บทที่5ตอนที่1

 

 

หัวข้อในธีมของบทที่ 5 คือ「ความขัดแย้ง」

 

 

「แฮ่กแฮ่กแฮ่กแฮ่กๆ……」

 

 

อยู่ในป่าเพียงลำพังและกวัดแกว่งดาบ ข้างหน้านั้นมีดวงตาสีแดงนับไม่ถ้วนราวกับสัตว์อสูรตัวนั้นและมันปล่อยตะกอนสีดำเป็นม่านควัน อยู่ในร่างของมนุษย์สีดำ

 

 

มีทั้งดาบ หอก ขวาน และสิ่งต่างๆมากมายและมันเข้ามาโจมตีผม

 

 

ผมหลีกเลี่ยงใบมีดเหล่านั้นด้วยการใช้คาราเต้เตะไปด้านหน้าไปทางด้านข้างของคู่ต่อสู้และตัดผ่านด้านข้างของศัตรู

 

 

นอกจากนี้ทางด้านขวาของมันมีดาบขนาดใหญ่อีกอันและเหวี่ยงลงมาทางด้านข้างมันพยายามจะฟันผมที่หลบออกมา

 

 

「บ้าเอ้ย!!」

 

 

ผมหลบดาบนั่นด้วยการย่อตัวลงแล้วใส่กำลังลงไปที่เข่า

 

 

ทันทีที่ดาบผ่านหัวไป ผมก็ปลดปล่อยแรงที่เข่าออกมา เหวี่ยงดาบออกไปและกระโดดขึ้นและตัดร่างของมนุษย์ตรงหน้า

 

 

นอกจากนี้ร่างของมนุษย์คนนั้นมันมีหอกออกมาจากฝั่งตรงข้าม แต่ว่าผมแทงดาบลงไปสวนกลับหอกที่ผ่านเข้ามา แทงเข้าไปในร่างกายมันและตัดร่างของมันออก

 

 

「หนอยยย……」

 

 

แม้พยายามจะฉีกร่างของมัน แต่ว่าร่างกายของมันก็งอกขึ้นมาใหม่

 

 

ก่อนที่ผมจะรู้ตัว สภาพแวดล้อมก็เต็มไปด้วยการหมอกสีดำ และไม่มีทางหนีรอดออกจากที่นี่ไปได้ ร่างแยกของอสูรมันกำลังห้อมล้อมตัวผม

 

 

จำนวนที่ต่างกันเกินไป บางทีประสบการณ์ของผมบอกเช่นนั้น ผมกำลังจะกระชากโซ่ที่ห้อมล้อมตัวของผมเอาไว้โดยไม่รู้ตัว

 

 

ในเวลาต่อมาร่างแยกมากมายของมันก็พุ่งมาที่ผม

 

 

ผมเอาเท้ากระแทกพื้นทั้งหมดด้วยแรงที่มีจากนั้นใช้มือซ้ายกระแทกลงพื้นอย่างแรงใส่ร่างแยกที่กำลังพุ่งเข้ามา

 

 

 คิ“ระเบิดทำลายล้าง”

 

 

เสาแห่งแสงปรากฏขึ้นออกมาปกคลุมรอบตัวผม เผาไหม้ร่างแยกของมันที่กระโดดไปมา แต่ท้ายที่สุดก็หยุดมันได้แค่ชั่วคราว

 

 

「ก๊าาาาาาาาาาาาาาา!」

 

 

ร่างแยกผมไม่สามารถจัดการได้มันกระโดดเข้ามาและแทงสิ่งที่อยู่ในมือมาที่ผม

 

 

ความเจ็บปวดอย่างรุนแรงทำให้หัวของผมขาวโผลน และเลือดก็ไหลออกมาเป็นจำนวนมาก เลือดไหลออกมาอย่างรวดเร็วและภาพตรงหน้าเริ่มกลายเป็นสีดำ

 

 

「อะอาาาาาาาาาา……」

 

 

รู้สึกหนาวสั่นไปทั่วทั้งตัว สัญญาณแห่งความตายกำลังเข้ามาใกล้ผมอีกแล้ว

 

 

(ไม่ยอมแพ้หรอก……)

 

 

อย่างไรก็ตามแม้ร่างกายจะเยือกเย็น แต่ความรู้สึกที่ไม่อยากจะตายกลับพุ่งพล่านในตัวผมและจิตใจเริ่มที่จะลุกโชนอีกครั้ง

 

 

เปลวเพลิงที่แผดเผาเปลวไฟแห่งชีวิตทำให้ร่างกายสั่นสะท้านและฉีกโซ่ที่ทำลาย “พันธนาการ”ออก

 

 

วินาทีถัดมา ร่างกายของผมก็มีพลังพุ่งพล่าน และกระแสของพลังก็พัดพาร่างแยกเหล่านั้นออกไป

 

 

◇◆◇

ผมปลดปล่อยแรงใจที่อยากจะมีชีวิตอยู่

 

 

เลือดยังคงไหลไปทั่วทั้งตัว แต่ผมไม่สนใจ ผมตัดร่างแยกของมันทั้งหมดด้วยดาบที่ใส่ “คมดาบผ่ามายา”เอาไว้ ร่างแยกที่โผล่มาอีกด้านก็โดนฝักดาบของผม

 

 

ร่างแยกที่โดนฝักดาบฟาดเข้าไปนั้นซี่โครงแตกตัวบิดตัวงอและปลิวออกไปพร้อมกับร่างแยกอีกหลายตน

 

 

 จากนั้นผมก็ใช้"ก้าวพริบตา-ดาบเริงระบำ-”หลังจากเปินใช้งานแล้ว ผมก็เคลื่อนที่ฝ่าฝูงร่างแยกของมันด้วยการเคลื่อนไหวความเร็วสูง และใช้ “คมดาบผ่ามายา -หวนกลับ-”เพื่อตัดร่างของพวกมัน

 

 

ผมทำลายพวกมันและปล่อยคมดาบออกไปและวิ่งไปรอบๆกลุ่มของร่างแยก

 

 

มันตามการเคลื่อนไหวของผมแต่ว่าก็โดนฟันเพียงฝ่ายเดียว

 

 

ในที่สุด ผมก็จัดการร่างแยกทั้งหมดและหายใจออกอย่างรุนแรง และผมก็ทำลายโซ่อีกครั้งเพื่อปลดลิมิตพลัง

 

 

ยังไงก็ตามทันทีที่ทำลายโซ่เสร็จแล้ว ฉากตรงหน้าก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง

 

 

「เอ๊ะ?」

 

ผมที่ควรจะอยู่ในป่า แต่ก่อนที่จะรู้ตัวก็มาอยู่ในซากปรักหักพัง อาคารอันแสนคุ้นเคยซึ่งถูกย้อมเป็นสีแดงและพังทลายลงพร้อมกับไหม้เกรียม

 

 

มันเป็นความฝันสีเลือดที่ผุดเข้ามาในหัวอีกครั้ง

 

 

「อะอาาาาาาาาาาาาาาา……」

 

 

ความรู้สึกอยากจะอาเจียนออกมาผุดออกมาจากอก

 

 

ร่างแยกของมนุษย์จำนวนมากที่ผมฆ่าลงไปกลายเป็นก้อนเนื้อสีแดงก่อนที่ผมจะรู้ตัว

 

 

มันไม่ใช่เงาดำ

 

 

มันเป็นเครื่องแบบสีขาวอันแสนคุ้นเคย

 

 

ผมเองก็ยังอยู่ในสภาพที่สวมเครื่องแบบของสถาบันโซลมินาติอยู่

 

 

พวกเขาเหล่านั้นเองก็สวมเครื่องแบบเช่นเดียวกันต่างโดดตัดครึ่งเพราะผม

 

 

 

「มะม่ายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย!」

 

 

ผมคายสิ่งที่อยู่ในท้องออกมาจนหมด

ผมไม่อยากจะเชื่อว่าผมฆ่าคนเหล่านี้ มันไม่ใช่ผม ผมได้แต่ก้มหมอบและกอดตัวเอง

 

 

「ผม ผม ผมทำอะไรลงไป」

 

 

อย่างไรก็ตามไม่ว่าจะปฏิเสธและหลับตาลงแนบแน่นเพียงใด กลิ่นของเลือดที่เน่าเหม็นก็ตลบอบอวลไปทั่ว เสียงของประกายไฟที่ปะทุและเสียงของซากปรักหักพังที่กำลังพังทลายมันเป็นสิ่งที่ผมก่อขึ้นทั้งหมด

ในขณะนั้มีใบหน้าหนึ่งที่คุ้นเคยลอยเข้ามาตรงหน้าผม

 

「อาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาา!!」

 

 

ใบหน้าที่ล่องลอยอยู่ในความมืดแววตาไร้ชีวิตชีวา มันเป็นใบหน้าของเธอที่ผมรู้จักดี

อย่างไรก็ตามรอยยิ้มอันแสนสดใสนั่นไม่มีอีกแล้ว มีแต่ใบหน้าที่ซีดเผือก เป็นใบหน้าของคนที่ตายไปแล้ว

เห็นได้ชัดว่าเธอเหลือแต่หัวเพราะผมเป็นคนตัดหัวเธอออกมา

 

 

「อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก!!」

 

 

ขณะที่ผมกรีดร้องในฝันสีเลือดที่เมืองอาร์คาซัมถูกทำลาย เงาที่ยืดออกไปของผมก็เป็นรูปร่างของมังกรยักษ์ ที่มีปีกหกปีก

เงายังคงเคลื่อนไหวต่อไป ห่อหุ้มร่างกายเขา ดวงตาของมันส่องสว่างขึ้น แต่เขาไม่ได้สังเกตเห็นเลย

 

 

◇◆◇

 

 

「อาาาาาาาาาาาาา!!」

 

ผมกระโดดออกจากฟูกและวิ่งไปที่ห้องน้ำทันที

 

「แค่ก แค่ก แค่ก แค่ก」

 

 

ผมเอาหน้าจุ่มลงอ่างน้ำอย่างสิ้นหวังและคายสิ่งที่อยู่ในท้องออกมา แต่ในตอนเช้าท้องผมมันว่าง สิ่งที่ออกมาก็มีแค่น้ำย่อย

 

 

อย่างไรก็ตามความรู้สึกเหล่านั้นยังไม่หายไปผมดื่มน้ำตามและบ้วนออกมาทันที

 

 

หลังจากทำซ้ำหลายๆครั้ง ความรู้สึกก็หายไป แต่คราวนี้มันหนักกว่าครั้งไหนๆ ผมเอนหลังพิงกำแพงห้องและนั่งลงกับพื้น

 

ประมาณสองสัปดาห์ที่แล้วตั้งแต่ที่พบสัตว์อสูรสีดำ อาการผมก็แย่ลงเรื่อยๆ

 

 

◇◆◇

 

 

ผมลุกขึ้นและเตรียมตัวไปสถาบัน

 

 

แสงแดดยามเช้าอันแสนอบอุ่นโอบล้อมเมืองอาร์คาซัม

 

「ฟู่……」

 

ทันทีที่จะออกจากหอพัก ผมถอนหายใจเพื่อสงบสติอารมณ์เล็กน้อย

 

 

พูดตามตรงสภาพของผมในตอนนี้ไม่ได้อยู่ในสภาพที่ดีนัก

 

 

หลังจากเหตุการณ์สู้กับสัตว์อสูรสีดำ ไอริสและเพื่อนๆก็ห่วงผมมาก

 

 

ทันทีก่อนเข้าไป ผมพบกับลิซ่าและคนอื่นๆในตอนนั้น มันทำให้จิตใจด้านมือของผมถูกกระตุ้น

 

 

ผมจึงวิ่งหนีและเข้าป่าไปคนเดียว

 

 

มาร์ที่อยู่กับผมก็เล่าเรื่องราวให้ไอริสฟังและหลังจากที่ผมกับซีน่าช่วยกันเอาชนะสัตว์อสูรสีดำและรายงานเรื่องกับทางสถาบัน ผมก็โดนพวกเขาถามกันใหญ่เลย

 

 

แต่สุดท้ายก็ได้แต่ตอบออกไปอย่างคลุมเครือ

 

 

「……จริงๆนะ」

 

「…………」

 

 

ผมจำช่วงเวลาเหล่านั้นได้

 

 

ไอริสและเพื่อนๆที่รู้สึกอ้างว้าง มาร์ที่จ้องมองผมอย่างเงียบๆ แต่ก็ไม่พูดอะไร เพราะผมไม่ยอมเล่าเรื่องเหล่านั้น

 

 

ในวันนั้น ผมกับไอริสก็ไม่กล้าสบหน้ากันเพราะอายเป็นอย่างมาก

 

 

ยิ่งกว่านั้น แม้แต่การฝึกในป่า ฝันร้ายและแรงกระตุ้นอันดำมืดมันก็บีบคั้นความรู้สึกของผม และแม้ว่าจะพยายามจะกระชากโซ่มากแค่ไหน แต่โซ่มันไม่ยอมขยับเลย

 

 

◇◆◇

 

 

「อรุณสวัสดิ์ โนโซมุ」

 

「อรุณสวัสดิ์นะ!」

 

 

เมื่อถูกเรียกและหันกลับไปก็พบมาร์และไอริสที่อยู่ตรงนั้น

 

 

「อรุณสวัสดิ์ โนโซมุคุง」

 

「เอ๊ะ」

 

 

ทิม่าและมาร์เข้ามาทักทายไอริสและโซเมียก็ด้วย

 

「อรุณสวัสดิ์ครับ」

 

ผมเก็บเรื่องราวเหล่านั้นไว้ในใจและพยายามสงบสติและทักทายกลับ

อย่างไรก็ตามเสียงมันแข็งกระด้างเล็กน้อย

 

 

「นั่นเป็นเหตุผลที่รัลซ่าจังโกรธแต่ตบเด็กคนนั้นสุดแรงเลยสินะ」

 

「ก็ไม่รู้หรอกนะคะว่าเธอรู้สึกยังไงแต่เธอเป็นคนที่แสดงออกไม่เก่งค่ะ」

 

「งั้นเหรอ? สำหรับข้าคิดว่ามันเป็นเรื่องทั่วๆไปสำหรับเธอนะ……」

 

「ฮะฮะฮะฮะ……」

 

「สาเหตุก็มาจากหมอนั่นแหละ และฉันก็สงสัยด้วย แต่ว่าผู้หญิงที่ชื่อรัลซ่าไม่ได้จู่โจมเขาก่อนนี่น่ะ……」

 

 

ระหว่างทางไปสถาบันพวกเรากำลังคุยกัน

 

 

ผมไม่ได้เล่าเรื่องเมื่อสองสัปดาห์ก่อนไอริสเองก็ไม่ถามเช่นกัน

 

 

ตอนนี้โซเมียกำลังพูดถึงเพื่อนร่วมชั้นในสถาบันอีคอร์ส

 

 

มีเด็กสาวชื่อรัลซ่าที่เป็นคนเข้มงวดและมักจะต่อว่าเหล่าเด็กผู้ชายที่ไม่ยอมทำหน้าที่ของตัวเอง แต่พวกนั้นก็ไม่ได้เดือดเนื้อร้อนใจทำให้รัลซ่าเองก็โกรธมากจนทะเลาะกับเด็กผู้ชายพวกนั้น

 

 

ไอริสบอกว่าทั้งสองเป็นเด็กไม่ดี แต่มาร์บอกว่าผู้ชายผิดเอง

 

 

ทิม่ายิ้มเมื่อเห็นพวกเขา

 

 

ผมไม่สามารถพูดเรื่องที่เกิดขึ้นในป่าได้และสองสามวันหลังจากนั้นผมเริ่มรู้สึกอึดอัด สีหน้าของผมและไอริสเองก็ไม่ค่อยดีกันทั้งคู่ แต่เมื่อเร็วๆนี้ก็คุยได้ตามปกติแล้ว

 

 ที่เปลี่ยนไปอีกอย่างก็คือ……。

 

 

「นาย!อยู่ตรงนั้นเองเหรอ ! เฮ้!โนโซมุคุง!!」

 

 

เสียงดังที่เหมือนระฆังก้องกังวาลไปทั่ว

 

 

เมื่อมองไปทางนั้นก็พบคนสามคนเดินมาทางนี้ เป็นคนที่อยู่ในสถาบันโซลมินาติเช่นเดียวกับพวกเรา

 

 

คนหนึ่งคือ ซีน่า・จูเรียล เอลฟ์สาวผมยาวสีน้ำเงินสวมที่คาดผมสีดำ

 

 

อีกคนคือมิมุรุ สาวน้อยเผ่าแมวป่าที่มีหูและหาง ผิวสีแทน

 

 

อีกคนคือทอม คนรักของมิมุรุ ซึ่งตัวเล็กและบอบบางกว่าทั้งสอง

 

 

ที่เรียกโนโซมุน่าจะเป็นมิมุรุ เธอโบกมือให้กับผม

 

 

นี่คือการเปลี่ยนแปลงอีกอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นรอบตัวผม หลังจากเหตุการณ์นั้น พวกเขาก็เริ่มมาคุยกับผมเป็นครั้งคราว

 

 

「อรุณสวัสดิ์ โนโซมุคุง ขอโทษด้วยนะที่มิมุรุตะโกนเสียงดังแบบนี้」

 

「เอ่อ คือ ไม่เป็นไรหรอกครับ……」

 

「ใช่ม้า!พวกผู้ชายน่ะไม่ใส่ใจเรื่องแบบนี้หรอกน้า ซีน่าเองก็ทำตัวห่างเหินไปได้~~」

 

「เพราะเธอร่าเริงเกินไปยังไงล่ะฉันเลยต้องรับบทแบบนี้น่ะ」

 

「มีปัญหาง้านเหรอ~。ทำตัวน่าอร่อยเหมือนกันนะเรา ถ้ายังทำตัวน่ากินแบบนี้ละก็เดี๋ยวจับกินเลยนะซีน่า~。ไม่ใช่แค่เหล่าผู้ชายหรอกนะที่จะกินเธอ ผู้หญิงก็ด้วย เธอนะฮ็อตเอาเรื่องน่า~~」

 

「ปล่อยมิมุรุไปเถอะ เธอก็มักจะเล่นมุขอะไรแบบนี้ตลอดแหละ ถ้าดูทักษะการทำอาหารของเธอแล้ว เธอทำอาหารให้ใครกินไม่ได้ด้วยซ้ำ」

 

「หนอยยยยยย! มันไม่ได้แย่ขนาดนั้นสักหน่อย!! ฉันไม่เก่งเรื่องทำอาหารแล้วจะทำไม แต่ว่าถ้าแค่ใส่เกลือไม่พลาดหรอกน่า!!」

 

「ทำแบบไหนก็ไม่ดีทั้งนั้นแหละ……」

 

 

มิมุรุนั้นกำลังมึนเพราะการประชดของซีน่า

 

 

อย่างใดก็ตามใบหน้าของทอมที่อยู่ข้างๆก็ซีด….เห้ยไหวปะเนี่ย

 

 

ในเวลานั้นผมเองก็น่าจะรู้คำตอบเพราะให้มิมุรุดูแลเรื่องซุปให้ทอมในกระท่อมของชิโนะ

 

 

 

 

「อรุณสวัสดิ์นะทั้งสามคน」

 

「อรุณสวัสดิ์โนโซมุคุง พวกเราเองก็อยู่ปีเดียวกัน ซีน่าก็ยังคงเข้มงวด มิมุรุก็ยังเหมือนเดิม อืม ก็นะ」

 

 

ทอมยิ้มพร้อมพูดเช่นนั้น

 

 

ซีน่าและมิมุรุต่างก็มักจะทะเลาะกันบ่อยๆ แต่สีหน้าของทั้งสองก็ดูสดใสดี

 

 

ความผูกพันระหว่างพวกเขาที่รอดชีวิตมาได้ทำให้สายสัมพันธ์มันแข็งแกร่งยิ่งขึ้น

 

 

「โอ้ ฮายโย่ โซมิจิ! เป็ฯยังไงบ้างเอ่ย!」

 

「ค่าาาาา! วันนี้ก็สบายดีค่าาาาาา!!」

 

 

มิมุรุที่เจอโซเมียก็เข้าไปทักทายทันที เธอยิ้มและทำไฮไฟว์

หลักจากเหตุการณ์นั้นพวกไอริสก็เริ่มพูดคุยกับซีน่าและเหล่าผองเพื่อนจนเริ่มสนิทกันมากขึ้น

 

 

「อาา อรุณสวัสดิ์ มาร์ มีดที่ให้เมื่อวานเป็นไงบ้างล่ะ?」

 

「อาาา ใช้งานง่ายน่าดูเลยล่ะทำให้เรียนรู้ได้ไวเลย แต่ว่าความแข็งแรงของมันค่อนข้างเป็นปัญหา หากแกะสลักวงเวทย์ลงบนใบมีด ความทนทานมันจะลดลงน่ะ」

 

 

ทอมคุยกับมาร์และทิม่า เกี่ยวกับการวิจัยเวทย์

 

 

มาร์เองก็กำลังเรียนเวทย์ร่วมกับทิม่าแต่ก็ยังยากที่จะเข้าใจ

 

 

มาร์พยายามอย่างหนัก แต่ถึงแม้จะเรียนรู้อะไรได้บ้างแล้ว แต่ก็ต้องฝึกฝนอยู่ดี

 

 

มาร์วุ่นมากกับการศึกษาเรื่องเวทมนตร์ เนื่องจากมาร์จนถึงตอนนี้แทบไม่ได้ใช้เวทย์เลย เขาใช้กำลังล้วนๆ เขาอยากจะพัฒนาด้านอื่นบ้าง

 

 

หากพยายามใช้เวทย์ในตอนสู้ละก็ การควบคุมคิก็จะไม่เสถียรและมาร์เองก็คุมพลังเวทย์ได้ห่วย

 

 

ดังนั้นทอมจึงเสนอวิธีการด้วยการใช้วิธีเล่นแร่แปรธาตุ สลักวงเวทย์ลงในอาวุธและลองให้เขาเปิดใช้งานมัน สิ่งนี้มันจะช่วยลดขั้นตอนการทำงานในการเปิดใช้เวทย์ของมาร์ได้

 

 

อย่างไรก็ตามบางครั้งไอริสก็เข้าไปแจมด้วยเช่นกัน

 

 

 

 

「แต่อาวุธของมาร์คือดาบใหญ่ไม่ใช่เหรอ? ถ้าคิดจะพัฒนาเรื่องเวทย์ แล้วทำไมถึงต้องยึดติดเกี่ยวกับความแข็งแกร่งขนาดนั้นล่ะ……」

 

「พูดแบบนั้นชวนขึ้นเลยแหะ ก็อยากจะพัฒนาตัวเองไหนๆก็มีโอกาสได้เปลี่ยนแปลงตัวเองทั้งทีจะทำแบบครึ่งๆกลางๆไม่ได้หรอก นอกจากนี้หากใช้เวทย์ได้คล่องแล้ว มีดนี่ก็ไม่จำเป็นแล้วล่ะ……」

 

 

มีดที่พูดถึงคือมีดที่หาได้ทั่วไป แต่ครั้งนี้เป็นการทดลองเฉยๆ บางทีทอมอาจจะคิดว่าจะลองใช้มีดแบบที่แฟนของเขาใช้

 

 

「อืม。พูดถึงเรื่องสลักวงเวทย์แล้วบนใบมีดงั้นเหรอ……สำหรับผมคิดว่าพวกคนแคระน่าจะไม่มีปัญหานะครับ……」

 

 

ทอมเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุ ไม่ใช่ช่างตีเหล็ก แม้จะสามารถเสริมพลังเวทย์ลงในอาวุธได้แต่ก็เป็นแค่มือสมัครเล่น เขาไม่รู้วิธีจัดการกับการเปลี่ยนแปลงของอาวุธเหล่านั้น

 

 

「อืม ท้ายที่สุดขอผมเก็บไปคิดก่อนนะ ขอบคุณมาร์คุงและทิม่าซังด้วยนะครับ」

 

「ไม่หรอก ขอบคุณที่ช่วยเช่นกันนะ ข้าพยายามดิ้นรนกับการฝึกเวทย์ให้คล่อง」

 

「อะอืมทางฝั่งฉันเองก็อยากจะขอบคุณเช่นกันค่ะ……ฉันไม่คุ้นเคยเรื่องการประจุพลังเวทย์ลงในอาวุธด้วยสิคะ……」

 

 

ทิม่าที่มีพลังเวทย์มหาศาลให้ใช้ได้มากมายเช่น เวทย์โจมตี เวทย์รักษา และเวทย์เสริมพลัง แต่ความสามารถในการใช้งานจริงมันยากพอตัวเลย

 

 

เธอยังอายุเพียง 17 ปีเป็นไปไม่ได้ที่จะครอบคลุมศาสตร์เวทย์ทั้งหมดด้วยอายุเท่านี้

 

 

แม้ว่าเธอจะไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเวทมนตร์มากนัก เพราะเธอไม่ได้ใช้บ่อยนัก ก็ช่วยไม่ได้ละนะ

 

 

◇◆◇

 

 

「พอพูดถึงแล้ว ซีน่าคุง เธอผมยาวน่าดูเลยนะ ทำไมถึงได้ไว้ยาวขนาดนั้นกันละคะ?」

 

「ก็เพราะฉันอยากปล่อยให้มันเป็นธรรมชาติมากที่สุดน่ะสิ ก็เลยทำความสะอาดและดูแลอย่างดีเพื่อให้ผมนุ่มสลวย แต่ว่าตอนล้างก็เจ็บเหมือนกันนะคะ…แล้วไอริสดิน่าละ?」

 

「อืม บางครั้งก็ให้เมดช่วยทำผมให้น่ะ แต่โดยพื้นฐานแล้วฉันพยายามจะทำด้วยตัวเองน่ะ แต่รู้สึกว่าช่วงนี้ก็เจ็บเหมือนกันนะคะการไว้ผมยาวเนี่ย……」

 

 

เมื่อพูดเช่นนั้นไอริสก็หวีผมด้วยมือสีขาวของเธอ

 

 

ไอริสและซีน่าพูดอะไรที่มันดูน่ารักมากๆ

 

 

ผมของเธอที่เป็นสีดำสนิทเงางามและดูทำความสะอาดง่ายมาก ผมเลยไม่ค่อยเข้าใจว่ามันจะเจ็บตรงไหน

 

 

 

 

「อืม พอดีว่าช่วงนี้ฉันเจออะไรมาเยอะก็เลยทำให้ค่อนข้างเจ็บน่ะ」

 

 

ซีน่าหยิกผมสีฟ้าของตัวเองและแสดงให้ไอริสดู ไอริสเองก็ยังโชว์เส้นผมแบบเดิมที่ส่องสว่างเป็นประกายให้ดูอยู่

 

 

「นี่ โนโซมุ เธอเองก็คิดเหมือนกันใช่ไหม?」

 

「……เอ๊ะ?」

 

「ดูสิ ผมของฉันน่ะ มันเจ็บแปล๊บๆเลยอะคะ……」

 

「อ่า ทางนี้เองก็ด้วยนะโนโซมุคุง……」

 

 

ไอริสกับซีน่าพูดพร้อมกัน

 

 

ไอริสและซีน่าต่างจับปลายผมไว้ตรงหน้าผม ซึ่งดูเหมือนว่าจะพูดถึงเรื่องคุณภาพของเส้นผมที่พวกเธอไว้ที่กล่าวกันก่อนหน้านี้

 

 

สีดำกับสีน้ำเงิน สีต่างกันแต่ผมของทั้งสองก็สวยงามมาก ผมรู้สึกว่าผมของซีน่าดูจางลงเล็กน้อยและผมของซีน่าเองก็ดูจะบางกว่าผมของไอริส

 

 

ผมที่จ้องมองเส้นผมเหล่านั้นก็ยังไม่เข้าใจถึงความต่างของมัน

 

 

 

 

「อะอึก。……ขอโทษนะแต่ผมไม่เข้าใจหรอก……」

 

「「หาาาาาาาาาาาา……」」

 

 

ทั้งสองตกใจอย่างมาก และต่างขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจ

 

 

「โนโซมุนี่ไม่มีความละเอียดอ่อนเลยนะคะ」

 

「ใช่เลยเป็นคนที่ขาดความละเอียดอ่อนสิ้นดี」

 

「เอ่อคือ……ขอโทษครับ……」

 

 

บางทีพวกเธออาจจะไม่ชอบคำตอบของผม พวกเธอบ่นออกมา ผมเองก็ได้แต่หดหู่ใจ

 

「หืม?」

 

ผมรู้สึกหดหู่ใจ แต่เมื่อจู่ๆก็รู้สึกว่าโดนจ้องมองและเมื่อหันไปมองก็พบกับสาวผมสีแดงที่กำลังจ้องมองผมอยู่

 

 

「ลิซ่า?」

 

 

ระยะห่างจากเธอช่างแสนไกลจนฉันไม่สามารถอ่านสีหน้าเธอได้เลย

ลิซ่าที่สังเกตเห็นผมเธอก็หันหน้าหนีและเดินหายไปในฝูงชน

 

 

「โนโซมุ!รีบๆไปเร็วเข้าเถอะ!!」

 

「อะอืม!」

 

 

มาร์เรียกผม

 

 

ลิซ่ามองผมอีกครั้งหนึ่ง แต่มาร์ที่กระตุ้นให้ผมรีบไปก็รีบวิ่งไปพร้อมกับพวกเขา

 

 

◇◆◇

 

 

「โนโซมุ……」

 

 

ฉันพบเขาขณะที่กำลังเข้าเรียน ในขณะนั้นเองหัวใจของฉันก็เต้นรัว แต่ในขณะเดียวกันฉันก็จำช่วงเวลานั้นได้

 

 

ประมาณสองสัปดาห์ก่อนที่ฉันออกไปนอกสถาบันพร้อมกับเคน ฉันพบกับเขา

 

 

ฉันจ้องมองคนที่หักอกฉันได้ลงคอ ตอนแรกเขาตัวเขาที่ตกต่ำ แต่ตอนนี้กลับแตกต่างจากเดิม และวินาทีถัดมาเขาก็จ้องมาที่ฉัน

 

 

ในเวลานั้นฉันปวดใจราวกับว่าความโกรธของฉันโดนสะท้อนกลับมา

 

เมื่อฉันสังเกตเห็นเขาที่มองมาที่ฉัน แต่ว่าเขาอยู่ไกลเกินจนไม่เห็นสีหน้าของเขา

 

 

แต่เมื่อฉันเห็นเขาเดินคู่กับไอริสแล้ว ฉันก็ยิ่งโกรธและเจ็บใจมากขึ้นไปอีก

 

 

 เขาที่ทรยศตัวฉัน และทิ้งฉันไป……。

 

 

ฉันกัดฟันแน่นและกำหมัด

 

 

「อรุณสวัสดิ์ตอนเช้าลิซ่า เป็นอะไรไป?」

 

「เอ๊ะ!!」

 

 

ด้วยความเร่งรีบเคนที่อยู่ด้านหลังส่งเสียงเรียกฉัน ฉันที่ได้สติกลับคืนมาก็จ้องไปที่เขา

 

 

「เปล่าไม่มีอะไรหรอก สายแล้วนะ!」

 

「ขอโทษนะ พอดีเตรียมตัวนานไปหน่อย」

 

 

เคนยิ้มเหมือนเดิม ฉันนึกถึงความเจ็บปวดในอกคู่นี้ รอยยิ้มที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงตั้งแต่ 10 ปีก่อนของเขา

 ……ลืมเขาไปได้แล้ว ฉันมีเคนอยู่แล้ว ฉันไม่ได้ตัวคนเดียวสักหน่อย แม้จะไม่มีเขาฉันก็ไม่ตายหรอกน่า……。