บทที่ 54 ของขวัญแสดงความเคารพ

ลวี่เหลียงกับโจวตงอยู่ไม่นานนัก พวกเขานำของขวัญมาให้หลี่จิ่วเต้า หลังเสร็จสิ้นภารกิจทุกอย่างก็ออกไปจากเมืองชิงซาน

“จะสุภาพไปแล้ว แค่มาให้ของขวัญแล้วก็ไปเนี่ยนะ??”

หลี่จิ่วเต้ามองว่าโลกผู้ฝึกตนนี้ไม่ได้โหดร้ายอย่างที่คิด อย่างน้อยบรรดาคนที่พบพานก็ดูสุภาพและไม่โหดร้าย

“ผู้ฝึกตนนี่ดีจริง ๆ มีโบราณวัตถุตั้งเยอะแยะ เจ้าสิ่งนี้ก็เป็นท่วงทำนองเพลงกู่ฉินที่เต็มไปด้วยอักขระโบราณ…”

ชายหนุ่มพลิกอ่านท่วงทำนองเพลงในมือ ซึ่งเป็นของขวัญจากโจวตง

อักขระโบราณและอักขระในปัจจุบันนั้นต่างกันมาก แต่โชคดีที่หลี่จิ่วเต้าไม่มีอะไรทำและรักการเรียนรู้ เขาจึงมีความรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรมโบราณ…โบราณเกินจะพรรณนาเชียวละ!

และท่วงทำนองเพลงกู่ฉินโบราณนี้ไม่คณามือเขาแต่อย่างใด

กระดาษท่วงทำนองเพลงนั้นหนักมาก มีสัมผัสอันพิเศษ และแผ่กลิ่นอายอันผันผวนของชีวิต

หลังจากอ่านจบ หลี่จิ่วเต้าก็ท่วมท้นไปด้วยความรู้สึกอันหลากหลาย บทเพลงกู่ฉินนี้ไม่ธรรมดา ทำนองกับจังหวะนั้นเยี่ยมยอด และถือได้ว่าเป็นผลงานชิ้นเอก

“แต่ก็ยังมีข้อบกพร่องเล็ก ๆ ละนะ”

ทักษะกู่ฉินของหลี่จิ่วเต้าอยู่ใน [ขั้นเทวะ] และมีความสามารถในการเข้าใจเสียงกู่ฉินที่สูง เขารู้สึกว่าบทเพลงกู่ฉินนี้ยังสามารถปรับปรุงแก้ไขให้ดีขึ้นอีกได้อีก

“ไหนขอลองปรับหน่อยซิ…”

ยามว่าง เขาก็ว่างจริง ๆ ชายหนุ่มเพียงปรับปรุงบทเพลงกู่ฉินนี้ และลองเล่นไปพลางเปลี่ยนไปพลางอย่างจดจ่อและจริงจัง

ระหว่างทางไปสำนักไท่หัว ลวี่เหลียงอดไม่ได้ที่จะถาม “ท่านบรรพชน บทเพลงกู่ฉินที่เรามอบให้ผู้อาวุโสผู้ยิ่งใหญ่นั้น มันไม่ต่างกับสอนปลาว่ายน้ำไปหน่อยหรือ…”

บทเพลงกู่ฉินที่ว่าไม่ธรรมดา มันมาจากซากโบราณสถานโดยเจ้าสำนักเมฆาลับฟ้าของพวกเขาเอง

แม้ว่าจะไม่สามารถเข้าใจท่วงทำนองเพลงในกระดาษ ทว่าพวกเขาก็รู้ว่าบทเพลงนี้คือสมบัติไม่ผิดแน่

ผ่านมาเนิ่นนานแล้วที่พวกเขาเก็บบทเพลงกู่ฉินไว้อย่างดี และไม่กล้าแม้แต่จะเผยข้อมูลเกี่ยวกับมัน

เครื่องครัวที่ผู้อาวุโสผู้ยิ่งใหญ่ใช้ล้วนทำมาจากทองคำ ปลาที่ใช้เลี้ยงแมวก็มาจากอาณาจักรเก้าตอนบน และอุปกรณ์ชงชาที่ใช้ก็เป็นสมบัติล้ำค่า

ด้วยเหตุนี้ บทเพลงที่มีค่าที่สุดในสายตาของพวกเขาไม่ควรค่าแก่การกล่าวถึงสำหรับผู้อาวุโสผู้ยิ่งใหญ่เลย ลวี่เหลียงรู้สึกว่าอาจหาญเกินไปที่จะให้บทเพลงนั้นแก่เขา

“เสี่ยวเหลียง แล้วเจ้าคิดว่าเราควรให้อะไร อะไรคือการสอนปลาว่ายน้ำเล่า”

บรรพชนของสำนักเมฆาลับฟ้าโจวตงถามกลั้วหัวเราะ

ลวี่เหลียงพูดไม่ออกเมื่อโจวตงถามออกมา

ก็จริง…

ด้วยขอบเขตของผู้อาวุโสผู้ยิ่งใหญ่ ไม่ว่าจะให้อะไรไปก็ไม่คุ้มที่จะกล่าวถึงเลย เกรงว่าสิ่งที่เข้าตาผู้อาวุโสได้จะต้องเป็นของระดับเซียนเสียแล้ว

ระดับเซียน…

ไม่ต้องพูดถึงการมอบให้เขา หากผู้อาวุโสไม่พามาเปิดหูเปิดตา เกรงว่าพวกเขาคงไม่มีโอกาสพบกับข้าวของระดับอาวุธเซียนเลยทั้งชีวิต

เซียนเป็นสิ่งที่พวกเขาไม่อาจแตะต้อง…

“เสี่ยวเหลียง ของขวัญเป็นเพียงการแสดงความเคารพให้เห็นถึงความตั้งใจของเรา ส่วนเรื่องของขวัญที่ผู้อาวุโสพึงพอใจจริง ๆ… เจ้าคิดอันใดอยู่ พวกเราไม่มีความสามารถนั้นเสียหน่อย”

โจวตงสอนลวี่เหลียงโดยบอกว่า “ด้วยความแข็งแกร่งของเรา มันยากมากที่จะได้ท่วงทำนองเพลงกู่ฉินนั้นมา ผู้อาวุโสผู้ยิ่งใหญ่ต้องรู้เรื่องนี้เช่นกัน และเข้าใจว่าเราเอาใจใส่จริง ๆ”

หลังจากที่ลวี่เหลียงได้ยินสิ่งที่โจวตงเอ่ย เขาก็ตระหนักได้ในทันที

ของขวัญเป็นเพียงวิธีการแสดงความเคารพและการอุทิศตนต่อผู้อาวุโสผู้ยิ่งใหญ่

ด้วยขอบเขตของผู้อาวุโส เขาย่อมไม่สนใจสิ่งที่พวกเขาให้ และไม่มีอะไรที่จะเข้าตาได้ ทว่าก็ต้องให้ไปเพื่อแสดงความเคารพ

ผู้อาวุโสผู้ยิ่งใหญ่จะเข้าใจเจตนานี้เช่นกัน

ขณะที่คุยกันพวกเขาก็มาถึงสำนักไท่หัว

“ใช่ ข้าได้พบกับชะตา และเหยียบย่างเข้าสู่ขอบเขตลิขิตชะตาแล้ว!”

เวิงอู๋โยวประหลาดใจนัก หลังจากสัมผัสได้ถึงขอบเขตของโจวตง

โจวตงแข็งแกร่งกว่าเขาแล้ว

ช่วงนี้พละกำลังของเขาถือว่ากล้าแกร่ง จากขอบเขตก่อกำเนิดเต๋าระดับแปดสู่ขอบเขตเบิกวิถีระดับเก้า ซึ่งเรียกได้ว่าไวมากนัก

แต่ก็ยังดีไม่เท่าโจวตงอยู่ดี

เขาไม่เคยเหยียบเข้าสู่ขอบเขตลิขิตชะตา แต่โจวตงได้เข้าสู่ขอบเขตลิขิตชะตาแล้ว

“เจ้าจะมาเทียบกับข้าได้อย่างไรเล่าตาแก่ ข้าไม่เพียงแต่พบชะตาตัวเอง แต่ยังเหนือกว่านั้นอีก ตอนนี้ข้าอยู่ขอบเขตลิขิตชะตาระดับเก้าแล้ว”

สีหน้าของโจวตงเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ เขาได้ดื่มชาเซียนแห่งการรู้แจ้งจากผู้อาวุโสแล้ว ทำให้ขอบเขตขั้นพลังของเขาเรียกได้ว่าห่างจากที่เวิงอู๋โยวจะเทียบได้

“อันใดนะ ขอบเขตลิขิตชะตาระดับเก้า!”

เวิงอู๋โยวตื่นตกใจยิ่ง ใบหน้าของชายชราเปี่ยมไปด้วยความอัศจรรย์ใจ

ขอบเขตของเขาต่ำกว่าโจวตงนั้นเป็นเรื่องจริง และทำได้เพียงสัมผัสถึงขอบเขตขอบเขตลิขิตชะตาเพียงหมิ่นเหม่อ อีกทั้งยังไม่คิดเลยว่าจะน่ากลัวที่มาถึงจุดสูงสุดของขอบเขตลิขิตชะตา!

“อันใดกัน… อนาคตข้าจะแข็งแกร่งกว่านี้อีกนะ!”

โจวตงยิ้มร่า

ผลลัพธ์ของชาเซียนแห่งการรู้แจ้งนั้นช่างน่าตื่นตาใจ ซึ่งมีประโยชน์อย่างไร้จุดจบ เพิ่มความสามารถความเข้าใจ และช่วยเปิดโลกใบใหม่แห่งการฝึกฝน

ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ความเร็วในการฝึกฝนของเขาจะเร็วกว่าเมื่อก่อนอย่างแน่นอน และความสำเร็จที่ทำได้ในอนาคตนั้นเป็นเรื่องเหนือจินตนาการ

“อย่าชะล่าใจไปเลยนะตาแก่ แม้ว่าข้าอาจไม่เก่งเท่าเจ้า แต่ภายภาคหน้าสำนักไท่หัวจะแข็งแกร่งกว่าสำนักเมฆาลับฟ้าอย่างแน่นอน!”

เวิงอู๋โยวยืดอกกล่าวอย่างภาคภูมิ

โจวตงหุบยิ้มแทบไม่ทันเมื่อได้ยินเช่นนี้

สำนักไท่หัวจะแข็งแกร่งกว่าสำนักเมฆาลับฟ้าได้หรือ… สำนักไท่หัวมีเซี่ยเหยียน แต่เซี่ยเหยียนนั้นเป็นที่เอ็นดูของอาวุโสผู้ยิ่งใหญ่

เดิมทีเขาต้องการโอ้อวดความสามารถของตนต่อหน้าเวิงอู๋โยวเสียหน่อย แต่คำพูดของเวิงอู๋โยวกลับเปรียบดั่งฝ่ามือที่ตบเรียกสติให้ตื่นจากภวังค์

“ไปทำธุระกันเถอะ!”

เขาเปลี่ยนเรื่องด้วยความโกรธ

ก่อนหน้านี้ได้นัดหมายกับเวิงอู๋โยวไว้ …เมื่อขอบเขตความแข็งแกร่งทั้งสองมากขึ้น พวกเขาจะไปสำรวจซากโบราณสถานอีกครั้ง

ตอนนี้ขอบเขตความแข็งแกร่งของพวกเขาเพิ่มมากขึ้นแล้ว ดังนั้นเขาจึงมาที่สำนักไท่หัว

“ข้าพร้อมแล้ว เพียงรอเจ้าอยู่เท่านั้น”

เวิงอู๋โยวยิ้มและออกจากสำนักไท่หัวไปกับโจวตง เพื่อไปซากโบราณสถาน

ลวี่เหลียงก็ติดตามไปด้วยเช่นกัน

เขาเองก็ดื่มชาเซียนแห่งการรู้แจ้ง ทำให้พละกำลังเพิ่มขึ้นยิ่งยวด ตอนนี้เขายังเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตเบิกวิถี และพลังก็ไม่อ่อนแอเลย

ส่วนด้านสำนักไท่หัวมีเวิงอู๋โยวเพียงคนเดียวเท่านั้น

นอกจากเวิงอู๋โยวแล้วก็ไม่มีผู้ใดแข็งแกร่งเลย หากพาไปก็จะเป็นตัวถ่วงเสียเปล่า และที่สำคัญเวิงอู๋โยวจะไม่พาใครไปที่นั่น

ในตอนเช้าของวันถัดไป แสงอาทิตย์สาดส่องประกายแสงนวลตา หลิงอินอาบน้ำแต่งตัวเพื่อจะไปหาหลี่จิ่วเต้า

นางเฝ้าหวีเรือนผมยาวสลวยหนึ่งคืนเต็ม และคิดว่าไม่น่าจะพบปัญหาอะไร จึงออกจากบ้านด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

“ข้าบอกให้ไปนัดดูตัวก็ไม่อยากไป ดูเสีย หลังจากได้พบท่านหลี่ ก็หลงใหลในตัวเขาเสียอย่างนั้น!”

แม่ของนางมองดูร่างของหลิงอินที่คล้อยหลังไป

คุณชายหลี่มีอำนาจมาก และความสามารถของเขาก็น่าทึ่งนัก ซ้ำยังหล่อเหลาอีกด้วย สาวเจ้าคนไหนเล่าจะไม่หลงใหล