บทที่ 41 ข้าต้องการยกเลิกการหมั้น

องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที!

คำตอบของเฮ่อเหลียนเวยเวยจะเป็นเช่นไรนั้น ล้วนแต่อยู่ในการคาดเดาของทุกคนทั้งสิ้น อย่างไรเสียหนุ่มโสดชั้นเลิศที่มีความโดดเด่นทั้งรูปร่างหน้าตา และชาติตระกูลอย่างมู่หรงฉางเฟิงก็ใช่ว่าจะหากันได้ง่ายๆ ในเมืองหลวง ยิ่งกว่านั้นนางเองก็อยากแต่งงานกับเขามาโดยตลอด ด้วยเหตุนี้ทุกคนจึงไม่แปลกใจ พวกเขายื่นมือออกไปช่วยฉุดให้เจียวเอ๋อร์ลุกขึ้น  

 

 

แต่ทันใดนั้น เฮ่อเหลียนเวยเวยก็เอ่ยขึ้นอีกครั้ง นางยืนอยู่กลางสนามโดยใบหน้าที่ไร้การแต่งเติม แขนเสื้อของนางโบกสะบัด ดวงตามองตรงไปยังมู่หรงฉางเฟิง ขณะเอ่ยขึ้นอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า “แต่ข้าต้องการยกเลิกการหมั้นนั้น”  

 

 

คำพูดอันราบเรียบนั้นราวกับสายฟ้าที่ฟาดลงมากลางฝูงชน  

 

 

ทุกคนตกตะลึงจนหยุดเคลื่อนไหวไปตามๆ กัน พวกเขามองตรงไปยังเฮ่อเหลียนเวยเวยอย่างไม่เชื่อสายตา ดวงตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความประหลาดใจ  

 

 

เฮ่อเหลียนเวยเวยยังคงเยือกเย็นเฉกเช่นเดิม “น้องรองย้ำอยู่เสมอว่าที่ข้าเกลียดชังนางก็เพราะท่าน ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ต่อไปนี้ซื่อจื่อเองก็ไม่จำเป็นต้องทำอะไรลับๆ ล่อๆ อีกแล้ว ตราบใดที่ท่านยอมยกเลิกการหมั้นกับข้า ข้าก็จะช่วยให้พวกท่านได้สมปรารถนาเอง”  

 

 

มู่หรงฉางเฟิงขบกรามเข้าหากัน ร่างกายของเขาแข็งทื่อ ดวงตาของเขาจับจ้องไปที่นางอย่างไม่ละสายตา ขณะพยายามข่มคลื่นความโกรธเอาไว้ จู่ๆ ผู้หญิงคนนี้ก็คิดที่จะ…  

 

 

“ซื่อจื่อไม่พูดอะไร แปลว่าท่านน่าจะเห็นด้วยสินะเจ้าคะ” เฮ่อเหลียนเวยเวยสบตากับเขาแล้วหัวเราะเยาะออกมา  

 

 

หากไม่ใช่เพราะคำพูดของมู่หรงฉางเฟิงในวันนี้ นางก็คงจะไม่รู้ว่าหนังสือแต่งงานฉบับนี้ยุ่งยากเพียงใด  

 

 

การแต่งงานที่ได้รับพระราชทานจากฮ่องเต้ หากไม่มีเหตุผลอะไรเป็นพิเศษ ก็คงไม่มีทางยกเลิกได้ง่ายๆ  

 

 

แต่ในเมื่อมู่หรงฉางเฟิงต้องการขอร้องนางเพื่อเฮ่อเหลียวเจียวเอ๋อร์ของเขา เช่นนั้นเขาก็ต้องจ่ายค่าตอบแทนให้กับนางด้วย  

 

 

แค่คำว่า ‘ให้อภัย’ เพียงคำเดียว ก็คุ้มค่าที่จะแลกกับอิสรภาพในอนาคตของนางแล้ว!  

 

 

“เจ้า… ดี ดียิ่งนัก! เฮ่อเหลียนเวยเวย เจ้านี่มันยอดเยี่ยมจริงๆ!” มู่หรงฉางเฟิงสะบัดแขนเสื้อยาวๆ ของเขา เสี้ยวหน้าของเขาเย็นชาเป็นน้ำแข็ง ราวกับรูปสลักที่เพิ่งโผล่ขึ้นมาจากแผ่นดินอันเย็นเฉียบ  

 

 

ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่เขา มู่หรงฉางเฟิง ต้องกลายเป็นคนที่ถูกส่งเข้าพิธีแต่งงาน แต่กลับถูกปฏิเสธ  

 

 

ยิ่งกว่านั้น นางยังถึงกับผลักไสเขาไปหาผู้หญิงคนอื่นอีกด้วย!  

 

 

ความโกรธเป็นปฏิกิริยาแรกที่เขามี หากไม่ใช่เพราะมีสายตามากมายจับจ้องอยู่ เขาคงจะบีบคอนางจนตายด้วยมือของเขาไปแล้ว!  

 

 

คนที่ชอบเขาก็คือนางมิใช่หรือ  

 

 

แต่ตอนนี้นางถึงกับผลักไสเขาออกไป…  

 

 

หือ ผู้หญิงคนนี้คิดจริงๆ หรือว่าเขาจะไม่ลงมือกับนาง!  

 

 

เฮ่อเหลียนเวยเวยขมวดคิ้วเรียวได้รูปของตนเข้าหากันเล็กน้อย นางนึกไม่ถึงเลยว่ามู่หรงฉางเฟิงจะแสดงท่าทีเช่นนี้ออกมา เห็นได้ชัดว่าคนที่ไม่อยากแต่งงานก็คือเขาต่างหาก  

 

 

นางยังไม่ลืมว่าหากไม่ใช่เพราะหนังสือยกเลิกแต่งงานของเขา เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์กับเฮ่อเหลียนเหมยก็คงไม่กล้าทุบตีนาง แล้วโยนนางลงแม่น้ำ  

 

 

ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ใช่ผู้กระทำ แต่เขาก็ไม่เคยช่วยนางเลยสักครั้งเดียว  

 

 

ตั้งแต่ต้นจนจบ เขาทำเพียงมองนางด้วยสายตาเย็นชา และยังนึกรังเกียจนางอย่างถึงที่สุด  

 

 

แม้ว่าบุรุษเช่นนี้จะหายากในใต้หล้า แต่สำหรับนางแล้วเขาไม่มีค่าพอให้นางต้องการ!  

 

 

“เอ๋” หนานกงเลี่ยที่เพิ่งเข้ารับการทดสอบในสาขาวิชาโหราศาสตร์เสร็จยกมือขึ้นเท้าคาง มุมปากของเขากระตุกขึ้นเล็กน้อย “ไม่คิดเลยว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยจะเป็นคนยกเลิกสัญญาการแต่งงานเอง มีปัญหา จะต้องมีปัญหาแน่ๆ!”  

 

 

ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยังคงยืนพิงต้นไม้ที่มีดอกไม้บานสะพรั่งเช่นเดิม เขายกถ้วยชาในมือขึ้นมาชิดริมฝีปาก แล้วจิบมันทีละนิด กิ่งไม้ที่ส่ายไหวไปมาดูเหมือนจะสงบลงกว่าเดิม  

 

 

“อาเจวี๋ย เจ้าไม่สงสัยเลยหรือว่าเหตุใดเฮ่อเหลียนเวยเวยถึงทำเช่นนี้” หนานกงเลี่ยเอียงศีรษะไปด้านหนึ่งพลางครุ่นคิด “จากประสบการณ์หลายปีของข้าบอกว่า นางจะต้องใช้กลยุทธ์แสร้งปล่อยเพื่อจับแน่ๆ ไม่ผิดแน่ จะต้องเป็นการแสร้งปล่อยเพื่อจับอย่างแน่นอน! คงไม่มีใครคาดคิดว่า ‘เจ้าแมวน้อย’ ตัวนี้จะรักมู่หรงฉางเฟิงมากเสียจนไม่สนใจแม้แต่ชื่อเสียงของตัวเอง…”  

 

 

จากนั้นคำพูดของหนานกงเลี่ยก็หยุดลงทันที เหตุผลนั้นหาใช่ใดอื่น นอกเสียจากดวงตาที่ตวัดมามองเขาก่อนจะหลุบลงอีกครั้งราวกับมีก้อนน้ำแข็งอันเย็นเฉียบกำลังเดือดอยู่ในนั้น ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเอนตัวไปด้านข้างเล็กน้อยคล้ายกำลังรอฟังสิ่งที่เขาจะพูดต่อ มือข้างหนึ่งสอดเข้าไปในกระเป๋า ส่วนอีกมือถือถ้วยชากระเบื้องสีขาวเอาไว้หลวมๆ ท่าทางของเขาดูเกียจคร้าน แต่เมื่อขยับตัว ท่วงท่านั้นกลับสามารถสื่อออกมาได้ถึงความอันตรายอย่างยิ่ง…  

 

 

หนานกงเลี่ยก้มหน้าลงแล้วกระแอมเสียงเบา  

 

 

ไปหลี่เจียเจวี๋ยเหลือบมองเขา ในดวงตามีหมอกปกคลุมหนาทึบ นิ้วของเขาจับอยู่บนถ้วยชา ไม่ใครบอกได้ว่าเขากำลังมีความสุขหรือกำลังโกรธอยู่กันแน่ “น่ารำคาญจริง”  

 

 

คำพูดเพียงไม่กี่คำนั้นทำให้หนานกงเลี่ยตัวแข็ง “เฮ้ยๆๆ เจ้าบอกข้าอีกทีสิว่าใครกันที่น่ารำคาญ! ข้าเห็นว่าเจ้าไม่เคยมีประสบการณ์ด้านความรักมาก่อน พี่ชายคนนี้ก็เลยช่วยวิเคราะห์สถานการณ์ให้เจ้ายังไงล่ะ… ข้าบอกไว้ก่อนว่าเจ้าห้ามขยับมือเด็ดขาด! ไม่เอาน่า เจ้ากับข้าคุยกันดีๆ ก็ได้!”  

 

 

ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยไม่คิดที่จะหันไปสนใจเขาเลยแม้แต่น้อย เขากุมถ้วยชาในมือแน่นขึ้น…  

 

 

หนานกงเลี่ยเกาจมูกเล็กน้อย แล้วคิดที่จะเดินตามเขาไป แต่กลับก็ได้ยินเสียง ‘ปัง’ ดังขึ้นเสียก่อน!  

 

 

ต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ด้านหลังดูเหมือนจะได้รับความเสียหายอย่างหนัก มันโค่นลงไปบนพื้นเสียงดังลั่น ทำให้ฝุ่นลอยตลบอบอวล  

 

 

เมื่อเห็นแบบนี้ หนานกงเลี่ยก็ไม่กล้าเดินตามเขาไปอีก เขาหันหลังกลับ แล้วนึกฉงนอยู่ในใจ ใครกันนะที่กล้าไปยั่วโทสะขององค์ชายเข้า…  

 

 

 

 

 

ในเวลาเดียวกัน บรรดาคนที่ยืนร้องขอความเมตตาอยู่กลางสนามต่างก็ตกตะลึงกับการกระทำที่คาดไม่ถึงของเฮ่อเหลียนเวยเวยครั้งแล้วครั้งเล่า  

 

 

มีเพียงดวงตาที่ชุ่มฉ่ำราวกับสายน้ำของเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์เท่านั้นที่ต่างออกไป นางจ้องไปที่เฮ่อเหลียนเวยเวยด้วยความดุร้าย ขณะตั้งท่าจะช่วยพยุงเฮ่อเหลียนเหมยลงจากเวที  

 

 

ทันใดนั้น นางก็ได้ยินเฮ่อเหลียนเวยเวยหัวเราะออกมาเบาๆ แล้วจึงพูดขึ้นว่า “น้องสาวทั้งสองดูเหมือนจะลืมอะไรไป”  

 

 

“เฮ่อเหลียนเวยเวย ข้าขอเตือนเจ้าเอาไว้ว่าอย่าได้ทำเกินกว่าเหตุ!” เดิมทีอารมณ์ของเฮ่อเหลียนเหมยเองก็ร้อนเป็นไฟอยู่แล้ว และการข่มมันเอาไว้จนถึงตอนนี้ก็นับว่าเป็นเรื่องยากสำหรับนางพอดู แต่ตอนนี้ แค่คำพูดเพียงไม่กี่คำของเฮ่อเหลียนเวยเวยก็สามารถจุดเพลิงโทสะนั้นให้ลุกโหมขึ้นมาได้  

 

 

เฮ่อเหลียนเวยเวยมองนาง ริมฝีปากบางของนางบึ้งตึงด้วยความไม่พอใจ “เจ้ารู้หรือเปล่าว่าทำไมข้าถึงต้องรอเวลา ก่อนที่จะเอาหยกสีเลือดของเจ้าออกมาในตอนสุดท้าย เพราะข้าอยากรู้ว่าเจ้าจะใส่ร้ายป้ายสีข้ามากขนาดไหนยังไงล่ะ ข้าคิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าทั้งที่เรื่องมันกระจ่างแจ้งถึงเพียงนี้แล้ว แต่น้องสามก็ยังคงทำท่ามั่นอกมั่นใจราวกับว่าความยุติธรรมยังอยู่ข้างเจ้าได้ ใครกันที่ปลูกฝังเรื่องแบบนี้ให้กับเจ้า เป็นท่านพ่อ หรือว่าเป็นอาจารย์ท่านใดที่ช่วยพูดแทนเจ้า แต่ข้า เฮ่อเหลียนเวยเวย จะขอประกาศคำพูดของตัวเองในวันนี้เช่นกัน แม้ว่าท่านตาจะจากไปแล้ว และตระกูลเฮ่อเหลียนจะถูกเปลี่ยนมือในขณะที่ข้าต้องอยู่ด้วยตัวคนเดียว แต่อย่าได้มีผู้ใดคิดว่าหลังจากใส่ความข้าแล้ว พวกเขาจะจากไปโดยไม่ต้องเอ่ยคำขอโทษได้! แม้ว่าจะมีคนมากมายให้การสนับสนุน ไม่ว่าคนพวกนั้นจะเป็นบรรดาอาจารย์จำนวนนับไม่ถ้วน หรือจะมีอำนาจอื่นที่คอยปกป้องคุ้มครองอยู่ แต่ข้าก็ยังต้องการทวงคืนความยุติธรรมที่ข้าสมควรได้รับกลับคืนมา!”  

 

 

เสียงของนางดังฟังชัดและเสียดแทงเข้าไปในหู มันก้องกังวานไปทั่วสำนักอยู่ครู่ใหญ่ก่อนจะเงียบไปเป็นเวลานาน!  

 

 

เพี๊ยะ! เพี๊ยะ! เพี๊ยะ! เหมือนทุกคนโดนตบหน้า  

 

 

ไม่ใช่แค่เฮ่อเหลียนเหมยกับเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ แต่ยังรวมถึงบรรดาอาจารย์ที่ปรักปรำนางพวกนั้นด้วย!  

 

 

ท่ามกลางสายลมอันเย็นเยียบที่พัดเข้ามา ขณะที่เฮ่อเหลียนเวยเวยเชิดหน้าขึ้นสูง เส้นผมสีดำสนิทของนางแผ่สยายอยู่ในอากาศ และแขนเสื้อของนางก็ส่งเสียงขณะที่ถูกลมพัด  

 

 

เมื่อท่านปรมาจารย์ได้เห็นภาพนี้ ดวงตาของเขาก็เปลี่ยนเป็นสีแดงเล็กน้อย บนใบหน้ามีรอยยิ้มที่มาจากใจปรากฏขึ้น  

 

 

เด็กคนนี้เฉลียวฉลาดยิ่งนัก ยอมถอยหลังเพื่อให้ได้เดินหน้า!  

 

 

เป็นวิธีที่จะได้รับ ‘ความยุติธรรมที่ข้าสมควรได้รับกลับคืนมา’ ที่ดีทีเดียว  

 

 

 

 

 

ตลอดหลายปีมานี้ ลูกศิษย์สุดที่รักของเขาจะต้องถูกทำร้ายมามากขนาดไหนกัน  

 

 

ตู๋ซูเฟิงมองเฮ่อเหลียนเวยเวยที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขา แม้แต่ในวังหลวง เขาก็ไม่เคยพบเด็กสาวคนไหนเหมือนเฮ่อเหลียนเวยเวยมาก่อน  

 

 

ความแน่วแน่ของนางนั้นเหมือนกับท่านแม่ของนางไม่มีผิด  

 

 

แต่นางดื้อรั้น และหัวใสกว่าอีกคน  

 

 

เดิมทีเขาเองก็ยังรู้สึกสงสารตระกูลเฮ่อเหลียน เพราะสิ่งที่ท่านตาของนางได้รับมานั้นกลับตกไปอยู่ในมือของผู้อื่น  

 

 

แต่ตอนนี้ริมฝีปากบางของตู๋ซูเฟิงกระตุกขึ้นเป็นรอยยิ้มอันอ่อนโยน บางทีเด็กสาวคนนี้อาจจะเป็นตัวแปรสำคัญเพียงหนึ่งเดียวที่จะทำให้เรื่องนี้เปลี่ยนแปลงไปก็เป็นได้…