บทที่ 43 พี่รอง

บทที่ 43 พี่รอง

นางใช้มือเล็กคว้าชายเสื้อท่านพ่อมาจับเพราะความประหม่า 

ทันทีที่นิ้วน้อย ๆ กำแขนเสื้อท่านพ่อได้เพียงพักเดียว มือแกร่งที่เย็นเฉียบก็คว้ามือนางไปจับไว้

เสี่ยวเป่าเงยหน้าขึ้นมองท่านพ่อ สีหน้าเขายังเรียบนิ่งดังเดิม เทียบกับที่นางเคยเห็นเป็นประจำนั้น ยามนี้ท่านพ่อดูองอาจน่าเกรงขามมากกว่า

หนานกงสือเยวียนแผ่ไอสังหารออกมาทั่วร่าง เห็นเช่นนี้แล้วผู้ใดยังจะกล้าดูหมิ่นฮ่องเต้หนุ่มผู้นี้

ฮ่องเต้ที่เป็นเช่นนี้คนส่วนใหญ่ยังต้องยอมถอยให้เก้าสิบลี้ ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงเด็กตัวน้อย ๆ แม้กระทั่งหมาแมวยังต้องหลบหลีก

แต่เสี่ยวเป่ากลับไม่กลัว เพราะนี่คือท่านพ่อของนาง

และถึงท่านพ่อจะไม่ได้มอง แต่ก็ยังคอยปลอบนางอยู่ข้าง ๆ 

เสี่ยวเป่าค่อย ๆ กำนิ้วมือของท่านพ่อไว้ เม้มปากและกะพริบตาปริบ ๆ  

นางยังจำสิ่งที่อันหมัวมัวสอนก่อนหน้านี้ได้ คราวนี้เจ้าก้อนแป้งจึงยกยิ้มเพียงเบา ๆ แต่ท่าทางที่ดูเหมือนร่าเริงยันปอยผมเช่นนี้ ยากที่จะปกปิดไว้ไม่ให้ผู้ใดสังเกตเห็น

ยกเว้นผู้ที่กำลังก้มหัว แต่เซี่ยชิงหร่านและเหล่าองค์ชายที่เงยหน้าอยู่นั้น ล้วนต้องชำเลืองมองนางอย่างช่วยไม่ได้

เสี่ยวเป่าไม่ได้สังเกตเห็นสายตาเหล่านี้ เพราะนางยังหลงอยู่ในห้วงความสุขอย่างกับดอกทานตะวันดอกน้อยเริงระบำท่ามกลางแสงอาทิตย์

แต่ต่อให้เสี่ยวเป่าอยากจะอยู่ข้าง ๆ ท่านพ่อตลอดเวลา ทว่าในเวลาเช่นนี้มันกลับเป็นไปไม่ได้ 

หากนี่เป็นความต้องการของหนานกงสือเยวียน คนอื่นย่อมไม่กล้าวิจารณ์สิ่งใด แต่หากนี่เป็นความต้องการขององค์หญิงน้อยแล้วละก็… คำซุบซิบนินทาย่อมเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

ดังนั้นเพื่อตัวของเสี่ยวเป่าเอง เขาจำต้องให้เสี่ยวเป่าไปที่อื่น

องค์ชายหก องค์ชายเจ็ด และองค์ชายแปดต่างมองเสด็จพ่ออย่างมีความหวังว่าน้องสาวจะได้นั่งข้างพวกเขา  

หนานกงสือเยวียนก้มลงมองเสี่ยวเป่า “อยากนั่งที่ใด?”  

นี่หมายความว่าเสี่ยวเป่าเลือกเองได้ 

ทันใดนั้น ทุกสายตาของคนในงานเลี้ยงก็จับจ้องมาที่นาง  

วันนี้เสี่ยวเป่าสวมชุดสีแดง ผมเงางามถูกประดับไว้ด้วยปิ่นระย้า นางผิวขาวบอบบางอยู่แล้ว ยิ่งดูยิ่งเปล่งประกายขึ้นไปอีก ริมฝีปากแดงระเรื่อและฟันขาวราวหิมะดูน่ารักน่าเอ็นดูเหมือนเทพธิดาตัวน้อยลงมาจากสรวงสวรรค์

ถึงจะยังประหม่าที่ถูกสายตามากมายจับจ้อง นางจึงพยายามอย่างหนักเพื่อยืดหลังให้ตรง 

อันหมัวมัวเคยกล่าวไว้ว่า ความลำบากใจของเสี่ยวเป่าก็คือความลำบากใจของท่านพ่อ นางไม่อยากทำให้ท่านพ่อต้องอับอาย!  

นางกวาดสายตามองไปรอบ ๆ พอเจอคนคุ้นหน้าคุ้นตา นัยน์ตาพลันฉายแววเปล่งประกายน่ามองสุด ๆ

“ท่าน… เสด็จพ่อ ข้าจะนั่งข้างเสด็จพี่ใหญ่”  

อันหมัวมัวยังบอกอีกว่า ในเวลาส่วนตัวที่มีแค่คนคุ้นเคยกันดีสามารถเรียกท่านพ่อได้ แต่หากเป็นโอกาสสำคัญและจริงจังก็ต้องเรียกเสด็จพ่อตามมารยาท  

นางจำมันได้ แต่ก็เกือบหลุดเรียกท่านพ่อเพราะมันชินปาก  

หนานกงสือเยวียนบีบมือขาวนุ่มของคนตัวเล็กเบา ๆ

หนานกงฉีซิวได้ยินเสี่ยวเป่าบอกอย่างนั้นก็เหมือนจะตกใจอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะยิ้มออกมา  

ด้านพี่ชายอีกสามคนเข่าแทบทรุด 

ทันทีที่ท่านพ่อพยักหน้า เสี่ยวเป่าก็ค่อย ๆ เดินไปหาพี่ใหญ่อย่างสำรวมท่ามกลางสายตาที่จับจ้อง

“พี่ใหญ่”  

หนานกงฉีซิวส่งเสียงตอบรับและใช้นิ้วมือเรียวงามลูบผมนาง  

งานเลี้ยงเริ่มขึ้น ทุกคนดื่มและสนทนากันอย่างออกรสออกชาติ ทั้งเสี่ยวเป่าและคนอื่น ๆ ต่างก็นั่งคุกเข่าราบอยู่บนเบาะนุ่ม ๆ ที่อยู่บนตั่งไม้อีกที การนั่งเช่นนี้นั้นจะไม่ทำให้ปวดขา  

เสี่ยวเป่าปฏิบัติตามที่อันหมัวมัวสอนได้เป็นอย่างดี นางนั่งตัวตรงและยิ้มอย่างอ่อนโยนให้พี่ใหญ่ที่นั่งอยู่ด้านข้าง 

หนานกงฉีซิวมองนางพร้อมยกยิ้มเบา ๆ เสียงของเขาชัดเจนและชุ่มชื้นราวกับน้ำพุในขุนเขา น่าฟังเป็นอย่างมาก  

“ไยเจ้าถึงอยากนั่งกับข้า ไม่ใช่ว่าเจ้าสนิทกับเสี่ยวลิ่วหรอกหรือ?”  

เสี่ยวลิ่วมักมาคุยโม้เรื่องน้องสาวที่ข้างหูเขาบ่อย ๆ ซ้ำยังทำท่าทางเหมือนอยากอวดน้องสาวให้ชาวโลกได้รับรู้

เสี่ยวเป่านั่งข้างพี่ชายตัวตรงสีหน้าจริงจัง  

“พี่หกนั่งอยู่ตรงนั้น พี่เจ็ดและพี่แปดก็ด้วย เสี่ยวเป่าเคยทำให้พวกเขาเกือบจะทะเลาะกัน เสี่ยวเป่าไม่อยากให้พวกพี่ ๆ ทะเลาะกันเพราะเรื่องที่นั่งของเสี่ยวเป่าอีก!”

หนานกงฉีซิวที่ได้ยินเช่นนั้นก็หันไปมอง สายตาปะทะเข้ากับน้องชายทั้งสามที่กำลังมองเขาด้วยแววตาขุ่นเคือง

จู่ ๆ เขาก็คลี่ยิ้มออกมา นี่มัน…เป็นอย่างที่นางว่าจริง ๆ หรือนี่

เสี่ยวเป่าเห็นสายตาขุ่นมัวของพี่ชายทั้งสาม ร่างเล็ก ๆ ที่อ่อนปวกเปียกในสายตาใครหลาย ๆ คนโน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย ทว่าตัวทั้งตัวของนางเกือบจะนอนราบอยู่บนโต๊ะ นางป้องปากเรียกด้วยน้ำเสียงน่ารักแบบเด็ก ๆ 

“พี่หก พี่เจ็ด พี่แปด”  

ไม่จำเป็นต้องอธิบายสิ่งใดมาก เพียงเรียกพวกเขาด้วยน้ำเสียงออดอ้อนวิงวอนขออภัย

ให้มันได้อย่างนี้สิ! แล้วสามคนนี้จะกล้าตำหนิเจ้าตัวเล็กนี่ลงคอได้อย่างไร ก็คงทำได้เพียงพึมพำว่าคนตัวเล็กไม่มีหัวใจ  

หนานกงฉีเฉินเอ่ยเสียงฮึดฮัดอย่างขัดใจ“คราวหน้าเจ้าต้องนั่งกับข้า!”

เสี่ยวเป่ารีบพยักหน้าเหมือนกับไก่จิกข้าวสาร  

หนานกงฉีจวินพลันรู้สึกว่าเขายอมไม่ได้ “ได้อย่างไร ไยคราวหน้าเจ้าไม่นั่งกับข้า!”

หนานกงฉีรุ่ยทำหน้านิ่ง “ข้าให้อภัยเจ้า แต่น้องหญิงต้องรับปากข้าเรื่องหนึ่งก่อน”

เสี่ยวเป่ายังคงพยักหน้าหาได้รู้เรื่องรู้ราวไม่

หนานกงฉีเฉิน “…เสี่ยวชีเจ้าเล่ห์เกินไปแล้ว!”  

เหล่าคนอายุน้อยพยายามคุยกันเสียงเบาราวกระซิบ ทั้งยังทำตัวเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่เสี่ยวเป่าหารู้ไม่ว่ามีสายตาหลายคู่จับจ้องมาที่นางอย่างสนอกสนใจ

“ข้าว่า…”  

เสียงที่ฟังดูเกียจคร้านของผู้ที่มีรอยยิ้มเบาบางดังมาจากเหนือศีรษะ 

“คุยกันข้ามหน้าข้ามตาพวกข้าอย่างนี้ไม่ดีกระมัง?”  

เสี่ยวเป่าที่เงยหน้าขึ้นมองด้วยความงุนงง สายตาพลันปะทะเข้ากับดวงตาจิ้งจอกที่แสนเรียวงามคู่หนึ่ง  

ผู้เป็นเจ้าของเสียงก็คือเด็กผู้ชายผู้หนึ่งที่อายุไล่เลี่ยกับพวกพี่ ๆ ในมือถือพัดที่กางออกเล็กน้อยเพื่อปิดหน้าส่วนใต้จมูกลงมา

ดวงตาคมเฉี่ยวอย่างเป็นธรรมชาติที่มาพร้อมรอยยิ้มกรุ้มกริ่ม หากตั้งใจมองให้ดีก็จะพบว่า มันเป็นเพียงรอยยิ้มบาง ๆ ที่ลอยอยู่บนผิวน้ำ ลึกลงไปในดวงตาสีดำสนิทเปรียบดั่งบ่อน้ำโบราณนำมาซึ่งความเย็นยะเยือกที่แทรกซึมสู่ไขกระดูก

ชายหนุ่มลดพัดอันประณีตลงช้า ๆ ร่างงามในอาภรณ์สีแดงฉูดฉาด ใบหน้าที่งดงามขลับกับชุดสีแดงยิ่งดูน่าหลงใหล

แต่ถึงแม้จะมีใบหน้าที่บอบบางและสวยงามกว่าสตรีก็ไม่มีผู้ใดมองว่าเขาเป็นหญิง มีเพียงสตรีน้อยใหญ่หลายนางเท่านั้นที่หลงใหลในตัวเขา  

เสี่ยวเป่าเคยเห็นอาเจ็ดสวมชุดสีแดงมาก่อน ทว่าเขาทั้งสองกลับให้ความรู้สึกที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

คนหนึ่งเป็นอดีตหนุ่มเจ้าสำราญบินร่อนดั่งผีเสื้อ ทั้งยังรักอิสรเสรีเช่นเดียวกับชื่อของเขา… เซียวเหยา*[1]

เซียวเหยาอ๋องไม่เพียงแต่ชอบสวมเสื้อผ้าสีแดงเท่านั้น ทว่ายังชอบเสื้อผ้าที่มีสีสันสดใสอีกด้วย  

สรุปคือเขาชอบแต่งตัวหรูหรา แม้อายุสามสิบก็ไม่เป็นปัญหา เพราะเขาดันเกิดมาหน้าตาดีเสียด้วย ทั้งยังสามารถจ่ายเงินซื้อเสื้อผ้าพวกนั้นได้สบาย ๆ

อีกคนคือชายหนุ่มผู้แสนเกียจคร้าน แต่สง่างามราวกับจิ้งจอก ภายนอกดูเหมือนพวกชอบเข้าสังคม แต่แท้จริงแล้วเขาแปลกแยกและไม่สนโลก

เสี่ยวเป่ามองเขาอย่างตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง หนานกงฉีโม่จึงเคาะหน้าผากเรียกสตินางด้วยพัดในมือ 

“เป็นอันใดไป… พี่รองของเจ้าดูดีมากอย่างนั้นหรือ?”  

รูปร่างหน้าตาของหนานกงฉีโม่ส่วนใหญ่ได้มาจากซีเฟยผู้เป็นแม่ นางเป็นบุตรสาวของเซวียนผิงโหว และได้รับขนานนามว่าเป็นสตรีที่งามที่สุดในเมืองหลวง

ทว่านอกจากจะได้ความงามจนผู้คนเหลียวหลังจากมารดาแล้ว หนานกงฉีโม่ก็ยังได้ความเป็นหนานกงสือเยวียนมาไม่น้อย ด้วยเหตุนี้ เขาจึงไม่ถูกผู้ใดเข้าใจผิดว่าเป็นสตรี  

เสี่ยวเป่าพยักหน้าตอบตรง ๆ “ดูดีมาก”  

ทว่าทันทีที่พูดจบ ดวงตานางก็สั่นระริก “พี่รอง!”

[1] เซียวเหยา (逍遥) หมายถึง ไร้ความกังวล ไร้พันธนาการ