ตอนที่ 30 พลังประหลาดของพระชายา
“กราบทูล!” เสียงองครักษ์ดังขึ้นมาจากนอกรถม้า “สตรีคนนั้นกลับถึงตำหนักอ๋องหลี่ชินอย่างปลอดภัยแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“ตำหนักอ๋องหลี่ชิน?”
“พ่ะย่ะค่ะ นางคือพระชายาอ๋องหลี่ชินที่เพิ่งแต่งงานกันได้ไม่นาน เป็นลูกสาวขแห่งจวนมหาเสนาบดีฉิน นามฉินปู้เข่อพ่ะย่ะค่ะ”
ชายาอ๋องหลี่ชิน?!
หมี่เฉินอี่นัยน์ตาลึกล้ำยากหยั่งถึง หลายวันก่อนเขาเคยได้ยินเรื่องแต่งงานครั้งนี้อยู่
ดูแล้วองค์รัชทายาทจะไม่ใช่หลานชายที่ยอมอยู่เฉย ๆ เลย ทำร้ายเขาที่เป็นท่านอาไม่พอ กระทั่งลักพาตัวคู่หมั้นที่ตนเองเคยละทิ้งไปด้วย
ณ ตำหนักอ๋องหลี่ชิน
ซวงหวนยืนรออยู่หน้าตำหนักมาหลายชั่วยามแล้ว
เดิมทีนางคิดว่าเป็นการทดสอบของท่านอ๋อง หลังจากปะทะกันได้ไม่กี่กระบวนท่าชายชุดดำเหล่านั้นก็ล่าถอยไปอย่างรวดเร็ว
เมื่อกลับมาถึงตำหนักนางถึงได้รู้ว่าไม่ได้ส่งผู้ใดไปทดสอบพระชายาอีก
เดิมทีท่านอ๋องตั้งใจจะส่งคนไปตามหาพระชายา แต่หลังจากเห็นอาวุธลับที่นางมอบเอาไว้ก็สั่งให้รอก่อน เรื่องช่วยเหลือพระชายาจึงจบไปโดยปริยาย
ฉินปู้เข่อเห็นซวงหวนวิ่งมาหานางด้วยความร้อนใจ และกอดนางพร้อมทั้งร้องไห้ออกมาด้วยความตื้นตัน
“พระชายา บาดเจ็บหรือไม่เพคะ” ซวงหวนเห็นร่างกายที่เต็มไปด้วยคราบเลือดก็เกิดความกังวลใจขึ้น หญิงสาวจับแขนจับขานางสำรวจอยู่หลายหน หลังจากมั่นใจแล้วว่านางไม่เป็นไรถึงเช็ดน้ำตา
ภายในห้องหนังสือ ข่าวที่ฉินปู้เข่อกลับมาอย่างปลอดภัยถูกรายงานแก่ท่านอ๋อง
หมี่โม่หรู่ถืออาวุธลับในมือด้วยสีหน้านิ่งเฉยไม่รู้ว่ากำลังคิดถึงสิ่งใดอยู่ ความผิดหวังและหงุดหงิดได้ถาโถมเข้ามาในใจอย่างไม่ทราบสาเหตุ
เขาหนีบอาวุธลับไว้ที่ปลายเล็บ ออกแรงเพียงเล็กน้อย อาวุธลับที่แข็งแรงก็เกิดงอขึ้นในทันใด
นางเป็นคนขององค์รัชทายาทนั่นคือสิ่งที่เขาคิดมาตลอด หากแต่ตอนนี้นางออกจากค่ายนักฆ่าขององค์รัชทายาทได้อย่างปลอดภัย ยิ่งเป็นข้อพิสูจน์ได้
แต่นาทีนี้เขากลับหวังให้สิ่งนี้ไม่ใช่ความจริง
“เจ้าเจ็ด ดูเหมือนว่าชายาของเจ้าจะเป็นคนขององค์รัชทายาทจริง ๆ เจ้าตั้งใจจะจัดการอย่างไรต่อไป”
หมี่ฉงเอ่ยขึ้นทำลายความเงียบ เขาดูออกว่าท่าทีของเขาที่มีต่อพระชายานั้นแตกต่างออกไป
เมื่อก่อนหากสนมในตำหนักถูกเปิดเผยตัวตนว่าเป็นสายสืบ จะต้องถูกลงโทษรุนแรงในทันที แต่ตอนนี้เวลาผ่านไปหนึ่งก้านธูปแล้ว เจ้าเจ็ดยังไม่พูดอะไรสักคำ
“หากรู้ว่าเจ้าจะใส่ใจกับเรื่องนี้ ข้าน่าจะสืบเรื่องอาวุธลับนี้ให้รู้เรื่องในเร็ววัน” หมี่ฉงโทษตนเอง เขาแค่ไปสืบเรื่องรังนักฆ่าขององค์รัชทายาทมาไม่กี่วัน ก็เกิดเรื่องมากมายขนาดนี้ในตำหนักอ๋องหลี่ชิน
สิ้นเสียงเขา ประตูห้องหนังถือก็ถูกใครบางคนถีบออก
“หมี่โม่หรู่ ท่านไม่อยากแต่งงานกับข้าไม่เป็นไร ไม่ชอบข้าก็ไม่เป็นไร อย่ามาแกล้งแสดงท่าทีมีมารยาทและใส่ใจ แต่ลับหลังใช้ฝีมือชั้นต่ำมาทดสอบข้า”
ฉินปู้เข่อกล่าวด้วยน้ำตานองหน้า ท่าทางของนางดูโกรธเคือง
จะว่าไปแล้วก็น่าสงสัยเล็กน้อย เดิมทีนางไม่เอะใจเลยแม้แต่น้อยว่าตำหนักอ๋องหลี่ชินไม่ส่งคนไปตามหานางจะเป็นเรื่องผิดปกติอะไร
แต่ตอนที่นางกอดซวงหวนและร้องได้ออกมาด้วยความดีใจ กลิ่นอันแสนคุ้นเคยก็ลอยออกมาจากผมของซวงหวนแตะเข้าที่ปลายจมูกของนาง จากนั้นน้ำตาก็ไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว
ในขณะที่นางกำลังรู้สึกสงสัย สีหน้าของซวงหวนก็ได้อธิบายทุกอย่างหมดแล้ว
ตอนแรกนางยังไม่อยากเชื่อ แต่ตลอดทั้งทางที่ผ่านมาผมของอู๋เยว่ เสื้อของอู๋หินต่างมีกลิ่นเดียวกัน
กลิ่นผงบ๊วยดองหลั่งน้ำตาที่นางยิงด้วยหนังสติ๊กยิงนกเมื่อเช้า
ในเมื่อเรื่องดำเนินมาถึงจุดนี้แล้ว นางก็คร้านจะแสดงอีกต่อไป กุลสตรีอะไรกัน อ่อนโยนสง่างามอะไร ล้มเลิกมันไปให้หมด!
“ข้ายอมรับว่าครั้งแรกที่ข้าเห็นท่าน ข้ารู้สึกชอบท่านจริง ๆ หลายวันมานี้ข้าคิดเพียงแต่จะทำอย่างไรเพื่อให้มีภาพลักษณ์ที่ดีในสายตาท่าน แต่สุนัขคลั่งรักเช่นข้าไม่ได้จะยอมให้ท่านปั่นหัวเล่นได้เช่นนี้!”
“เมื่อกลางวันข้าเอาแต่เป็นห่วงความปลอดภัยของท่าน คิดว่าเป้าหมายของนักฆ่าพวกนั้นคือท่าน ท่านคงจะอยู่อย่างน่าเบื่อสินะ เมื่อกลางวันข้าไม่หลงกลท่าน กลางคืนก็ลงมือซ้ำอีกรอบ ทดสอบข้าถึงสองคราในวันเดียว สนุกนักรึ?!”
ฉินปู้เข่อพูดไปพร้อมเขวี้ยงเสี่ยวหลงเปาในมือใส่หมี่โม่หรู่
นางกำลังเอาหัวใจไปให้เขาฉีกเล่นชัด ๆ คืนนี้ผ่านไปอย่างน่าหวาดหวั่นแต่นางยังคิดว่าจะนำของอร่อยกลับมาแบ่งกับเขา
หมี่ฉงที่อยู่อีกด้านไม่ทันมองว่าสิ่งที่ลอยมาคือสิ่งใด เขายกขาเตะห่อกระดาษกระเด็นก่อนจะฟาดฝ่ามือไปที่หน้าของฉินปู้เข่อ
“บังอาจทำร้ายอ๋องหลี่ชิน!”
ฉินปู้เข่อบีบข้อมือของหมี่ฉงและดึงเข้ามาในอ้อมอกตนเอง ก่อนจะจับช่วงท้องเขาและทุ่มหมี่ฉงลงกับพื้น
“ทำร้ายงั้นรึ ในสมองพวกท่านมีแค่สองคำนี้หรืออย่างไร คนเป็นท่านอ๋องอย่างพวกเจ้าเป็นโรคคิดไปเองว่าจะถูกทำร้ายตลอดเวลารึ”
ฉินปู้เข่อนำช็อคโกแลตพลังมหาศาลออกจากระบบและกลืนเข้าท้อง ก่อนจะรีบก้าวไปข้างหน้าหิ้วเก้าอี้ของหมี่โม่หรู่และเดินออกไปด้านนอก
“หมี่โม่หรู่ เจ้าอยากทดสอบข้านักใช่ไหมว่าข้าเป็นวรยุทธหรือเปล่า เช่นนั้นข้าจะแสดงให้ดู”
เก้าอี้หนัก 200 กว่าจินที่ทำด้วยไม้หนานมู่เนื้อทองบวกกับแผ่นทองแดง มิหนำซ้ำยังมีหมี่โม่หรู่หนัก 50 จินนั่งอยู่บนนั้นด้วย มวลรวมหนัก 400 กว่าจิน แต่ฉินปู้เข่อกลับยกขึ้นเหนือหัวได้อย่างง่ายดาย
เนื่องจากกิน ‘ยาเพิ่มพลัง’ เข้าไปตอนนี้กำลังของฉินปู้เข่อเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม 10 เท่า ความรวดเร็วในการเคลื่อนไหวก็น่าตกตะลึง
เวลา 2 เค่อหลังจากนั้น ฉินปู้เข่อก็ช่วยให้หมี่โม่หรู่ได้มีประสบการณ์ราวกับรถไฟเหาะในยุคปัจจุบันอันหวาดเสียวอย่างรวดเร็วด้วยมือของนางเอง…
หมี่ฉงและองครักษ์เงาต่างเคลื่อนไหวไม่หยุด พยายามหาโอกาสลงมือช่วยแต่ก็ไม่มีเลย
“ติ๊ง! ช็อคโกแลตพลังมหาศาลใกล้จะหมดฤทธิ์แล้ว”
เสียงของระบบดังขึ้นมา ฉินปู้เข่อจึงลดความเร็วลงในที่สุดและเขวี้ยงเก้าอี้ลากไปที่กำแพง
ตู้มม…
กำแพงด้านหนึ่งโดนกระแทกจนถล่มลงมา