บทที่ 42 พี่ใหญ่

บทที่ 42 พี่ใหญ่

เสี่ยวเป่าที่เดินมาพร้อมท่านพ่อเห็นว่าพี่ชายยังยืนนิ่งอย่างสำรวม นางก็ไม่ได้ส่งเสียงเอะอะ เพียงเบนสายตาไปมองคนอื่นแทน 

สตรีผู้สวยสง่าผู้นั้นเหมือนจะเป็นพระสนมของท่านพ่อ!  

ดูดีจริง ๆ สวยคนละแบบกับท่านแม่เลย

แน่นอนว่าเซี่ยชิงหร่านก็มองคนตัวเล็กที่กำลังแอบมองตนเช่นกัน นางเลื่อนดวงตาเรียวงามมามองเจ้าก้อนแป้งนุ่มนิ่มผู้เป็นที่โปรดปรานของฝ่าบาท แม้จะถูกนางจับได้ เจ้าก้อนแป้งก็ไม่หลบตา ซ้ำยังส่งยิ้มหวานละมุนให้อีก

ความปรารถนาที่จะมีลูกสาวของนางไม่เคยแรงกล้าขนาดนี้มาก่อน! 

ทันใดนั้น ความสนใจของเสี่ยวเป่าก็ถูกผู้มาใหม่ดึงดูดไป

ชายหนุ่มบนรถเข็นไม้แกะสลักอย่างประณีต อายุน่าจะประมาณยี่สิบต้น ๆ สวมเสื้อผ้าสีขาวนวลผ่อง เส้นผมดำดกเงางามยาวสลวยราวกับผ้าคลุมไหล่ ผิวขาวราวหิมะ คิ้วคมตางามดุจภาพวาด แม้จะนั่งบนรถเข็น ทว่าเขากลับดูสงบและผ่อนคลายอย่างเป็นธรรมชาติ

  

เห็น ๆ อยู่ว่าเขาเป็นมนุษย์ผู้หนึ่ง แต่กลับให้ความรู้สึกเหมือนเห็นเทพเซียนผู้หนึ่งปรากฏตัวท่ามกลางเมฆหมอก คนผู้นี้เหมือนถูกส่งลงมาจากสรวงสวรรค์ ย่างกรายไปที่ใด ล้วนดึงดูดให้ผู้คนทั้งหลายปลาบปลื้มหลงใหล

แต่น่าเสียดายที่ขาของเขาใช้การไม่ได้

เสี่ยวเป่าจ้องมองชายหนุ่มราวกับตกอยู่ในภวังค์ เขาดูดีจริง ๆ เป็นคนที่ดูดีที่สุดที่นางเคยเห็นมา

เมื่อรู้สึกได้ถึงสายตาของเสี่ยวเป่า องค์ชายใหญ่หนานกงฉีซิวก็มองตอบพร้อมรอยยิ้มที่อ่อนโยน  

เสี่ยวเป่าหูอื้อตาลายทันทีที่เห็นรอยยิ้มนั้น  

ท่าทางคนตัวเล็กดูน่าขันไม่น้อย ทั่วทั้งใบหน้าของหนานกงฉีซิวเปื้อนไปด้วยรอยยิ้ม

  

หนานกงสือเยวียนสัมผัสได้ว่าแขนเสื้อของตนถูกดึง พอก้มลงมองก็เห็นคนตัวเล็กยืนทำตัวเงอะ ๆ งะ ๆ มองตามสายตาของนางก็พบหนานกงฉีซิว  

หนางกงสือเยวียน “…”

  

เขาก็พอรู้ว่าโอรสองค์โตของตนมักทำให้สาว ๆ ในเมืองหลวงหลายคนหลงใหลในรูปร่างหน้าตาที่หล่อเหลา ทั้งยังเคยได้ยินว่ามีคนร้องไห้โวยวาย สร้างเรื่องสร้างราวต่าง ๆ นานา ขู่ว่าจะแขวนคอตนเองบ้าง เพื่อหวังจะได้แต่งกับโอรสคนนี้ของเขา 

 

แต่มาบัดนี้ โอรสองค์โตของเขากลับตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่สู้ดีนัก

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ หนานกงสือเยวียนเหลือบมองขาของบุตรชายคนโต ลึกลงไปในดวงตาสีเข้มเกิดเป็นอารมณ์ที่ผู้ใดก็ไม่สามารถเข้าใจได้  

“ถวายพระพรเสด็จพ่อพ่ะย่ะค่ะ”  

หนานกงฉีซิวไม่เพียงดูดีเท่านั้น แต่ยังมีเสียงนุ่มใสราวกับหิมะที่โปรยปรายลงมาในคราแรก นี่คงเป็นผลมาจากความรักความเอ็นดูของพระแม่หนี่ว์วา*[2]ที่มีต่อเขา จึงสรรค์สร้างแต่สิ่งดี ๆ ให้คนผู้นี้

และเหมือนว่าสวรรค์จะอิจฉาที่เขาได้รับสิ่งดี ๆ มากเกินไป จึงให้เขาต้องทนทุกข์กับขาสองข้างที่ใช้การไม่ได้

 

หนานกงสือเยวียนส่ายหน้าน้อย ๆ ก่อนจะใช้นิ้วเรียวเคาะหน้าผากเสี่ยวเป่าเบา ๆ

“เสี่ยวเป่า คนผู้นี้คือพี่ใหญ่ของเจ้า”  

เสี่ยวเป่ายืนหลังตรง มองพี่ชายรูปงามตาปริบ ๆ จนในที่สุดนางก็เอ่ยเสียงยานคาง

“พี่ใหญ่…”  

ถึงจะเพิ่งพบกันครั้งแรก แต่นางก็ชอบพี่ใหญ่มาก  

หนานกงฉีซิวยกยิ้มบาง แต่เป็นรอยยิ้มที่มองแล้วรู้สึกอบอุ่นหัวใจ

“น้องหญิง มานี่สิ”  

ชายหนุ่มกวักมือเรียก เสี่ยวเป่าค่อย ๆ เดินเตาะแตะไปหาพี่ชาย

หนานกงสือเยวียนเริ่มไม่พอใจหน่อย ๆ เขาเพิ่งจะรู้ว่าเจ้าตัวเล็กนี่ชอบคนมูลค่าหน้าสูง*[2] ตั้งแต่นางพึมพำว่าท่านแม่สวยก็พอจะรู้แล้ว

จะมีลูกบ้านไหนบอกว่าแม่ตนเองสวยได้เต็มปากเต็มคำขนาดนี้! แม้แต่ยามหลับเจ้าตัวเล็กนี่ก็ยังชอบเอามือมาจับหน้าเขา! 

“พี่ใหญ่ ท่านดูดีสุด ๆ ท่านเป็นพี่ชายที่หน้าตาดีที่สุดที่เสี่ยวเปาเคยเห็น!”

เสี่ยวเป่าจ้องมองคนตรงหน้าด้วยดวงตาเปล่งประกายวิบวับ

หนานกงฉีเฉินเริ่มไม่พอใจแล้วเช่นกัน “เสี่ยวเป่า เจ้าหมายความว่าอย่างไร แล้วข้าเล่า ดูไม่ดีหรือ?” 

เสี่ยวเป่าโบกมือพัลวัน “ไม่ใช่ ๆ พี่หกก็ดูดีเหมือนกัน” 

อย่าคิดว่าพูดแค่นั้นแล้วข้าจะปล่อยเจ้าไปนะ เพราะเจ้ายังไม่ได้พูดคำนั้น คำว่าที่สุด!

“อะแฮ่ม… โต ๆ กันแล้ว สำรวมหน่อย!”

เปลือกตาของเซี่ยชิงหร่านเริ่มกระตุก เจ้าพวกเด็กน้อยมันน่านัก!  

เสี่ยวเป่ากล่าวว่า “พระสนมก็ดูดีเช่นกัน!”  

เซี่ยชิงหร่าน “…”

แม้ไม่อยากจะยอมรับ แต่เหตุใดนางถึงมีความสุขมากมายเพียงเพราะถูกเจ้าเด็กน้อยนี่ชมเสียงอ่อนเสียงหวานเช่นนี้  

หนานกงฉีเฉินบ่นพึมพำ “สายตาเจ้าคงมองสิ่งใดก็ไม่น่าเกลียดเลยสินะ”

หนานกงฉีซิวยกยิ้มมุมปาก ถูกชมว่าหน้าตาดีไยเขาต้องโมโห

เขาเคยได้ยินคนพูดเช่นนี้มานับครั้งไม่ถ้วน บางคนเจตนาดี บางคนเจตนาร้าย เสี่ยวเป่าก็แค่เด็กสามขวบ คำชมของนางไม่ได้ยกยอเกินความเป็นจริง ทั้งน้ำเสียงและสายตาที่ส่งมาล้วนเต็มไปด้วยความจริงใจ ซ้ำยังสัมผัสได้ถึงความเป็นกันเอง

หนานกงฉีซิวถอดจี้หยกออกมามอบให้นาง

“สิ่งนี้ให้เจ้าเป็นของขวัญ”

จี้หยกสีขาวบริสุทธิ์ผิวเรียบลื่น ถูกสลักเป็นภาพต้นจุหลัน*[3]ที่ดูพลิ้วไหวราวกับมีชีวิต เซี่ยชิงหร่านมองบุตรชายคนโตอย่างประหลาดใจ  

บุตรชายของนางชอบดอกกล้วยไม้มาก มิหนำซ้ำ จี้หยกชิ้นนี้ยังเป็นของล้ำค่าและหายากยิ่ง ทั้งพื้นผิวสวยงามและการแกะสลักที่สุดแสนจะประณีต มันอยู่ข้างกายเขามาตลอดหลายปี ทว่าบัดนี้เขามอบมันให้คนอื่นไปแล้ว

เหอะ… เจ้าเด็กนี่ทำให้คนเอ็นดูรักใคร่ได้เพียงนี้เลยหรือ?

เสี่ยวเป่าใช้มือทั้งสองข้างถือมันไว้อย่างทะนุถนอม และเก็บมันไว้ในกระเป๋าดอกไม้แห่งชีวิต ก่อนจะเอ่ยกับผู้เป็นพี่อย่างรอบคอบ

“เสี่ยวเป่าจะดูแลมันเป็นอย่างดี!”  

นางเอ่ยเสียงหนักแน่นอย่างกับองค์รักษ์ตัวน้อย

หนานกงฉีซิวลูบหัวนางพร้อมรอยยิ้ม และเอ่ยด้วยเสียงอ่อนโยน

“เช่นนั้นคงต้องลำบากเสี่ยวเป่าแล้ว”  

หนานกงฉีเฉินเห็นภาพนั้นแล้วก็กัดฟันแน่น หากเสด็จพ่อเสด็จแม่ไม่ได้อยู่ที่นี่ด้วยละก็… เขาจะต้องคว้าตัวเจ้าเด็กนั่นมาถามให้รู้แล้วรู้รอด

เจ้ามีพี่ใหญ่แล้วเลยลืมว่ามีพี่ชายอีกคนยืนอยู่ตรงนี้ใช่หรือไม่?! ผู้ใดที่เจ้าเคยบอกว่าชอบเขามากที่สุด? ความชอบของเจ้ามันส่งต่อไปให้ผู้อื่นได้อย่างนั้นหรือ!

  

“เสี่ยวเป่า”  

ความโกรธของหนานกงฉีเฉินใกล้ปะทุ โชคดีที่เสียงเรียบ ๆ ของหนานกงสือเยวียนดังขึ้นมาเสียก่อน ทำให้คนตัวเล็กวิ่งกลับมาทันที

  

“ท่านพ่อ” 

หนานกงสือเยวียนบีบแก้มนาง “ได้เวลาแล้ว”

เสี่ยวเป่าเดินตามเขาไปพร้อมกับถูแก้มตนเบา ๆ เหตุใดถึงรู้สึกว่าคราวนี้ท่านพ่อบีบแก้มนางแรงกว่าทุกที?  

เซี่ยกุ้ยเฟยกับฝ่าบาทเดินเคียงข้างกัน ทั้งสองมีกิริยาสูงส่งสง่างาม ยามก้าวเดินไปตามทางยิ่งดูสง่างามเหมาะสมกันอย่างยิ่ง

เด็กหญิงเหลือบมองอีกสองสามที จากนั้นก็เดินตามด้วยท่วงท่าเรียบร้อยเหมาะสม สิ่งที่นางได้เรียนรู้ในช่วงสองสามวันที่ผ่านมาถูกนำออกมาใช้

หนานกงฉีเฉินรีบเดินตามไป แต่ก็ไม่วายมองเจ้าก้อนแป้งด้วยสายตาขุ่นเคือง  

ส่วนหนานกงฉีซิวมีคนคอยเข็นรถให้ ทุกครั้งที่เห็นโอรสองค์โตเป็นเช่นนี้ เซี่ยชิงหร่านอดรู้สึกเป็นทุกข์ไม่ได้ 

แต่ตัวเขากลับยังคงสุขุมเยือกเย็นราวหิมะขาวบริสุทธิ์ ไร้มลทินมัวหมอง

เมื่อได้ชื่อว่างานเลี้ยงพระราชทาน ไม่ว่าจะจัดขึ้นด้วยเหตุผลใดย่อมต้องมีคนจำนวนมากต้องการเข้าร่วม  

แต่ไม่ใช่ผู้ใดอยากจะมาก็มาได้ มีเพียงผู้มียศถาบรรดาศักดิ์ เหล่าขุนนางและครอบครัวเท่านั้นที่สามารถเข้าร่วมงานดังกล่าวได้  

งานเลี้ยงในยามนี้ เหล่าขุนนางและครอบครัว รวมทั้งพระสนมนั่งตัวตรงประจำที่ของตนและเริ่มสนทนากัน 

ไม่นานเสียงขันทีก็ดังขึ้น  

“ฝ่าบาทเสด็จ หวงกุ้ยเฟยเสด็จ…” 

ทันทีที่คนสำคัญปรากฏตัว ผู้คนทั้งหมดก็ลุกขึ้นคุกเข่า

“ขอฝ่าบาททรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นหมื่นปี ขอพระสนมทรงพระเจริญพันปี พันพันปี…”  

เมื่อเผชิญหน้ากับสถานการณ์ตรงหน้า แม้เสี่ยวเป่าจะพยายามอย่างหนักเพื่อรักษาใบหน้าเล็ก ๆ ให้สงบนิ่งพลางท่องในใจว่า อย่าทำขายหน้า จะให้ท่านพ่อเสียหน้าไม่ได้!  

แต่นางก็ยังประหม่าอยู่ดี…

[1] พระแม่หนี่ว์วา หมายถึง เทพีผู้สร้างมนุษย์ตามตำนานจีน

[2] มูลค่าหน้าสูง หมายถึง คนหน้าตาดี

[3] ต้นจุหลัน คือ กล้วยไม้ดิน