บทที่ 29 สายตาประหลาด

“แต่อีกฝ่ายสภาพแย่กว่าข้า” พูดแล้วริมฝีปากชิงอวี่ก็โค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มดั่งผู้ชนะ

ที่มาของคำสาปเลือดนั่นไม่ธรรมดาแน่นอน

นัยน์ตาโหลวจวินเหยามีแสงวาดผ่าน แววเย็นชากระหายเลือดส่องประกายแวบหนึ่งอยู่ในนัยน์ตาสีม่วงมีเสน่ห์ดั่งปีศาจ

ชิงอวี่ปิดเปลือกตาลงไปแล้ว วิญญาณนางหลบเข้าไปยังมิติส่วนตัวของนาง ร่างกายนางได้รับบาดเจ็บหนัก หากไม่รีบฟื้นฟูอาจมีผลเสียตกค้างยาวนานได้

โหลวจวินเหยาสัมผัสได้ว่านางเริ่มปรับลมหายใจ ด้วยฝีมือด้านการแพทย์และพลังของนางแล้ว เขาจึงวางใจ ไม่เป็นกังวลมากอีกต่อไป

หากแต่…..

เขาเหลือบมองชุดขาวที่ชุ่มไปด้วยเลือดอีกครั้ง เมื่อรู้ว่านางปลอมตัวเป็นผู้ชายแล้ว เขาจึงไม่คิดเปลี่ยนชุดนางด้วยตนเองอีก

“เยว่จี” เขาเอ่ยเรียกเสียงเบา

สตรีนางหนึ่งเผยกายออกมาจากมุมมืด นางอยู่ในชุดผ้าไหมสีดำสนิท หน้าครึ่งหน้าถูกปกคลุมไว้ด้วยผ้าสีดำ มีเพียงนัยน์ตาสีดำคู่หนึ่งโผล่ให้เห็น

นางคุกเข่าลงข้างหนึ่ง น้ำเสียงของนางทั้งทุ่มต่ำและทรงเสน่ห์ “นายท่าน”

โหลวจวินเหยาพยักหน้าเล็กน้อย “เปลี่ยนชุดให้นางใหม่เสีย”

เยว่จีเงยหน้าขึ้นด้วยความประหลาดใจ ก่อนสายตาจะหยุดลงที่ร่างบางหน้าซีดขาว ทว่ากลับมีเสน่ห์อย่างชั่วร้ายที่นอนอยู่บนเตียงด้านหลังนายท่าน

ถึงในใจจะสับสนเช่นไร หากแต่นางก็เดินไปทำตามคำสั่งแต่โดยดี

ตอนที่เยว่จีกำลังถอดชุดของเด็กสาวออกนั่นเอง โหลวจวินเหยาก็เดินออกจากห้องไปไกลแล้ว

ชุดที่ถูกถอดออกมาจนหลวมระดับหนึ่งแล้ว ใช้แรงเพียงนิดก็ถอดออกได้อย่างง่ายดาย ภายใต้ชุดสีขาวนั้นคือเสื้อชั้นในตัวบาง

เมื่อเยว่จีถอดชุดชั้นนอกออก นางก็รู้ได้ในทันทีว่าร่างบางนุ่มนิ่มร่างนี้ ที่หน้าอกมีผ้ารัดอยู่ เป็นแม่นางผู้หนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย

ไม่น่า นายท่านถึง…..

หากแต่ แม่นางน้อยผู้นี้กับนายท่านมีความสัมพันธ์ใดกันแน่?

วินาทีที่ชิงอวี่หลบเข้าไปยังมิติของนาง นางก็หลอมรวมตนเองเข้ากับบ่อจิตวิญญาณ พลังวิญญาณในนั้นอุดมสมบูรณ์ นางหล่อเลี้ยงบำรุงวิญญาณตนครั้งแล้วครั้งเล่า หล่อหลอมจุดพลังในร่างจนแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิม

เรื่องราวในครั้งนี้ทำให้นางฉุกคิดว่าตัวนางยังอ่อนแอเกินไป

ในดินแดนเหล่านี้นางอาจมีฝีมือเหนือกว่าผู้อื่นเล็กน้อย ทว่ายังมีดินแดนระดับสูงกว่าอีกสองดินแดน ศัตรูที่นางเผชิญหน้าในครานี้เป็นผู้ที่มีพลังสูงส่งนัก

หากไม่ใช่ว่านางเคยใช้ชีวิตมาก่อนเมื่อชาติที่แล้วถึงยี่สิบกว่าปี การปะทะกับคู่ต่อสู้ในครั้งนี้ ด้วยพลังที่มีในชีวิตนี้อย่างเดียวเกรงว่าจิตวิญญาณนางคงจะแตกซ่านไปแล้วกระมัง

ที่โลกแห่งนี้ ผู้คนโหดร้ายกว่านัก

ความต้องการทำให้ตนแข็งแกร่งขึ้นของชิงอวี่พลันรุนแรงขึ้น ในตอนนั้นเอง กระทั่งตัวนางยังไม่รู้ว่าร่างที่แช่อยู่ในบ่อจิตวิญญาณของนางพลันเปล่งลำแสงสองสีออกมาเป็นสีแดงและทอง กระทั่งเจ้างูน้อยที่ขดตัวเป็นวงกลมอยู่ที่มุมหนึ่งยังถูกแรงสั่นสะเทือนจากพลังที่พลันปล่อยออกมาปลุกให้ตื่น

“เกิดอะไรขึ้น?” ใบหน้าของเจ้างูน้อยเต็มไปด้วยความสับสน ทันใดนั้นมันก็เห็นว่าที่เหนือบ่อจิตวิญญาณบ่อเล็กนั้นมีแสงสีสว่างวาบขึ้นกลางอากาศ

เป็นนัยน์ตาคู่หนึ่ง ที่ข้างหนึ่งสีแดง ข้างหนึ่งสีทอง ดูน่ากลัวและร้ายกาจ มันมองมายังเจ้างูน้อยด้วยสายตาแฝงรอยประชดประชัน

“ขยะไร้ค่า” เป็นแรงกดดันที่เต็มไปด้วยการบีบบังคับ น้ำเสียงหนักแน่นและทรงพลังทำให้เจ้างูถึงกับมึนงง ใช้เวลาอยู่นานกว่าจะตั้งสติได้

“บัดซบ! เจ้าคิดว่าตนเองเป็นใครกัน? กล้าวิจารณ์วัตถุศักดิ์สิทธิ์เช่นข้าได้อย่างไร!?” นัยน์ตาหรี่เล็กของเจ้างูเต็มไปด้วยความโกรธ

“วัตถุศักดิ์สิทธิ์? ที่ตรงไหนกัน? เหตุใดข้าจึงไม่เห็นสักชิ้น?” นัยน์ตาคู่นั้นทำทีเป็นมองไปทั่ว ก่อนที่สายตาจะหยุดลงบนตัวเจ้างู แกล้งทำเป็นเหมือนเพิ่งเข้าใจ “เจ้ากำลังบอกว่าหนอนน้อยอย่างเจ้าคือวัตถุศักดิ์สิทธิ์งั้นรึ? ฮ่า ๆ เจ้าจะทำข้าขำตาย”

คำพูดเช่นนั้นนับเป็นความอัปยศสูงสุด

นัยน์ตาเจ้างูแทบพ่นไฟออกมา ทว่านัยน์ตาที่ลอยอยู่กลางอากาศคู่นั้นช่างชั่วร้ายมากเสียจนเจ้างูไม่กล้าขยับตัวแม้เพียงนิด

“เอาล่ะ เจ้าหยุดจ้องข้าเช่นนั้นได้แล้ว ไม่ว่าจะจ้องข้านานเพียงไร เจ้ามันก็เป็นได้แค่ขยะไร้ประโยชน์ชิ้นหนึ่งเท่านั้น” นัยน์ตาคู่นั้นส่งประโยคทำร้ายจิตใจออกมาอีกหนึ่งประโยค “แต่ถึงกระนั้น ครั้งหนึ่งเจ้าก็เคยเป็นตัวตนทรงพลังที่สั่นสะท้านใต้หล้ามาก่อน หากแต่ตอนนี้กลับเสื่อมพลังลง ไม่อาจปกป้องได้กระทั่งนายหญิงของตน ทำได้เพียงหลบซ่อนตัวอยู่ในมิติเล็ก ๆ แห่งนี้ ใช้ชีวิตอันต่ำต้อยของตนต่อไป ฟังแล้วช่างน่าหดหู่ใจยิ่งนัก”

“แล้วเจ้าเป็นใคร?” เจ้างูหรี่ตาลง ในใจก็พยายามคาดเดาตัวตนของนัยน์ตาคู่นี้

“ข้าก็เป็นเหมือนเจ้า ปกป้องนายหญิงคนเดียวกัน” นัยน์ตาเอ่ยขึ้น เหลือบมองไปยังเด็กสาวที่ร่างแช่อยู่ในบ่อจิตวิญญาณด้วยความรัก ก่อนจะหันกลับมามองเจ้างู “ข้าหวังว่าเจ้าจะไม่เป็นตัวถ่วงนายหญิง หากไม่ใช่เพราะเจ้า การบำเพ็ญเพียรของนายหญิงก็คงไม่จมปลักอยู่กับหล่มไร้ความคืบหน้าเช่นนี้ เจ้าเองน่าจะรู้ตัวดี ด้วยความสามารถและพรสวรรค์ของนาง ดินแดนเหล่านี้ไม่อาจรั้งตัวนางไว้ได้”

จิตวิญญาณอาวุธสหายคู่ชีวิต ผูกชะตาฟ้าลิขิตร่วมกันไม่ว่าดีหรือร้าย

การบำเพ็ญเพียรของชิงอวี่เพิ่มสูงขึ้นทุกวัน มีความคืบหน้าดีเป็นอย่างยิ่ง หากแต่นางต้องแบ่งแก่นพลังของนางให้กับจิตวิญญาณอาวุธเพื่อให้เขาสามารถคืนร่างวิญญาณอย่างสมบูรณ์ได้

หากไม่เป็นเพราะเหตุนั้น ด้วยพรสวรรค์ที่นางมีอยู่ ในฐานะผู้ที่มีความสามารถสูงสุดในตระกูลเร้นลับ ตอนนี้นางคงจะไปสร้างชื่อให้ตนเองบนดินแดนระดับสูงสุดไปนานแล้ว

นัยน์ตาสีเงินและทองของเจ้างูสั่นเป็นระลอกคลื่น ใช้เวลาครู่หนึ่งกว่าเขาจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “ที่เจ้าปรากฏตัวขึ้นในวันนี้ แสดงว่าเจ้าต้องรู้วิธีทำให้ข้าคืนร่างวิญญาณ”

“เจ้าก็ไม่ได้ซื่อบื้อนี่นา” นัยน์ตาประหลาดไม่เอ่ยคำสบประมาทเจ้างูอีกต่อไป “เจ้ารออยู่ที่นี่ เมื่อครู่ข้าพบวิญญาณมนุษย์ผู้หนึ่งทรงพลังยิ่งนัก เขาเพิ่งสิ้นลมได้ไม่นาน ข้าสัมผัสได้ถึงพลังแข็งแกร่งในร่างวิญญาณนั้น แถมวิญญาณนั่นยังล่องลอยอยู่ไม่ไกลมาก พอข้าจับวิญญาณนั่นมาที่นี่ เจ้าก็ถือโอกาสกลืนวิญญาณนั่นเสีย”

สีหน้าเจ้างูน้อยมีความลังเลเจืออยู่ “วิญญาณมนุษย์หรือ แต่ว่า…..”

“เจ้าเอาแต่มีข้อแม้ วิชาฝังวิญญาณเองก็เป็นวิชามืดที่ชั่วร้ายอยู่เป็นทุนเดิม เจ้าเองก็นับเป็นวัตถุมืด เป็นเพราะสายเลือดบริสุทธิ์ของนายหญิงที่ทำให้เจ้ายังไม่ถูกความมืดกลืนกินก็เท่านั้น อย่างไรเสีย การกลืนวิญญาณมนุษย์ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร”

นัยน์ตาคู่นั้นพูดจบ ก็ทำท่าราวกับจะออกไปจริง ๆ เป็นตอนนั้นเองที่เจ้างูน้อยพลันสัมผัสได้ถึงความคุ้นเคยในจิตใจ ในหัวพลันนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ นัยน์ตาเจ้างูเบิกกว้างมองนัยน์ตาคู่นั้น “หรือว่าเจ้าคือ…..”

“ชิ เจ้าเพิ่งจะรู้ว่าข้าเป็นใครหรือ? นับวันเจ้ายิ่งไร้ประโยชน์ขึ้นทุกที”

เจ้างูน้อยเห็นนัยน์ตาคู่นั้นมองมาทางตนด้วยสายตาเย้ยหยัน จากนั้นมันก็เลือนหายไป ในใจเจ้างูพลันตระหนักรู้

แต่เมื่อคิดว่านัยน์ตาคู่นั้นสามารถช่วยมันได้ เจ้างูจึงไม่คิดสงสัยนัยน์ตาคู่นั้นที่ไร้ร่างมากจนเกินเหตุ

ท้องฟ้าภายนอกเริ่มเปลี่ยนสีเป็นสีเหมือนท้องปลาอย่างช้า ๆ

หลังจากแช่อยู่ในบ่อจิตวิญญาณทั้งคืน บาดแผลบนร่างชิงอวี่ก็สมานอย่างรวดเร็ว ในเวลาเดียวกันก็สัมผัสได้ว่า วิชาฝังวิญญาณที่นางบำเพ็ญเพียรเดิมติดขัดอยู่ที่ขั้นสี่ เมื่อคืนนางได้ทะลวงผ่านเป็นขั้นที่ห้าแล้ว

วิชาฝังวิญญาณมีทั้งหมดสิบขั้น แต่ละขั้นแยกออกเป็นห้าย่างก้าว เมื่อผ่านห้าขั้นแรกไปแล้ว การก้าวผ่านแต่ละย่างก้าวสามารถทำให้ผู้บำเพ็ญทะลวงขั้นได้

ยามฝึกวิชานี้จนถึงขีดสุดจะสามารถทะลวงผ่านช่องว่าง เข้าสู่ดินแดนเซียน เมื่อนั้นผู้บำเพ็ญจะกลายเป็นผู้ถือครองพลังอย่างแท้จริง สามารถกระดิกนิ้วสั่งฟ้าพลิกมือเรียกฝน

ชิงอวี่เมื่อชาติก่อนบำเพ็ญวิชาจนถึงขั้นแปด ยังไม่เคยเผชิญหน้ากับคนที่มีฝีมือทัดเทียมนาง ดังนั้นนางจึงโดดเดี่ยวนัก

ชีวิตครั้งนี้ นางต้องการจะเป็นผู้แข็งแกร่งเช่นเดียวกัน

ในขณะที่ชิงอวี่กำลังตื่นขึ้นมา นางก็เห็นฟ้าท้องฟ้าภายนอกส่องสว่าง แสงสีแดงสลัวน้อย ๆ ราวกับจะฉายผ่านนัยน์ตานางไป

เมื่อคืนนางแช่อยู่ในบ่อจิตวิญญาณทั้งคืน ในร่างไม่มีความผิดปกติใดทั้งสิ้น หากแต่เมื่อนางลุกขึ้นนั่งบนเตียง นางถึงเพิ่งสังเกตว่าชุดที่ตนสวมอยู่ไม่ใช่ชุดเดิม

หัวสมองนางพลันชะงักค้างไปในทันใด

ชุดนาง….. ใครเปลี่ยนชุดให้นาง? โหลวจวินเหยาหรือ??

ทันใดนั้นเอง ใบหน้างามหาใครเทียมก็เต็มไปด้วยความโกรธและความอับอาย

ประตูถูกผลักเปิดออกตามมาด้วยเสียงเอี๊ยดอ๊าด จากนั้นสตรีในชุดยาวสีเหลืองก็เดินเข้ามา ที่ใบหน้ามีผ้าบางปกปิดอยู่ครึ่ง

ชิงอวี่ประหลาดใจนัก นางมาที่นี่อยู่หลายครั้งแต่ไม่เคยเห็นสตรีผู้นี้มาก่อน ทว่าท่าทางของนางดูเฉลียวฉลาดมีไหวพริบเหมือนกับเหลียนจี

“ข้าชื่อเยว่จี” นางกล่าว เงยหน้าขึ้นเล็กน้อย

“เยว่จี?” ชิงอวี่เลิกคิ้วขึ้นน้อย ๆ “เจ้ากับเหลียนจีเป็นนักฆ่าหรือ?” เหตุใดจึงมีชื่อคล้ายคลึงกันเช่นนั้น?

เยว่จีตอบคำถามนางอย่างนบน้อม “ข้าเป็นองครักษ์เงาของนายท่าน มีหน้าที่ปกป้องนายท่าน”

“งั้นหรือ” ชิงอวี่พยักหน้าเข้าใจ จากนั้นจึงลุกขึ้นจากเตียง นางกำลังจะเดินออกไปข้างนอก หากแต่หันหน้ากลับมาราวกับเพิ่งนึกอะไรออก “เมื่อคืน….. ใครเป็นคนเปลี่ยนชุดให้ข้า?”

เยว่จีถูกถามเช่นนั้นก็ชะงักไปเล็กน้อย “เป็นข้า”

พริบตาต่อมา นางก็เห็นว่าใบหน้าของเด็กสาวที่เดิมทีดูเคร่งเครียดพลันเผยยิ้มออกมา “เช่นนั้นก็ดี ขอบใจเจ้ามาก”

จากนั้นเด็กสาวก็เดินจากไปฝีเท้าแผ่วเบาว่องไว

สีหน้าเยว่จีค่อนข้างสับสน แม่นางน้อยกำลังมีความสุขกับเรื่องอะไรกัน?

โหลวจวินเหยาเพิ่งจะเดินเข้ามาตอนที่เห็นร่างบางกระโดดข้ามกำแพงหอเมฆาเคลื่อนไป ท่าทางดูอ่อนเปลี้ยเล็กน้อย

เด็กคนนั้น นิสัยราวกับแมวป่าดุร้ายนัก!

“นายท่าน” เยว่จีเดินเข้ามา เมื่อเห็นว่าที่มุมปากเขามีรอยยิ้มบางแต้มอยู่ นางก็ประหลาดใจนัก

โหลวจวินเหยาดึงสายตากลับมา “ตอนนางไป ได้กล่าวอะไรหรือไม่?”

เยว่จีส่ายหน้า เอ่ยขึ้นพร้อมความรู้สึกมึนงงเล็กน้อย “นางถามเพียงว่าใครเป็นคนเปลี่ยนชุดให้นางเจ้าค่ะ”

“หืม?” โหลวจวินเหยาเลิกคิ้ว

“ข้าตอบไปว่าข้าเป็นคนเปลี่ยนให้ นางก็ตอบกลับมาว่า เช่นนั้นก็ดี จากนั้น….. นางดูท่าจะอารมณ์ดีนะเจ้าคะ” เยว่จีรายงานสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างตรงไปตรงมา “ข้าไม่รู้ว่านางอารมณ์ดีเรื่องอะไร”

ได้ยินดังนั้น รอยยิ้มของโหลวจวินเหยาก็กว้างขึ้น นัยน์ตาสีม่วงเป็นประกายชวนมองไม่เหมือนทุกที หรือนางคิดว่าเรื่องที่นางเป็นผู้หญิงยังไม่ถูกเปิดโปง?

ซื่อบื้อจริง

เยว่จีมองนายท่านของนางเดินออกไป หน้าตาดูชอบใจนัก

นายท่าน….. กับเด็กสาวผู้นั้น….. มีบางอย่างแปลก ๆ

ถึงแม้ว่านางไม่อาจล่วงรู้ได้ว่ามีตรงไหนที่แปลกก็ตาม

— จวนหย่งอันอ๋อง —

ในที่สุดเยี่ยนหนิงลั่วที่ไม่กลับจวนมานานหลายวัน ก็ตัดสินใจกลับมาในที่สุด

อย่างไรเขาก็เป็นพี่ชายแท้ ๆ ของนาง พี่น้องย่อมไม่ถือโทษโกรธเคืองกันนาน ดังนั้นนางจึงเตรียมตัวกลับไปคุยกับท่านพี่ของนายเสียให้เรียบร้อย ขอแค่ท่านพี่ไม่ทำให้ท่านแม่หมองใจเรื่องเด็กแฝดสองคนนั้นเป็นพอ

ทว่ายามที่นางก้าวถึงประตูจวน กลับเห็นรถม้าหรูหราทว่าดูเรียบง่ายคันหนึ่งจอดอยู่ด้านนอก เยี่ยนหนิงลั่วไม่เคยเห็นรถม้าคันนี้มาก่อน ดังนั้นจึงคิดว่าด้านในคงจะมีแขกมาเยี่ยมเยือนเป็นแน่

หากแต่นางคงไม่ทันคิดว่าแขกผู้นั้นเป็นใคร

“หนิงเอ๋อร์ เจ้ากลับมาแล้วไม่เข้ามาข้างในเล่า?” เยี่ยนซีเฉิงกำลังรับแขกอยู่ที่ห้องโถงใหญ่ เมื่อเงยหน้าขึ้นกลับเห็นน้องสาวที่ไม่ได้เจอมาหลายวันยืนอยู่ที่หน้าประตู

เยี่ยนหนิงลั่วอยู่ในชุดกระโปรงสีเขียวควัน รอบกายแผ่บรรยากาศน่าหลงใหล ท่วงท่าเย็นชาดุจน้ำแข็ง นัยน์ตาสดใสจ้องมองเข้าไปยังห้องโถงใหญ่ด้วยแววตาไม่ใส่ใจ

คือองค์รัชทายาทซวนหยวนเช่อ

เป็นคนสุดท้ายเยี่ยนหนิงลั่วอยากเจอ

“หนิงเอ๋อร์ ไม่เข้ามาทักทายองค์รัชทายาทหน่อยหรือ?” เมื่อเยี่ยนซีเฉิงเห็นว่านางไม่ขยับกาย เขาก็คิดว่านางคงจะเขินอายเป็นแน่ จึงลุกขึ้นเดินไปดึงนางเข้ามา

ซวนหยวนเช่อเลิกคิ้วขึ้นมองสีหน้าเย็นชาของเยี่ยนหนิงลั่ว หึ ไม่ว่ามองอย่างไรก็ทำให้ระคายตายิ่งนัก คนพวกนั้นน่าจะตาบอดเป็นแน่! เหตุใดจึงเรียกหญิงสาวเช่นนี้ว่าเป็นโฉมสะคราญล่มเมืองได้?

“องค์รัชทายาท ช่วงนี้พระองค์ดูว่างนะเพคะ!” เยี่ยนหนิงลั่วเอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้มจอมปลอม

“ข้าคงไม่มีเวลาว่างเท่าองค์หญิงหรอก ตัวข้าองค์รัชทายาท ในภายภาคหน้าต้องครองแคว้น ไม่อาจเกียจคร้านไม่ว่าเรื่องการบำเพ็ญเพียรหรือเรื่องบ้านเมือง” ซวนหยวนเช่อเอ่ยขึ้นน้ำเสียงอ่อนโยน คำที่กล่าวออกมาฟังดูไร้พิษภัย หากแต่เต็มไปด้วยแววเย้ยหยัน