ตอนที่ 46 ดอกไม้ ต้นหญ้า และสายลม

เหนียงจื่อของคุณชายขี้โรค

ตอนที่ 46 ดอกไม้ ต้นหญ้า และสายลม

มั่วเชียนเสวี่ยสืบเสาะถาม จนได้ความว่าพวกเจ้าหน้าที่ก็คือกลุ่มคนที่อยู่บนท่าเรือ นางจึงเดินเข้าใกล้ ยืนอยู่ข้างๆ ตอนแรกกะจะรอจนทางนั้นคลี่คลายเหตุการณ์ให้ได้ก่อนแล้วนางค่อยไปสอบถาม

แต่เมื่อรอไปสักพักใหญ่ๆ เจ้าของสินค้าก็จากไปพร้อมด้วยเจ้าพนักงานก็แยกย้ายกันไปแล้ว แต่ก็มีกลุ่มคนกรูกันเข้าไปอีก

มั่วชียนเสวี่ยไม่ต้องการรออีกต่อไปแล้ว นางจึงรีบก้าวไปข้างหน้า ขณะนั้นเกิดเหตุการณ์คนขนของชนกันขึ้นอีกครั้ง ร่างของเขาเซไปมาจนเกือบทำเจ้าหน้าที่ตกลงไปในน้ำ

มั่วเชียนเสวี่ยเร่งฝีเท้าก่อนจะคว้าแขนเสื้อที่ยกขึ้นของชายคนนั้นไว้

ด้วยแรงดึงของนาง ทำให้ชายคนนั้นถอยหลังกลับมาทรงตัวใหม่อย่างมั่นคงดังเดิม แต่หลังจากที่รอดมาได้หวุดหวิด เขากลับสะบัดแขนเสื้อด้วยท่าทางรังเกียจ ทั้งยังตรวจสอบแขนเสื้ออย่างระมัดระวังเพราะกลัวจะมีรอยขาดโดยไม่หันมองมามั่วเชียนเสวี่ยเลยแม้แต่น้อย

เจ้าหน้าที่ร่างผอมที่ยืนอยู่ข้างๆ ครั้นเห็นหญิงสาวแต่งตัวบ้านๆ คนหนึ่งที่แม้ว่าจะยังเด็กแต่กลับมีน้ำใจช่วยเหลือผู้อื่น ถึงจะถูกเพิกเฉยอย่างเลือดเย็นก็ยังทำท่าทีใจกว้าง ไม่แสดงความโกรธหรือความรำคาญออกมาสักนิด เขาคิดในใจพลางพยักหน้าอย่างชื่นชม

แม่นางผู้นี้ไม่ใช่หญิงชาวนาธรรมดา จะประมาทล่วงเกินไม่ได้เด็ดขาด นึกได้ดังนั้นเขาจึงก้าวไปข้างหน้าพร้อมกับเอ่ยขอบคุณมั่วเชียนเสวี่ยแทนเพื่อนร่วมงานของเขา “เมื่อครู่นี้ต้องขอบคุณเหนียงจื่อที่ช่วยเหลือ ไม่เช่นนั้นหากเขาตกน้ำไปคงซวยแย่ วันนี้อากาศหนาว คงได้ป่วยได้ไข้แน่”

มั่วเชียนเสวี่ยเห็นว่าเจ้าหน้าที่ผอมบางผู้นี้มีกิริยาสุภาพมาก เห็นแก่ความดีของเขานางจึงยิ้มออกมา “นายท่านช่างเป็นคนสุภาพ ข้าน้อยเพียงใช้แรงเล็กน้อยเท่านั้น ไม่ต้องถึงกับขอบคุณกันหรอกเจ้าค่ะ”

เมื่อพบว่ามั่วเชียนเสวี่ยตอบกลับมาอย่างนอบน้อม เขาจึงส่ายหัวพูดอย่างสุภาพ “ข้าไม่กล้าเป็นถึงนายท่านหรอก แซ่ของข้าคือถังเป็นหัวหน้าดูแลท่าเรือนี้ แม่นางเรียกข้าว่าผู้จัดการถังเถิด แล้วเหนีงจื่อล่ะชื่ออะไร”

“สามีข้าแซ่หนิงเจ้าค่ะ”

“หนิงเหนียงจื่อมาที่แห่งนี้ มีเรื่องอะไรให้พวกเราช่วยหรือ”

มั่วเชียนเสวี่ยจึงกล่าวตอบ “ข้ามีธุระจริงๆ เผอิญข้าต้องการซื้อที่ดินของที่นี่เพื่อสร้างภัตตาคารและเปิดห้างร้านเล็กๆ น่ะเจ้าค่ะ”

ก่อนที่ผู้จัดการถังจะเอ่ยตอบรับ เจ้าหน้าที่ร่างอ้วนก็พูดแทรกขึ้นเสียก่อน “เจ้าฝันไปหรือเปล่า ซื้อที่ดิน? สร้างภัตตาคาร? ยังจะเปิดห้างร้านอีก?”

ดูเหมือนว่านี่จะเป็นเรื่องที่ตลกที่สุดเท่าที่เขาเคยได้ยินมา เจ้าหน้าที่ร่างอ้วนพูดพลางชี้นิ้วไปที่มั่วเชียนเสวี่ยอย่างตำหนิและเยาะเย้ย “ช่างกล้าคิดการใหญ่ถึงเพียงนี้ หญิงชาวนาธรรมดาเช่นเจ้าน่ะหรือ บ้าไปแล้ว รีบไปซะ อย่ามาขัดขวางการทำงานของพวกข้า”

มั่วเชียนเสวี่ยขมวดคิ้วและหงุดหงิดเป็นอย่างมาก ดวงตาคนผู้นั้นฉายแววรังเกียจ จนนางอยากจะเอาเงินออกมาปิดตาเขาไว้เสียเดี๋ยวนี้

คนผู้นี้น่ารำคาญจริงๆ ไม่เพียงแต่ไม่ปฏิบัติหน้าที่แล้ว ยังหัวเราเยาะนางอีก

นางกำลังถูกเข้าใจผิด แต่เนื่องจากต้องพึ่งพวกเขา นางจึงไม่อาจเบือนหน้าหนีได้ในตอนนี้

ผู้จัดการถังที่เห็นสีหน้าของมั่วเชียนเสวี่ยดูท่าทางไม่ดี สายตาของเขาก็เผยความรำคาญออกมาแวบหนึ่ง เขาไม่ชอบให้ใครมาพูดแทรกเช่นนี้ หากแต่คนผู้นี้เป็นหลานชายของของหัวหน้ากุนซือในเมืองของชังโยวเขาจึงไม่สามารถกล่าวโทษได้มากนัก ทำได้เพียงเกลี้ยกล่อมเขาอย่างใจเย็นเท่านั้น “ผู้จัดการอวี๋ พูดเช่นนั้นได้เยี่ยงไร…”

“สตรีฟั่นเฟือน ผู้จัดการถัง…โอ้ยยย”

ทันใดนั้นก็มีก้อนหินลอยมาตกกระทบลงบนหน้าผากของเขาอย่างจัง บนใบหน้าปรากฏรอยสีแดงก่ำที่เกิดจากการถูกของแข็งชิ้นนั้นกระแทกพร้อมกับเลือดที่ไหลออกมา

ฟ้ามีตา! มั่วเชียนเสวี่ยอดไม่ได้ที่จะมองขึ้นไปบนท้องฟ้าแล้วหัวเราะ

นางยิ้มเพียงในใจและพยายามสกัดกลั้นไม่ให้มันเผยออกมาบนใบหน้า ช่างอึดอัดอะไรเช่นนี้ มั่วเชียนเสวี่ยเบนสายตามองไปที่เรือบรรทุกสินค้าลำหนึ่งเพื่อสงบสติอารมณ์ แต่ที่มุมปากกลับกระตุกไปมาพร้อมกับท่าทางที่กำลังฝืนหุบยิ้มจนแทบหายใจไม่ออก

ด้วยความตื่นตระหนก ผู้จัดการอวี๋จึงเลิกสนใจมั่วเชียนเสวี่ย ขณะจับหน้าผากที่เปื้อนเลือดก็พลางมองไปรอบๆ แล้วสบถออกมา “นั่นใครวะ ออกมาเดี๋ยวนี้”

ต้องเป็นคนคนงานที่อยู่บริเวณใกล้เคียงที่ถูกเขาด่ากราด ต่อหน้าไม่เปล่งเสียงใดๆ ออกมา แต่กลับลอบทำร้ายเขา มือข้างหนึ่งกุมหัวของตนเองพร้อมกับสายตาที่สอดส่ายไปทั่วเรือบรรทุกสินค้า “ไอ้พวก…”

คำว่า ‘เวร’ ยังไม่ทันถูกพ่นออกมา จู่ๆ หินอีกก้อนก็บินโฉบมาจากฟากฟ้า คราวนี้เป็นปากของเขาที่โดนกระแทกเข้าไปเต็มแรง มั่วเชียนเสวี่ยที่ได้ยินการเคลื่อนไหวนั้นก็หันขวับกลับมา จากนั้นฟันหน้าของเขาก็หลุดออกมาเสียงดังปัก ไม่นานที่ปากนั่นก็เต็มไปด้วยเลือด

คราวนี้มั่วเชียนเสวี่ยก็ตกใจเช่นกัน แต่หลังจากนั้นดวงตาก็เผยรอยยิ้มออกมาอย่างได้ใจ

คนปากปีจอนี่ไปก่อเรื่องกับใครตั้งแต่เช้าตรู่กันนะ?

อย่างไรก็ตาม คนผู้นี้ทำให้นางสะใจยิ่งนัก หินสองก้อนนี้ก็ช่างแม่นยำเสียจริง อารมณ์ดียิ่งนัก

ในป่าซึ่งอยู่ไม่ไกลจากท่าเรือ มีเงาสง่างามร่างหนึ่งกำลังนั่งอยู่บนกิ่งไม้ เมื่อมองดูสถานการณ์จากฝั่งนี้ ใบหน้าของเขาขุ่นมัวพร้อมกับสองมือเล่นก้อนกรวดอย่างเพลิดเพลิน ครั้นเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของมั่วเชียนเสวี่ย เพียงเท่านี้ก็ทำให้ริมฝีปากของเขายกยิ้มขึ้น

ยามนี้ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยเลือด ดูสยดสยอง ผู้จัดการอวี๋กรีดร้องราวกับคนบ้าคลั่ง

คนร่างท้วมมองไปรอบๆ เมื่อไร้ร่องรอยผู้ต้องสงสัย เขาจึงหุบปากอย่างรู้ทัน ดูท่าแล้ว แม้นจะไม่อยากหุบปาก แต่ก็คงพูดไม่ได้ศัพท์จับไม่ได้ความแล้ว

ดูเหมือนเขาจะกลัวว่าสิ่งที่พุ่งมาในครั้งต่อไปอาจกลายเป็นก้อนหินขนาดใหญ่ที่สามารถบดหัวของเขาได้ในทันที ผู้จัดการอวี๋จึงใช้มือข้างหนึ่งบังหน้าผาก ส่วนอีกข้างก็ใช้ปิดปากของเขา บัดนี้เขาทั้งตกใจ กลัว และเหี้ยมโหด สีหน้าต่างๆ ถูกเผยออกมาให้เห็นจนหมด พลันสาวเท้าจากไปอย่างรวดเร็ว

ทันทีที่เขาเดินจากไป มั่วเชียนเสวี่ยก็เก็บรอยยิ้มนั้นทันที ในขณะที่ร่างบางกำลังเฝ้าสังเกตความโกลาหลระหว่างเรือบรรทุกสินค้ากับท่าเทียบเรืออยู่นั้น สายตาก็ลอบสำรวจผู้จัดการถังผู้นี้ไปด้วย เมื่อเห็นว่าดวงตาของเขาเปี่ยมไปด้วยความซื่อตรงนางจึงรู้สึกดีขึ้นมาพลางคิดว่าในภายภาคหน้าหากต้องการมิตรไมตรียามตั้งรกรากที่นี่ คงจะดีไม่น้อยถ้ามีเขาคอยช่วยดูแล

มั่วเชียนเสวี่ยพบสาเหตุของความโกลาหลในท่าเรือครั้งนี้อยู่นานแล้ว จึงเอ่ยแนะนำอีกฝ่าย “ท่านผู้จัดการถัง ข้าเห็นว่าคงมีเหตุผลเดียวเท่านั้นที่ทำให้เกิดความวุ่นวายในการขนถ่ายสินค้า”

คำพูดกะทันหันดังกล่าวทำให้ผู้จัดการถังผู้นี้ประหลาดใจในท่าทีสงบเงียบของหญิงสาวตรงหน้าเขา นางอาจจะเกิดความคิดดีๆ ขึ้นมาก็เป็นได้ เมื่อนึกได้ดังนั้นเขาจึงเอ่ยถามกลับอย่างสุภาพ “สาเหตุนั้นคืออะไร หนิงเหนียงจื่อช่วยบอกข้าที”

มั่วเชียยนเสวี่ยชี้ไปยังท่าเรือที่อยู่ติดกับแม่น้ำ พลางกล่าวตอบอย่างไม่เร่งรีบ “อันที่จริง ท่าเรือแห่งนี้ถูกวางระบบไว้ยอดเยี่ยม เมื่อเรือทุกลำถูกบังคับให้หยุด เรือหนึ่งลำจะสามารถครอบครองพื้นที่ได้ถึงสองฝั่งสะพาน แม้กระดานไม้จะมีขนาดกว้างมาก แต่ก็ไม่เพียงพอสำหรับแรงงานขนย้ายที่ต้องเดินขึ้นลง ดังนั้นการที่พวกเขากำลังหาบสินค้าอยู่นั้นจึงมักเกิดความไม่เสถียรอยู่บ่อยครั้ง เหตุใดท่านจึงไม่แก้ไขโดยการเพิ่มไม้กระดานเป็นสองแผ่น โดยแผ่นหนึ่งใช้ในยามขาขึ้นและอีกแผ่นใช้ในยามขาลง ทั้งไม่ส่งผลกระทบระหว่างการขนถ่ายสินค้า ทุกคนจะปลอดภัยและปราศจากข้อพิพาท บางทีการใช้วิธีนี้อาจจะเป็นการย่นระเวลาได้เร็วขึ้น เพิ่มกระดานหนึ่งแผ่นแต่ได้ข้อดีตั้งมาก”

หลังจากได้ฟังคำพูดของมั่วเชียนเสวี่ยแล้ว ผู้จัดการถังก็เริ่มคิดเล็กน้อย เขารู้สึกว่าทุกอย่างที่หญิงสาวผู้นี้กล่าวมานั้นสมเหตุสมผล เขาจึงสอดมือประสานไว้ที่หน้าอกแสดงความนับถือต่อนางพลางตอบรับ “หนิงเหนี่ยงจื่อมีความคิดที่ยอดเยี่ยมจริงๆ เจ้าคอยอยู่ที่นี่สักพักเถิด ข้าจะรีบจัดการเรื่องทุกอย่างตามคำแนะนำโดยเร็ว จากนั้นเรามาคุยเรื่องที่ดินกัน”

“ผู้จัดการถังไปทำธุระเถิด ข้าว่าจะขอเดินชมท่าเรือแห่งนี้สักหน่อย เมื่อเสร็จธุระแล้วค่อยไปพบท่านที่สำนักงานจัดการท่าเรือ”

หากมีเขาคอยชี้แนะแนวทางให้ งานเพิ่มไม้กระดานเท่านี้คงจะเสร็จสิ้นโดยเร็ว นางไปรอเขาที่สำนักงานจัดการท่าเรือในตอนนี้เลยแล้วกัน

ทั้งนี้ลมที่นี่แรงมาก คงไม่คุ้มที่จะมายืนตากมลภาวะให้ผิวของนางโดนทำร้ายเล่นๆ สมัยก่อนนี่ช่างไม่ดีเอาเสียเลย ไม่มีครีมบำรุงผิว คราวหน้าหากได้กลับเข้าเมืองอีกครั้งนางคงต้องแวะซื้อเครื่องประทินโฉมมาใช้เสียหน่อยแล้ว เกรงว่าถ้าอากาศยังหนาวอยู่แบบนี้ ใบหน้าขาวเนียนมีหวังถูกทำลายจนป่นปี้แน่