บทที่ 43 ฝันร้าย

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

เซียวลิ่วหลังเบื่อหน่ายกับเทศกาลปีใหม่ เพราะทุกครั้งเขามักจะฝันถึงเหตุการณ์ไฟไหม้ครั้งนั้น

เขาเคยลองไม่เข้านอนเพื่อที่จะได้ไม่ต้องฝัน แต่พอหลับตาลงเท่านั้น ทั้งภาพและความรู้สึกถึงเปลวไฟร้อนระอุก็มักจะโผล่เข้ามาในโสตประสาทของเขา

“เซียวลิ่วหลัง ข้าขอพูดไว้ตรงนี้เลยนะ พวกเราเป็นแค่คู่สามีภรรยากันในนามเท่านั้น! อย่าได้คิดทำเรื่องแบบนั้นกับข้าเป็นอันขาด!” กู้เจียวโพล่งออกมาอย่างจริงจัง

“ใครจะไปกล้าทำมิดีมิร้ายกับคนอย่างเจ้า” เขาเอ่ยอย่างเหนื่อยหน่าย

กู้เจียวถือแก้วน้ำเดินเข้ามา พลางเอ่ย “แล้วจะรับประกันได้อย่างไร พวกผู้ชายมักชอบปากว่าตาขยิบทั้งนั้น! ข้าจะวางแก้วน้ำไว้ตรงนี้เพื่อป้องกันไม่ให้เจ้าเข้ามาทำอะไรมิดีมิร้ายข้า หากเจ้าแอบล้ำเส้นเข้ามาแล้วทำให้แก้วน้ำนี้หก ก็เท่ากับว่าเจ้าเป็นสัตว์เดรัจฉาน!”

“ก็ได้ ถ้าข้าล้ำเส้น ข้าเป็นสัตว์เดรัจฉาน!”

แล้วเขาจะทำเช่นนั้นไปเพื่ออะไร

ในเมื่อเขาไม่ได้คิดอะไรแบบนั้นกับนางเลยแม้แต่นิด!

วันต่อมา เขาตื่นขึ้นมามองหน้าสะลึมสะลือของนาง ราวกับเขากำลังจะสื่อว่า เป็นอย่างไรล่ะ ข้าไม่ได้สนใจเจ้าสักหน่อย

แต่จู่ๆ กู้เจียวไม่เพียงแต่ทำหน้าไม่พอใจ ซ้ำยังประทับฝ่ามือลงบนใบหน้าของเขา “เจ้านี่มันต่ำยิ่งกว่าสัตว์เดรัจฉานอีก!”

เซียวลิ่วหลังตื่นขึ้นในทันใด!

เขาลุกขึ้นนั่ง ระลึกได้ว่านี่ไม่ใช่ห้องของเขา บนผนังถูกแปะด้วยคำว่าฝูตัวเอียง ส่วนตรงหน้าต่างมีกระดาษแก้วรูปร่างอัปลักษณ์แปะไว้

ล้วนเป็นผลงานของหญิงชราและกู้เสี่ยวซุ่น

ในที่สุดเซียวลิ่วหลังก็นึกออกแล้วว่าตนอยู่ที่ไหน จากนั้นหันไปทางด้านข้าง

กู้เจียวกำลังหลับในท่านอนตะแคงและหันหน้ามาทางเขา พวงแก้มใหญ่ราวกับเด็กทารกถูกกดบี้จนตุ่ยออกมาพร้อมกับริมฝีปากที่เผยอ

นางเอาแต่กุมมือของเขาทั้งคืน

จู่ๆ เซียวลิ่วหลังพลันนึกถึงฝันแปลกๆ เมื่อครู่นี้ ใบหน้าอันคมคายเริ่มขมวดคิ้ว จากนั้นเขาแกะมือของนางออกไปอย่างไม่ใยดี!

ฝันว่าถูกรังเกียจ กู้เจียวถอนหายใจอย่างไม่พอใจ จากนั้นคว้ามือเขากลับ

เซียวลิ่วหลังสะบัดมือนางออกอีกครั้ง แต่กลับไม่สำเร็จ มือของนางยังคงตามรังควานมือของเขาอยู่อย่างนั้น

ไม่รู้ว่าจับไปปล่อยมาอยู่อย่างนั้นจนถึงเมื่อไหร่ สุดท้ายเขารู้สึกเหนื่อย จากนั้นก็ผล็อยหลับไป

พอฟ้าสาง เขารู้สึกได้ว่าฝันเดิมๆ นั่นไม่มาหาเขาแล้ว

เฝิงหลินค้างที่หมู่บ้านชิงเสวียนอยู่สามวัน เซียวลิ่วหลังกับกู้เจียวจึงต้องนอนห้องเดียวกันเตียงเดียวกันอยู่สามคืน หลังจากคืนแรก กู้เจียวไม่ได้ไล่จับมือเขาอีก แต่กลับใช้มือและเท้าจู่โจมเขาแทน ทุกครั้งที่เซียวลิ่วหลังตื่นขึ้นมาก็มักจะพบว่าผ้าห่มของเขาและเธอกลายเป็นผืนเดียวกันเสียอย่างนั้น

เซียวลิ่วหลังเอ่ยถามอย่างไม่พอใจ “นี่เจ้า…เจ้าจงใจใช่ไหม”

“หืม” กู้เจียวทำหน้าไม่รู้เรื่อง

ทำเอาเขาเองก็เริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าใครกันแน่ที่นอนอยู่ไม่สุข เผลอๆ อาจกลายเป็นว่าตัวเขาเองนี่แหละที่เขยิบเข้าไปใกล้นาง…

วันนี้เป็นวันตัดไหมของเซียวลิ่วหลัง ที่จริงกู้เจียวทำให้เขาได้ แต่อาจถูกจับได้ อีกทั้งยาต้มของหญิงชราก็ใกล้หมดแล้ว จึงต้องออกไปซื้อยามาเติม

แม้จะเป็นแค่วิธีเสริมในการรักษาก็จริง แต่พอใช้งานแล้วก็ทำให้การรักษาได้ประสิทธิภาพมากขึ้น

หลังจากทานมื้อเช้าเสร็จ กู้เจียว เซียวลิ่วหลัง และเฝิงหลินก็ขึ้นรถเกวียนของหลัวเอ้อซูเพื่อไปยังหุยชุนถัง

พวกลูกน้องในหุยชุนถังกลับไปฉลองปีใหม่กันหมด จะเหลือก็แค่เถ้าแก่รอง ผู้ดูแลหวัง และหมอเฒ่า

ทั้งสามคนรีบบึ่งจากเรือนเพื่อมาดูแผลหลังตัดไหม

อย่าว่าแต่พวกเขาเลย แม้แต่กู้เจียวเองก็ลุ้นเช่นกัน

นางมั่นใจว่าการผ่าตัดเป็นไปตามขั้นตอนทุกอย่าง แต่การฟื้นฟูร่างกายของเขาเป็นเช่นไรนั้น จะต้องดูผลตอนท้าย

หมอเฒ่ารับหน้าที่ตัดไหม แน่นอนว่าเขารู้เรื่องงานหัตถการดี

พอตัดไหมเสร็จ สายตาของทุกคนก็จ้องมองเข้าไปที่ร่างกายของเขาอย่างพร้อมเพรียงกัน

การผ่าตัดครั้งนี้มีเรื่องให้ต้องระวังเยอะเป็นพิเศษ เถ้าแก่รองยังคงไม่ละทิ้งความคิดที่จะรักษาเสี่ยวโหวเหย่ แม้ว่าตอนที่เขากลับไปฉลองปีใหม่ที่เมืองหลวง ความคิดของเขาถูกผู้หลักผู้ใหญ่ในเรือนต่อว่าก็ตามที

ผู้ดูแลหวังตั้งความหวังไว้ว่าการผ่าตัดครั้งนี้จะสำเร็จ ด้วยความที่เขาเป็นคนมีจิตใจที่รู้บาปบุญคุณโทษ

แต่อีกมุมหนึ่ง เขาก็หวังว่าการผ่าตัดครั้งนี้จะล้มเหลว เพราะการที่จะเป็นคนมีจิตใจเช่นนั้นได้ ก่อนอื่นจะต้องมีความเป็นคนเสียก่อน หากตายไป ก็เท่ากับกลายเป็นผี ไม่ใช่คน

เพราะฉะนั้น การจะรักษาเสี่ยวโหวเหย่ แน่นอนว่า มีแต่ตายกับตายเท่านั้น!

เซียวลิ่วหลังนั่งลงบนเก้าอี้ ขาข้างที่เพิ่งตัดไหมเสร็จค่อยๆ ลองขยับและหย่อนลงบนพื้น ไม้เท้าวางอยู่ด้านข้าง แต่เขากลับไม่ยื่นมือคว้ามัน

เขาค่อยๆ จับเก้าอี้แล้วพยุงตัวให้ลุกขึ้น เขาลงน้ำหนักที่ขาข้างซ้ายที่ปกติก่อน จากนั้นเขาลองใช้ขาขวาก้าวออกไป เขารู้สึกถึงอ่อนแรงที่เท้า และจู่ๆ ร่างของเขาก็เซไปข้างหน้า!

กู้เจียวรีบเข้าไปพยุงเขาไว้อย่างทันท่วงที จึงทำให้ตอนนี้เขากับนางดูเหมือนกำลังโอบกอดกัน

คนนอกคงมองเห็นเป็นเรื่องธรรมดา แต่หารู้ไม่ว่าบัดนี้หูของเซียวลิ่วหลังเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงและร้อนผ่าว

กู้เจียวไม่ทันสังเกตเห็นอาการของเขา ตอนนี้สิ่งที่นางสนใจคือมีแค่ข้อเท้าของเขา

“เจ้าไม่เป็นไรนะ” นางมองข้อเท้าเขาพลางเอยถาม

เซียวลิ่วหลังส่ายหน้า “ไม่เป็นไร” ช่วงระยะเวลาครึ่งปีที่ผ่านมา เขาต้องใช้ไม้เท้าช่วยค้ำยัน ทำให้ขาขวาของเขาไม่ถูกใช้งาน และทุกครั้งที่ต้องใช้งาน ความรู้สึกเจ็บแปลบก็คอยถาโถมใส่เขามาโดยตลอด

แต่เมื่อครู่นี้ แม้เขาจะยืนได้ไม่มั่นคงนัก แต่เหมือนว่าความรู้สึกเจ็บนั้นได้หายไปแล้ว

เซียวลิ่วหลังหยิบไม้เท้าขึ้นมา จากนั้นลองเดินไปอีก จนมั่นใจแล้วว่า เขาไม่รู้สึกถึงความเจ็บนั้นอีกแล้ว

เซียวลิ่วหลังเป็นคนไม่แสดงความรู้สึก แต่ครั้งนี้ เขาทำหน้าตะลึง ตะลึงกับขาของเขาที่คาดไม่ถึงว่าจะรักษาออกมาได้ดีกว่าที่คิด

เขานึกว่าตัวเองจะต้องเป็นไอ้เป๋ที่จมกับความเจ็บที่ขาไปตลอดชีวิตเสียอีก…

“ท่านพี่เซียว ตกลงว่าดีขึ้นแล้วหรือยัง หรือว่ายังไม่ดีขึ้น” เฝิงหลินเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง

“ข้าไม่รู้สึกเจ็บแล้ว แค่รู้สึกว่าไม่ค่อยมีแรงน่ะ” เซียวลิ่วหลังเอ่ยตอบ

เฝิงหลินเอ่ยถามอย่างอดสงสัยมิได้ “ถ้าเช่นนั้น…ก็แปลว่า เจ้าหายดีแล้วจริงๆ รึ ว่าแต่เหตุใดถึงไม่มีแรงเล่า”

หมอหลวงอธิบายอย่างใจเย็น “ท่านชายเฝิงโปรดอย่าเพิ่งใจร้อน ท่านชายเซียวหายจากอาการเจ็บแล้ว

นั่นก็แปลว่าการผ่าตัดครั้งนี้สำเร็จด้วยดี แต่ที่ไม่มีแรง เป็นเพราะว่าอาการเจ็บเรื้อรังของเขา เลือดจึงไม่ไหลเวียนไปบริเวณนั้น ทำให้ข้อต่อเสื่อม ข้อเท้าแข็ง ดังนั้นแล้ว ยังคงต้องรักษาตามอาการต่อไป และต้องทำการฝึกฝนอย่างเคร่งครัด”

“แล้วเขาจะกลับไปเป็นปกติเหมือนแต่ก่อนหรือไม่” เฝิงหลินเอ่ยถามอย่างกังวล

หมอหลวงหันไปสบตากับกู้เจียวแวบหนึ่ง พลางหัวเราะ “ขอแค่ท่านชายเซียวไม่กลัวลำบาก”