ตอนที่ 45 ก้อนหินขจัดตัวปัญหา

เหนียงจื่อของคุณชายขี้โรค

ตอนที่ 45 ก้อนหินขจัดตัวปัญหา

“เชียนเสวี่ย เจ้าอยากให้ข้าไปด้วยหรือไม่” หนิงเซ่าชิงหยิบปิ่นปักผมในมือของคนร่างบางขึ้นพลางช่วยสอดปิ่นเข้าไปบนศีรษะ

ยามหันหน้าไปทางกระจก บนนั้นปรากฏภาพของร่างทั้งสองที่ยืนอยู่ คนหนึ่งงดงามนิ่มนวล อีกคนอ่อนโยนสง่างาม สายตามีเลศนัยต่างลอบมองกัน

มั่วเชียนเสวี่ยยิ้มอย่างรู้ทัน แน่นอนว่านางอยากให้เขาไปด้วยแต่หากตอบรับไปเช่นนั้นคงจะดูไม่สำรวม คงต้องหาคำพูดมาบอกปัดสักสองสองคำ “ท่านต้องไปโรงเรียนไม่ใช่หรือ อย่าละทิ้งหน้าที่ของตัวเองสิ!”

หนิงเซ่าชิงถูกปฏิเสธ มือที่กำลังเสียบปิ่นปักผมอยู่ก็พลันหยุดชะงัก ใบหน้าของเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อยพร้อมกับเผยรอยยิ้มที่ดูผิดหวังออกมา “ถ้าเช่นนั้น ก็ดูแลตัวเองด้วย…”

ทันทีที่บทสนทนาจบ หนิงเซ่าชิงก็หมุนตัวกลับแล้วเดินออกจากบ้านไป

เกิดอะไรขึ้น เขาจากไปทั้งอย่างนี้เลยหรือ

มั่วเชียนเสวี่ยไม่ได้ดีใจเลยแม้แต่น้อยกลับรู้สึกผิดหวังที่เขามีท่าทีเช่นนั้น จะเซ้าซี้เว้าวอนต่ออีกหน่อยก็ไม่ได้ ช่างเป็นคนที่ไม่ซื่อตรงกับหัวใจเอาเสียเลย

หลังเดินออกจากห้องโถง พบว่าหนิงเซ่าชิงไม่อยู่บ้านแล้ว ใจมั่วเชียนเสวี่ยราวตกลงไปที่ตาตุ่ม ร่างบางมองขึ้นไปบนท้องฟ้า แสงพระอาทิตย์ช่วงต้นฤดูหนาวค่อนข้างอบอุ่นแต่กลับมีสายลมเย็นอ่อนพัดผ่านเข้าไปที่หัวใจและปอด

หากไม่คาดหวังก็จะไม่ผิดหวัง!

ราวกับเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่ร่าเริงสดใส พร้อมด้วยตัวตลกที่ยื่นลูกโป่งหนึ่งลูกให้แก่นาง เด็กน้อยมีความสุขมาก แต่เมื่อลมพัดมา จู่ๆ เชือกของลูกโป่งก็ดันขาดทำให้ลูกโป่งลูกนั้นลอยจากไปในชั่วพริบตา มันลอยขึ้นไปบนท้องฟ้าและบินหายไป เหลือเพียงเด็กหญิงตัวน้อยที่ร้องไห้เสียใจตลอดทั้งวันที่ทำมันหลุดมือ

ในตอนนี้มั่วเชียนเสวี่ยพบว่านางก็คล้ายๆ กับเด็กหญิงตัวเล็กที่น่าเศร้าคนนั้น

นางเดินเชื่องช้าผ่านลานบ้าน สองมืออันเศร้าสร้อยผลักประตูให้เปิดออกแล้วปิดมันลงให้สนิทอย่างเลื่อนลอย

ทันทีที่นางเอี้ยวตัวกลับ ทันใดนั้นก็มีเงาสีดำพุ่งเข้ามาปะทะ ทำให้ร่างบางตกใจสะดุ้ง

“หนิงเหนียงจื่อ ท่านออกมาแล้วหรือ” มั่วเชียนเสวี่ยรู้จักคนผู้นี้ เขามีนามว่าหลิวเหล่าซวน

บุตรชายคนเล็กของเขาก็เป็นลูกศิษย์ของหนิงเซ่าชิง ครานั้นที่ได้รับข่าวว่าหนิงเซ่าชิงป่วย หลิวเหล่าซวนพาหลิวเป่าเฉียงผู้เป็นบุตรชายมาเยี่ยมเขาถึงสองครั้ง มั่วเชียนเสวี่ยรู้สึกซาบซึ้งในน้ำใจเป็นอย่างมาก นางเคยพูดกับหนิงเซ่าชิงว่าคนนี้เป็นคนที่มีมโนธรรม หากเป็นไปได้ก็อยากให้เขาช่วยดูแลบุตรของคนผู้นี้ให้ดี

หลังจากได้สติ มั่วเชียนเสวี่ยจึงจัดท่าทางของนางอย่างร้อนรน “อ๋อ พี่หลิวนั่นเอง อรุณสวัสดิ์”

“อรุณสวัสดิ์ๆ” หลิวเหล่าซวนเขินอาย ทำตัวไม่ถูก “หนิงเหนียงจื่อเชิญขึ้นรถก่อนเถิดแล้วค่อยคุยกัน อย่าได้ถือสาเกวียนวัวธรรมดาเล่มนี้เลยนะ”

“หือ?” มั่วเชียนเสวี่ยรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย

“ท่านอาจารย์หนิงเพิ่งบอกกับข้าเมื่อสองสามวันก่อนว่าให้ช่วยพาท่านไปที่ท่าเรือในวันนี้ ดังนั้นข้าจึงรีบมาที่นี่แต่เช้า กลัวว่าจะทำให้ท่านเสียเรื่อง”

หลิวเหล่าซวนมีท่าทีนอบน้อม ราวกับเขากำลังเผชิญหน้ากับท่านอาจารย์หนิงอยู่

มั่วเชียนเสวี่ยอึ้งกิมกี่ นึกถึงเมื่อกี้ตอนที่นางบ่นอุบน้อยใจในท่าทีของหนิงเซ่าชิงที่จากไปอย่างเมินเฉย ราวกับไม่รู้ว่าวันนี้นางมีเรื่องสำคัญต้องทำ ไม่มีให้แม้แต่กำลังใจ ตัดภาพมาที่เขาเตรียมการเอาไว้อยู่ก่อนแล้วต่างหาก ทันใดนั้นมั่วเชียนเสวี่ยก็รู้สึกหน้าแดงขึ้นมา ลมเย็นในใจของนางได้กลายเป็นกระแสลมอันแสนอบอุ่น ที่มุมปากเผยรอยยิ้มออกมาอย่างอดกลั้นไว้ไม่อยู่

แม้ไม่รู้ว่าสาเหตุของรอยยิ้มนั่นคืออะไร แต่หลิวเหล่าซวนเพียงคิดว่ารอยยิ้มของหนิงเหนียงจื่อผู้นี้ช่างน่ามองเสียจริง

ทั้งหมู่บ้านหวังจยามีเพียงบ้านอาซ้อจ้าวเท่านั้นที่มีรถม้า อาซ้อจางเป็นคนระดับไหนไม่มีใครไม่รู้ สามีนางยังเป็นพวกกลัวเมีย หากไม่มีเรื่องจริงๆ มั่วเชียนเสวี่ยไม่กล้าโดยสารรถม้าของพวกนางตัวคนเดียวหรอก

นางจำได้ว่าครั้งสุดท้ายที่เช่ารถม้าบ้านอาซ้อจางเพื่อนำผลงานแกะสลักไปส่งในตัวเมือง เมื่อกลับมา ดวงตาของอาซ้อจางมองจ้องมาที่นางครั้งแล้วครั้งเล่า คล้ายจะฉายแสงตัวนางให้เห็นถึงกระดูก ชวนให้ขนลุกนัก จึงไม่แปลกใจที่ทุกครั้งยามอาซ้อกุ้ยฮวาเห็นอาซ้อจาง นางมักจะหลบหน้าแล้วรีบเดินหนีไปเสมอ

แม้ว่ามั่วเชียนเสวี่ยจะไม่ได้กลัวนาง แต่หากมองย้อนกลับไปในวันนั้น นางก็ไม่อยากให้ใครมาฉายแสงบนตัวนางอีก

เกวียนวัวนี้ถูกใจนางมากกว่า มั่วเชียนเสวี่ยเคยพบเจออาซ้อหลิว นางเป็นคนมีน้ำใจยิ่ง

เกวียนวัวเล่มนี้สะอาด เห็นทีคงจะมีคนคอยล้างอย่างพิถีพิถัน เมื่อมั่วเชียนเสวี่ยขึ้นเกวียน หย่อนก้นลงพลางครุ่นคิดว่าคนในชนบทช่างน้ำใจงามเสียเหลือเกิน

เมื่อเห็นว่ามั่วเชียนเสวี่ยขึ้นเกวียน หลิวเหล่าซวนจึงทำตัวผ่อนคลายพลางกระโดดขึ้นเกวียนแล้วยกแส้ขึ้นบังคับให้วัวมุ่งตรงไปยังเส้นทางหลังเขา

หลังเกวียนวัวแล่นไปไกลแล้ว ขณะนั้นหลังต้นไม้ใหญ่นอกบ้านตระกูลหนิง ปรากฏร่างที่สง่างามหนึ่งเดินออกมาช้าๆ

คงมีแต่สวรรค์ที่รู้ว่าเขากินยาตัวไหนผิด เสนอตัวไปเป็นเพื่อนนาง เขายังแจ้งทางโรงเรียนว่าขอหยุดเรียน เพื่อธุระของนางในวันนี้โดยเฉพาะ

อย่างไรก็ตาม หญิงสาวผู้นี้ช่างไม่รู้จักรักษาน้ำใจกันเสียเลย ไม่เพียงแต่ไม่มีท่าทางที่ดีใจ ยังปฏิเสธคำเสนอของอย่างอย่างไร้เยื่อใย

เขาทำให้นางเสียหน้าหรืออย่างไร เหตุใดจึงรังเกียจเขาถึงเพียงนี้ หนิงเซ่าชิงมองไปยังเกวียนวัวที่ลับหายไปอย่างไร้ร่องรอย สีหน้าซับซ้อนแต่ท้ายที่สุดเขาก็กัดฟันเดินตามไปอย่างช่วยไม่ได้

ยามนี้พิษหนาวในร่างกายของเขาถูกระงับโดยยาแล้ว เขาจึงสามารถใช้พละกำลังได้หนึ่งถึงสองขั้น ทำให้ไม่ลำบากนักที่จะติดตามเกวียนจากระยะไกล

ระหว่างทางราบรื่นดี มั่วเชียนเสวี่ยชวนหลิวเหล่าซวนพูดคุยด้วยกันเป็นระยะ

ความเป็นจริงอาจจะไม่ได้เรียกว่าพูดคุยกันเสียทีเดียว ต้องเรียกว่ามั่วเชียนเสวี่ยเป็นคนคุยอยู่ฝ่ายเดียว ในขณะที่หลิวเหล่าซวนเพียงเอ่ยตอบรับคงจะเหมาะสมกว่า

ไม่นานทั้งสองก็นั่งมาจนถึงท่าเรือเทียนโยว หลิวเหล่าซวนจอดเกวียนแนบฝั่งท่าเรือพลางกล่าวขึ้นอย่างเขินอายว่าเพราะเขาเป็นห่วงวัว ดังนั้นจึงไม่สามารถติดตามนางเพื่อไปทำธุระต่อได้ แต่เขาจะคอยนางอยู่ตรงนี้

คำพูดของหลิวเหล่าซวนเต็มไปด้วยความจริงใจ ครั้นนึกถึงเส้นทางที่ยาวไกล ต้องข้ามป่าข้ามเขา การเดินทางที่แสนทรหดขนาดนี้ เขาและวัวก็คงเหนื่อยแย่ แม้ในใจอยากจะคิดแย้งขึ้นมาเพียงใดแต่ก็ต้องกลืนคำพูดนั้นกลับไป หลังกล่าวขอบคุณเสร็จ สองเท้าก็เดินตรงไปที่ท่าเรือทันที

วันนี้เป็นวันแรกที่ท่าเรือเทียนโยวเปิดพื้นที่ในการลงทุน บรรยากาศโดยรอบจึงครึกครื้นเป็นพิเศษ

สถานที่แห่งนี้ถือเป็นท่าเรือขนาดกลางเนื่องจากอยู่พาดผ่านระหว่างแม่น้ำตงจิงที่กว้างยาวและลึก สามารถรองรับการเดินเรือขนาดใหญ่ได้ ทั้งยังเป็นตำแหน่งที่แม่น้ำทั้งเก้าเมืองเดินทางมาบรรจบกัน แม้จะเพิ่งสร้างเสร็จแต่กลับมีเรือหลายลำเดินทางมาที่นี่เพื่อขนถ่ายสินค้าอย่างคึกคัก

เพียงแต่ด้วยความเป็นท่าเรือที่เพิ่งสร้างเสร็จได้ไม่นาน แม้ทั้งสองฝั่งจะมีคลังสินค้าเจ็ดถึงแปดหลัง แต่มีสะพานที่ค้ำยันยื่นออกไปท่าเรือเพียงหกแห่งเท่านั้น ระหว่างสะพานและเรือก็มีเพียงไม้กระดานแผ่นหนึ่งค้ำยันอยู่ด้วย พร้อมกับพนักงานขนสินค้านับสิบสวมเสื้อผ้าสั้นๆ กำลังบรรทุกสินค้าต่างๆ จากบนเรือขึ้นลงอย่างไร้ระเบียบ ช่างเป็นภาพที่แสนชุลมุนวุ่นวาย

ผู้คนขวักไขว่เดินสวนกันไปมาขึ้นลงบนไม้กระดานเดียวกัน บางคนขึ้น บางคนลง บางคนประมาทจนเป็นเหตุให้อีกคนกระเด็นตกน้ำก็มีให้เห็น

เมื่อเจ้าของสินค้าเร่ง ผู้รับผิดชอบดำเนินการขนส่งก็ต้องรีบรุดไปข้างหน้าเป็นธรรมดา โชคดีที่คนผู้นั้นว่ายน้ำเป็น หลังจากเพียงไม่กี่อึดใจเขาก็ปีนกลับขึ้นมาได้อีกครั้งแต่กลับพบว่าสินค้าชิ้นนั้นเปียกโชกไปเสียแล้ว

ความวุ่นวายดังกล่าวทำให้บรรยากาศปั่นป่วนมากขึ้นไปอีก ชายสองคนในชุดทางการสีน้ำเงินรีบวิ่งไปข้างหน้าเพื่อจัดแจงและไกล่เกลี่ยสถานการณ์ให้กลับเป็นปกติ แต่ก็ไร้ประโยชน์

จัดระเบียบได้แย่มาก! มั่วเชียนเสวี่ยถอนสายตาจากภาพตรงหน้า เรื่องวุ่นวายเช่นนี้ไม่ดึงดูดนางสักนิด ยังมีเรื่องสำคัญรอนางไปจัดการอยู่

ครั้นเข้าไปในบริเวณคลังสินค้าที่บนป้ายถูกเขียนว่า ‘อาคารสำนักงานจัดการท่าเรือ’ แต่กลับไม่พบใครอยู่ที่นั่น

ป้าคนหนึ่งเดินออกจากทางด้านหลังเมื่อนางได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวภายนอก ดูเหมือนจะเป็นป้าแม่บ้านของที่นี่ หลังจากเห็นว่าเป็นหญิงสาวนางหนึ่งที่เดินเข้ามาในอาคาร นางจึงโบกมือปัดเชิงขับไล่แล้วถอยกลับเข้าไปในห้อง

มั่วเชียนเสวี่ยลูบไปที่จมูกพลางหันหลังกลับออกไป ป้านี่ดูไม่เป็นมิตรและคงพูดคุยด้วยยาก หากลองไปถามไถ่คนที่ท่าเรือดูก็อาจจะไม่ใช่เรื่องยุ่งยากอะไร