง โจวอี้ก็เตะเข้าที่แก้มอีกครั้ง และนั่นทำให้ร่างของอีกฝ่ายกระเด็นห่างออกไปหลายเมตรทันที

จางจื่อเฉียงกุมบาดแผลตัวเอง ก่อนจะหันไปด่าลูกน้อง “แค่ก ๆ! ไอ้พวกลูกหมา! แกจะรอให้ฉันโดนรุมจมกองเท้ามันหรือยังไง?!!”

“…เฮ้ย! พวกเราลุย!!”

“แต่…แต่พี่ใหญ่!”

“ไปหักขามัน! ให้มันต้องนั่งรถเข็นไปตลอดชีวิต!!”

“…”

ชายฉกรรจ์ที่เหลือตะโกนขานรับ และถือแท่งเหล็กกับมีดพร้าพุ่งมาหาโจวอี้

โจวอี้กำหมัดแน่นและเริ่มขยับกายทันที ดูเหมือนเขาจะไม่ได้ใส่ใจแท่งเหล็กและมีดพร้าพวกนั้น เขาจัดการคนเหล่านั้นด้วยหมัดหนัก ๆ ครั้งแล้วครั้งเล่าโดยปราศจากอาวุธในมือ

ผ่านไปเพียงสิบวินาที วัยรุ่นทั้งหกคนก็ถูกชายหนุ่มทุบตี

ในขณะที่จี้หมิงเฉินและเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยอีกสามคนเห็นคนเหล่านั้นดูเหมือนจะทำร้ายโจวอี้ พวกเขาจึงรีบไปที่นั่นโดยไม่ลังเล

ทว่าเมื่อพวกเขาไปถึงก็พากันชะงักและจ้องไปที่โจวอี้ราวกับเห็นผี บรรดาวัยรุ่นเจ็ดคนที่ล้มลงไปกองอยู่กับพื้นกำลังดิ้นไปมาและร้องไห้ด้วยความเจ็บปวด

พวกเขาสับสนเล็กน้อย นี่มันเป็นไปได้อย่างไร?

วัยรุ่นพวกนี้มีอาวุธเป็นแท่งเหล็ก แต่กลับถูกคุณโจวทุบตีได้ในเวลาไม่ถึงยี่สิบวินาที?

และไม่ใช่แค่สองหรือสามคน แต่จัดการไปได้ถึงเจ็ดคน!

โจวอี้เห็นกลุ่มเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยวิ่งเข้ามา ชายหนุ่มก็ยิ้มและพยักหน้าให้พวกเขา จากนั้นก็ยกขาเตะชายคนหนึ่งซึ่งกำลังดิ้นอยู่ที่พื้น

เขาเดินตามไปทุบตีคนที่เหลือทั้งหมดอย่างรุนแรง ก่อนจะนั่งลงข้าง ๆ จางจื่อเฉียง ตบหน้าของอีกฝ่ายจนเกิดเสียงดังลั่น แล้วเยาะเย้ยออกมาว่า “ความสามารถแค่นี้ยังกล้าตามผมมาแก้แค้นให้พี่สาวคุณอีกเหรอ? ไม่รู้จักประมาณตัวเองเอาซะเลย!”

จางจื่อเฉียงร้องไห้ด้วยความเจ็บปวด

เขาทำงานที่ไนต์คลับแห่งหนึ่ง ปกติแล้วเขามักจะรังแกคนธรรมดาที่ดูซื่อสัตย์และเป็นมิตร แม้แต่ในการต่อสู้แบบกลุ่ม เขาก็มักจะรังแกคนอื่น ๆ จนชนะ แต่เขาเพิ่งจะเคยพบคนอย่างโจวอี้ อีกฝ่ายกระทืบคนเจ็ดคนในระยะเวลาอันสั้นแบบนี้ได้อย่างไร?!

และที่โหดร้ายมากที่สุดก็คือ อีกฝ่ายไม่ต้องการที่จะปล่อยพวกเขาไปง่าย ๆ ชายหนุ่มคนนี้ได้เหยียบกระดูกหน้าแข้งของพวกเขาทีละคน

โจวอี้มองอีกฝ่ายที่กำลังเงียบ เขาแสร้งทำเป็นผิดหวังแล้วกล่าวว่า “พวกคุณเป็นคนเลว ผมเคย…ลืมมันไปเถอะ วีรบุรุษย่อมไม่พล่ามถึงความกล้าหาญของตัวเอง เปลืองน้ำลายจริง ๆ!”

“วันนี้ผมอารมณ์ดี ดังนั้นลงโทษพวกคุณแค่เล็กน้อยแล้วกัน แต่ถ้ายังต้องการแก้แค้นอีก อย่าลืมใช้สไนเปอร์หรือจรวดล่ะ เพราะปืนพกธรรมดาไม่สามารถทำอะไรผมได้”

“และแน่นอนว่าถ้ากล้าที่จะคุกคามความปลอดภัยในชีวิตของผม ผมไม่รังเกียจที่จะแก้แค้นอย่างบ้าคลั่ง แม้ว่าคุณจะหนีไปจนสุดขอบโลก ผมก็จะไล่ตามและฆ่าคุณซะ ชัดเจนพอไหม?”

จางจื่อเฉียงรู้สึกขนหัวลุก

คิดดูสิ นี่มันโหดร้ายแค่ไหน?!

ไม่ว่าพวกเขาจะมีความสามารถแค่ไหน พวกเขาก็คงไม่สามารถหาสไนเปอร์และจรวดมายิงได้!

ผู้ชายคนนี้นี่มันอะไรกัน? เขามาจากไหน? ไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับคนคนนี้มาก่อนเลย!

“ครับ ๆ ผมได้ยินชัดเจนแล้ว” จางจื่อเฉียงตอบรับเสียงสั่น

“ได้ยินชัดแล้วก็ไปให้พ้น ยังลุกขึ้นยืนได้ใช่ไหม? ถ้าทำไม่ได้ก็ปีนขึ้นรถไปสิ อย่าให้ผมเห็นพวกคุณอีก!” โจวอี้ยืนขึ้นโบกมืออย่างไม่แยแส ก่อนจะฮัมเพลงออกมา

ลุกขึ้นยืน…?

ลุกขึ้นยืนไม่ได้น่ะสิ!

พวกเขาพยายามอยู่หลายครั้ง แต่ทุกครั้งก็จบลงด้วยความล้มเหลว

แต่เมื่อมองสีหน้าท่าทางเย็นชาของโจวอี้ พวกเขากัดฟันและพุ่งไปที่ประตูปีนรถและตะเกียกตะกายขึ้นไป ลูกน้องอีกสองคนซึ่งทำหน้าที่ขับรถก็พยายามขับไปโรงพยาบาลทั้ง ๆ ที่ร่างกายยังคงเจ็บปวด

โจวอี้มองตามรถสองคันที่หายไปในระยะไกลแล้วหันกลับมา เขาพูดกับเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยทั้งสี่คนด้วยรอยยิ้ม “ผมซาบซึ้งในความเมตตาของคุณ ผมจะไม่พูดอะไรมาก คุณช่วยสละเวลาสำหรับตอนเย็นได้ไหม ผมจะซื้อหม้อไฟและเครื่องดื่มมาให้พวกคุณ”

จางจื่อเฉียงมองไปที่ลูกน้องตัวเองอีกสามคน เขาลังเลและกัดฟันพูดว่า “เราจะปล่อยให้พี่น้องคนอื่น ๆ ของทีมรักษาความปลอดภัยเข้ามารับช่วงต่อ”

“ถ้าอย่างนั้นมัวรออะไรอยู่ รีบเลิกงานแล้วมาดื่มกันดีกว่า!!”

“ดี!”

ขณะเดียวกัน ถังหว่านกำลังอุ้มลูกสาวไปที่ห้องนอนชั้นสอง และทันทีที่เธอวางลูกสาวลงบนเตียง เด็กน้อยก็ลืมตาขึ้นด้วยความงุนงง

“แม่?” ถังเหมียวเหมี่ยวลุกขึ้นนั่งทันที

“แม่กลับมาแล้ว สองวันมานี้เหมียวเหมี่ยวสบายดีไหม?” ถังหว่านถามด้วยรอยยิ้ม

“สบายดี! เหมียวเหมี่ยวสบายดีมาก!” ถังเหมียวเหมี่ยวหันมองไปรอบ ๆ และถามว่า “พ่อจ๋าอยู่ที่ไหน?”

“เขากลับไปแล้ว” ถังหว่านตอบ

“หนูไม่อยากให้พ่อกลับบ้าน พ่อสัญญาว่าจะเล่านิทานให้หนูฟัง เหมียวเหมี่ยวชอบพ่อจ๋ามากเลย! หนูอยากให้พ่อคุยกับหนู แล้วก็อยากกินอาหารที่พ่อทำ”

เด็กน้อยพูดออกมาและเริ่มร้องไห้