บทที่ 30 ชอบฉันก็แปลว่าป่วยหนักแล้วล่ะ ต้องได้รับการรักษา!

สาวงามตัวร้าย : ท่านจอมมารได้โปรดโดนตกซะทีเถอะ!

บทที่ 30 ชอบฉันก็แปลว่าป่วยหนักแล้วล่ะ ต้องได้รับการรักษา!

“งั้นหรือเพคะ? ข้าสงสัยนักว่ามีเหตุอันใดที่ทำให้องค์รัชทายาทต้องสละเวลาอันมีค่าทั้งที่งานก็ยุ่งพอตัวอยู่แล้วเพื่อมาที่จวนหย่งอันอ๋องในวันนี้?”

“ไม่ใช่เรื่องสำคัญมาก เดินทางผ่านเลยแวะมาเยี่ยมเท่านั้น”

“เช่นนั้นองค์รัชทายาทก็ควรกลับได้แล้ว ท่านคงมีเรื่องอีกมากให้ต้องไปจัดการ พวกข้าไม่รบกวนให้ท่านอยู่ร่วมรับประทานอาหารด้วยหรอกเพคะ”

“บังเอิญจริง ข้ารู้สึกหิวอยู่นิดหน่อยพอดี”

“อาหารเรียบง่ายธรรมดาของจวนอ๋องคงไม่ถูกปากองค์รัชทายาท”

“ไม่เป็นไร ข้าไม่ถือ”

เยี่ยนซีเฉินถึงกับพูดอะไรไม่ออก “…..” บรรยากาศน่าอึดอัดเช่นนี้ เขาไม่อาจหาทางผ่อนคลายลงได้เลยจริง ๆ

เห็นคนทั้งคู่ใช้คำพูดยอกย้อนกันไปมาเช่นนี้เป็นภาพที่แปลกตายิ่งนัก ถึงจะเคยเห็นภาพเช่นนี้มาแล้วหลายปี ทว่าเขาก็ยังไม่อาจชินชากับท่าทางที่คนทั้งสองใช้พูดคุยกันอยู่ดี

ทว่าไม่นานบรรยากาศน่าอึดอัดก็ถูกทำลายลงอย่างรวดเร็ว

เมื่อหันไปมองคนที่ทิ้งตัวลงพิงกับพนักเก้าอี้อย่างแรง ปล่อยเสียงหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่งราวกับไม่อาจกลั้นไว้ได้อีกต่อไป น้ำตาไหลนองหน้า ก็จะเข้าใจเองว่าใครเป็นคนทำลายบรรยากาศน่าอึดอัดเช่นนี้ลง

“ฮะ ๆ ฮ่า ๆ ๆ~ นี่ อย่ามองข้าแบบนั้นสิ! พวกเจ้าต่อเลย! น่าขันเกินไปแล้ว! โอ๊ยยย….. ท้องข้า….. ฮ่า ๆ~”

ซวนหยวนเช่อยังจ้องมองเขาต่อไป “…..”

เยี่ยนหนิงลั่วขมวดคิ้วใส่ “มู่ฉือ หัวเราะอะไรของเจ้า?”

อาจกล่าวได้ว่าเยี่ยนหนิงลั่วและมู่ฉือค่อนข้างสนิทกัน เนื่องด้วยสำนักละอองหมอกและสำนักไร้สิ้นสุดมีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน ระหว่างสองสำนักยังมีการแลกเปลี่ยนศิษย์เพื่อไปศึกษายังอีกสำนัก ในช่วงที่เยี่ยนหนิงลั่วเดินทางไปยังสำนักไร้สิ้นสุด นางได้รับการสั่งสอนจากอาจารย์ท่านเดียวกับมู่ฉือ

มู่ฉือกุมท้องตนแน่น ฝืนกลั้นอยู่นานจึงหยุดหัวเราะได้ “ข้าขอพูดอะไรหน่อย พวกเจ้าสองคนไม่ใช่ว่าเป็นคู่หมั้นกันหรอกหรือ? เหตุใดความสัมพันธ์ของพวกเจ้าถึงได้บาดหมางกันเช่นนี้? ข้าหัวเราะเกือบตายแล้วพวกเจ้ารู้หรือไม่? หากคนไม่รู้คงได้หาว่าพวกเจ้าเป็นศัตรูคู่แค้นกัน!”

เยี่ยนหนิงลั่วยิ้มเยาะ “พวกเราเป็นศัตรูคู่แค้นกันไงเล่า!”

“ข้าไม่เข้าใจสักนิดว่าเหตุใดเสด็จพ่อ ถึงเลือกสตรีเช่นนี้มาเป็นพระชายาของข้า” ซวนหยวนเช่อเอ่ยขึ้นเสียงหมดหนทาง

“หือ? ซวนหยวนเช่อ! ไหนเจ้าว่าอีกทีสิ! สตรีเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร!?” เยี่ยนหนิงลั่วนัยน์ตาเบิกกว้าง ได้ยินอย่างนั้นแล้วนางก็ไม่เรียกเขาอย่างยกย่องอีกต่อไป “เจ้าจะหาเรื่องกันหรือ!?”

“ขออภัย ข้าไม่ตีกับผู้หญิง” ซวนหยวนเช่อเอ่ย ริมฝีปากโค้งขึ้นเล็กน้อย ทำท่าราวกับตนเป็นสุภาพบุรุษผู้สง่างามเสียเต็มประดา

“หึ! สามเดือนหลังจากนี้! เจอกันบนลานประลอง” เยี่ยนหนิงลั่วลั่นคำท้ารบขึ้นมาอย่างไม่ลังเล

เยี่ยนซีเฉิงเห็นว่าสถานการณ์ยิ่งเลวร้ายลงเรื่อย ๆ จึงรีบยิ้มแย้มขึ้นก่อนจะเอ่ยไกล่เกลี่ยสถานการณ์ “เอาล่ะ ๆ อย่าเป็นเช่นนี้เลย คนอื่นเห็นจะโดนหัวเราะเอาเปล่า ๆ หนิงเอ๋อร์ ไม่ว่าจะอย่างไรองค์รัชทายาทก็ยังเป็นคู่หมั้นของเจ้า รู้บ้างหรือไม่ว่ามีสตรีเท่าไหร่ที่อิจฉาริษยาเจ้า?”

“เป็นเพราะพวกนางไม่รู้ว่าคนผู้นี้ไม่ได้เป็นดั่งสิ่งที่เขาแสดงออก หากแต่เป็นอสูรห่มหนังมนุษย์” เยี่ยนหนิงลั่วกล่าวพร้อมเหลือบมององค์รัชทายาท ก่อนจะหมุนตัวเดินจากไปไม่หันมามองอีก ปล่อยให้เยี่ยนซีเฉิงขอโทษขอโพยองค์รัชทายาทด้วยใบหน้าอึกอัก

“หนิงเอ๋อร์ถูกตามใจตั้งแต่ยังเล็ก ขอองค์รัชทายาทโปรดอภัย”

มู่ฉือยังอุตส่าห์ยื่นหน้าเข้ามาถามด้วยใบหน้าสงสัยใคร่รู้ “ท่านพี่ เหตุใดข้าถึงไม่รู้ว่าท่านเป็นอสูรห่มหนังมนุษย์เลยเล่า? นี่ท่านไปทำเรื่องชั่วร้ายอันใดไว้กับแม่นางผู้น่าสงสารกันแน่??”

เมื่อซวนหยวนเช่อมองใบหน้าที่ยิ้มกริ่มดูมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่นแล้ว เขาก็เงื้อมือขึ้นตบหัวมู่ฉือด้วยความโกรธเกรี้ยวในทันที “อสูรบ้านเจ้าสิ”

มู่ฉือมุมปากกระตุกเล็กน้อย เยี่ยมมาก ท่านพี่โกรธเสียแล้ว อย่าทำให้เรื่องวุ่นวายมากกว่านี้เลยดีกว่า ปล่อยให้เขาหงุดหงิดไปคนเดียวก็แล้วกัน!

ใช่แล้ว วันนี้เขามาที่นี่เพราะมีเรื่องสำคัญนี่นา

อืม เขากลับไปคิดมาหนึ่งคืนเต็ม วันนี้ตัดสินใจแล้วว่าจะมาหาแม่นางน้อยผู้นั้นเพื่อสารภาพรัก

เมื่อไรที่หลับตาก็จะเห็นนัยน์ตาคู่นั้นกับรอยยิ้มยวนใจของนาง อยู่มาจนถึงตอนนี้ มู่ฉือไม่เคยคิดถึงผู้ใดทั้งวันทั้งคืนเช่นนี้มาก่อน

เขาคิดว่าตนคงต้องถูกพิษเป็นแน่ ถูกแม่นางน้อยนามว่า “ซู่เหยียน” วางยา

เขาถือโอกาสหาข้ออ้างหลบออกมาระหว่างที่เยี่ยนซีเฉิงกับซวนหยวนเช่อกำลังคุยกัน

ดังนั้นเมื่อชิงอวี่กลับมาถึงจวน นางจึงพบกับภาพฉากนี้

น้องชายของนางกำลังนั่งอยู่ในห้อง พูดคุยกับบุรุษท่าทางคุ้นตาผู้หนึ่งอย่างออกรส ดูราวกับว่าคนทั้งคู่มีเรื่องให้คุยกันมากมาย

นางเลิกคิ้วขึ้นสูง เสี่ยวเป่ยพาเพื่อนมางั้นหรือ?

“พี่ ท่านกลับมาแล้ว” เมื่อชิงเป่ยเห็นว่านางกลับถึงเรือน เขาก็เคลื่อนเก้าอี้เข็นมาต้อนรับ “เพื่อนท่านมาหา รอได้ครู่หนึ่งแล้ว”

“เพื่อนข้า?” ชิงอวี่เงยหน้าขึ้นมอง เห็นว่าคนผู้นั้นส่งยิ้มสดใสมาให้นาง

ชิงอวี่ “…..” ยังกับสัมภเวสีที่สลัดอย่างไรก็ไม่หลุด!

มู่ฉือทำทีเป็นไม่เห็นสีหน้านาง “แม่นางซู่เหยียน เราพบกันอีกแล้ว”

ชิงเป่ยทำหน้าสงสัย “?”

แม่นาง….. ซู่เหยียน??

ชิงอวี่มองใบหน้าพิศวงของน้องชายตน จากนั้นจึงลูบหัวเขาเบา ๆ เป็นสัญญาณบอกให้เขากลับเข้าไปด้านใน

ชิงเป่ยไม่เคยขัดคำสั่งนาง เขาพยักหน้ารับก่อนจะเคลื่อนเก้าอี้เข็นตนเข้าไปในห้องด้วยตนเอง

จากนั้นชิงอวี่จึงนั่งลง รินชาให้ตนและมู่ฉือคนละถ้วย “คุณชายมู่…..”

“เรียกข้ามู่ฉือ หรือจะเรียกอาฉือก็ได้”

ชิงอวี่เริ่มรู้สึกขมับกระตุก “พวกเราพบกันเพียงสองครั้ง เรียกคุณชายแบบนั้นคงไม่เหมาะ”

คนผู้นี้ไม่ทำตัวสบายเกินไปหน่อยหรือ!?

ได้ยินเช่นนั้น สีหน้ามู่ฉือพลันเปลี่ยนเป็นจริงจัง “ใครบอกว่าเราพบกันเพียงสองครั้ง?”

“แล้วไม่ใช่หรือ?” ชิงอวี่ขมวดคิ้วมุ่น หากนางเคยพบเขามาก่อน อย่างน้อยต้องคุ้นหน้าเขาบ้าง

“หากรวมครั้งนี้แล้วก็เป็นสามครั้งไงเล่า!” มู่ฉือพูดด้วยสีหน้าจริงจัง

ชิงอวี่ “…..”

“แม่นางซู่เหยียน ข้ามาที่นี่เพราะมีเรื่องสำคัญอยากให้เจ้าช่วย” ในที่สุดมู่ฉือก็เผยจุดประสงค์ที่มาในวันนี้ขึ้น ดูท่าทางคงจะเป็นเรื่องที่จริงจังพอตัว เนื่องจากท่าทางเขาเคร่งขรึมยิ่งนัก

ชิงอวี่จิบชาอึกหนึ่งให้ชุ่มคอก่อนเอ่ยขึ้น “มีเรื่องอะไรหรือ?”

“ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นนักปรุงยา ทั้งยังมีวิชาแพทย์ล้ำเลิศ” มู่ฉือเริ่มพูด

“อืม แล้วอย่างไร?” ชิงอวี่เลิกคิ้ว คาดเดาว่าเขาคงอยากให้นางไปช่วยคน หรือไม่ก็ให้ช่วยปรุงยาบางอย่างให้

มู่ฉือถอนหายใจยาวออกมา จากนั้นหันมามองนางด้วยนัยน์ตาเว้าวอน “ข้าว่าข้าป่วย”

“ท่านน่ะหรือ?” ชิงอวี่มองเขาอย่างถี่ถ้วนหนึ่งครา ใบหน้านั้นแดงเป็นสีดอกกุหลาบ พละกำลังเต็มเปี่ยม ไม่เหมือนคนป่วยแม้แต่นิด

มู่ฉือเห็นว่านางมองเขาด้วยสายตาสงสัย ดังนั้นจึงรวบรวมความกล้า คว้ามือนางมาวางบนอกตน “เจ้าเห็นหรือไม่? ไม่ใช่ว่าใจข้าเต้นแรงผิดปกติไปหน่อยหรือ!?”

ชิงอวี่ถูกคว้ามือไปวางบนอกอย่างฉับพลันก็สะดุ้งเล็กน้อย และเมื่อได้ยินเขาพูดออกมาเช่นนั้นแล้ว ดูท่าใจเขาจะเต้นแรงและเร็วผิดปกติยิ่งกว่าเดิมเสียอีก!

หรือเขาจะป่วยเป็นโรคที่นางไม่เคยพบมาก่อนจริงหรือ?

“ตั้งแต่วันนั้นที่ข้ากลับไป เจ้าก็มาปรากฏตัวอยู่ในความฝันข้าอยู่หลายครา ทั้งรอยยิ้มของเจ้า น้ำเสียงของเจ้า คำพูดทุกคำของเจ้า ยังคงชัดเจนในความทรงจำ เจ้าบอกข้าได้ไหมว่าข้าเป็นอะไร?”

ชิงอวี่ชะงักค้างไป

เดี๋ยว….. เดี๋ยว ประเดี๋ยวก่อน ขอเวลานางครุ่นคิดสักครู่

เจ้าหนุ่มผู้นี้ ไม่ใช่ว่ากำลังสารภาพรักกับนางอยู่หรือ?

วินาทีต่อมาความคิดของนางก็ได้รับการยืนยัน

“แม่นางซู่เหยียน ข้ารู้ว่าพูดเช่นนี้อาจจะหุนหันไปนิด แต่หากข้าไม่เผยความในใจนี้กับเจ้า ไม่ให้เจ้าได้รับรู้ความรู้สึกของข้า ข้าไม่อาจทนทรมานเก็บมันไว้ในใจข้าได้อีกต่อไป เป็นครั้งแรกที่ข้าชอบแม่นางผู้หนึ่งเช่นนี้ ข้าไม่รู้ว่าตนเองต้องพูดเช่นไร ข้า…..”

‘โครม!’

ที่ภายในห้องมีเสียงเหมือนเก้าอี้เข็นล้มคว่ำดังขึ้น

ชิงเป่ยเพ่งมองสถานการณ์ด้านนอกด้วยความตั้งใจมาโดยตลอด หากแต่ไม่กล้าแอบฟังให้เห็นเด่นชัดนัก ดังนั้นจึงซ่อนตัวแอบดูสถานการณ์อย่างเงียบเชียบ

ทว่าฉับพลันได้รับรู้เรื่องราวเช่นนั้น เขาไม่อาจย่อยสารนี้เข้าสมองได้ทันจริง ๆ

เก้าอี้เข็นตนล้มคว่ำลงกับพื้นเช่นนี้ ปฏิกิริยาแรกของชิงเป่ยไม่ใช่ว่าตนรู้สึกเจ็บปวดที่ตรงไหน หากแต่เป็นความคิดที่ว่าพี่สาวของตนถูกสารภาพรักจากชายหนุ่มผู้หนึ่งที่ไล่ตามนางมาจนถึงหน้าประตูเรือนเลยอย่างนั้นหรือ!?

นางไปหาชายหนุ่มผู้นี้มาจากไหน?

พวกเขาอยู่ด้วยกันแทบจะตลอดเวลา แยกกันก็มีเพียงตอนบำเพ็ญเพียรที่กินเวลาเพียงไม่กี่วัน

เรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นทั้งที่เขาไม่รู้เรื่องเลยได้อย่างไร!?

ไม่ว่าจะคิดอย่างไรก็เกินความเข้าใจของเขาจริง ๆ

เสียงดังโครมเช่นนั้น หากไม่ใช่คนหูหนวกอย่างไรก็ต้องได้ยิน

น้องชายนางมาได้ยินเรื่องเช่นนี้ จะมีเรื่องใดน่าอายไปมากกว่านี้ได้อีก!?

ชิงอวี่ส่งยิ้มแห้งให้ชายหนุ่มตรงหน้าที่ยังคงจ้องหน้านางอย่างเอาจริงเอาจัง “พ่อหนุ่ม ท่านป่วยหนักเชียวล่ะ ต้องได้รับการรักษา!”

มู่ฉือกะพริบตาตอบกลับอย่างใสซื่อ “เจ้ารักษาได้หรือไม่?”

“แน่นอน” ชิงอวี่พยักหน้า “คืนนี้กลับมาที่นี่อีกครั้ง อาการทั้งหมดของเจ้าจะได้รับการรักษาจนหาย”

“ค….. คืนนี้?” เมื่อนางเอ่ยคำว่าคืนนี้ไป ไม่อาจรู้ได้ว่าในหัวมู่ฉือกำลังนึกภาพเช่นไรอยู่ ด้วยบนแก้มทั้งของข้างของเขาพลันมีสีแดงอ่อนเห่อขึ้นมา

“…..” เจ้าบ้าผู้นี้ ในหัวคิดเรื่องสกปรกอันใดอยู่กันแน่!?

“เอาล่ะ ถ้าเช่นนั้น….. เช่นนั้นข้าขอตัว” ใจเขาเริ่มเต้นแรงอย่างบ้าคลั่งขึ้นอีกครา มู่ฉือไม่กล้าอยู่ตรงนั้นอีกต่อไป เขารีบลุกขึ้นเดินจากไปด้วยความ ‘ขวยเขิน’ ก่อนที่หูจะเริ่มมีสีแดงเห่อขึ้นมาด้วยเช่นกัน

รอยยิ้มบนหน้าชิงอวี่เลือนหายไปอย่างรวดเร็ว นัยน์ตาขรึมลง “เจ้าเด็กบ้า! ออกมานี่เดี๋ยวนี้!”

ชิงเป่ยไอแห้ง ๆ ออกมาสองสามครั้ง จากนั้นจึงโผล่ออกมาจากในห้อง “แฮะ ๆ คือว่า…..”

“ได้ยินแล้วชอบหรือไม่?” ชิงอวี่หันไปมองเขาจากด้านข้าง

“ไม่เลย ไม่ชอบแม้แต่นิด” ชิงเป่ยลูบท้ายทอยตนหน้าเจื่อน “ผู้ชายคนนั้นเป็นใคร?”

“เจ้าโง่ที่ส่งทองมา” ชิงอวี่เอ่ยขึ้นอย่างรำคาญใจ

“ท่านปล้นเงินเขามามากขนาดนี้ เขายังอุตส่าห์ตกหลุมรักท่านได้ ไม่ใช่ผู้ชายแบบที่ท่านชอบเลยจริง ๆ” ชิงเป่ยแสดงสีหน้าชื่นชม ทว่าเมื่อพูดอีกประโยคใบหน้าก็พลันเปลี่ยนเป็นกังวล “เขาจะสร้างปัญหาหรือไม่? หากเขาเริ่มมาที่นี่บ่อยเข้าละก็…..”

“เจ้าวางใจได้” ชิงอวี่พลันแย้มยิ้มกว้าง เผยให้เห็นฟันขาว “คืนนี้ข้าจะทำให้เขาไม่กล้ากลับมาที่นี่อีกเป็นครั้งที่สอง!”

เมื่อยามราตรีมาถึง มู่ฉือก็มาตามที่ตกลงกันไว้ พระจันทร์ลอยเด่นอยู่ท่ามกลางท้องฟ้ายามค่ำคืน เป็นค่ำคืนที่สวยงามยิ่ง

ช่างเป็นคืนที่ดีจริง! เป็นคืนที่เหมาะแก่การชมจันทร์ท่ามกลางทุ่งดอกไม้

มู่ฉือมุ่งหน้ามายังเรือนสงบเงียบก่อนจะพบว่าไม่มีผู้ใดอยู่แม้สักคน ทั่วทั้งเรือนตกอยู่ในความมืดมิด ไม่มีแสงไฟแม้แต่น้อย

มู่ฉือประหลาดใจเล็กน้อย “หรือนางจะหลับไปแล้ว?”

เป็นไปไม่ได้ นางเป็นคนบอกให้เขามาที่นี่คืนนี้เองนี่นา!

“กร้วม ๆ” เสียงที่ได้ยินแล้วชวนให้ขนลุกพลันดังเข้าหูเขา

เป็นเสียงที่เหมือนกับสัตว์อสูรกำลังฉีกเนื้อเหยื่อของตนกัดกินอย่างเอร็ดอร่อย

มู่ฉือพลันใจสะดุด เขาเปลี่ยนฝีเท้าตนให้เบาหวิว เดินย่องตรงไปยังต้นเสียง

เขาแหวกกอสมุนไพรพุ่มหนาพุ่มหนึ่งออกก่อนจะได้ยินเสียงกัดกินดังขึ้นเรื่อย ๆ ตามมาด้วยเสียงของคนผู้หนึ่ง

“อื้มมม….. รสเยี่ยม ดีจริง กร้วม ๆ ๆ…..”

ห่างออกไปไม่ไกลนักคือเงาร่างมนุษย์ผู้หนึ่งกำลังนั่งหันหลังให้เขาอยู่ ร่างนั้นกำลังนั่งยอง ๆ ดูท่ากับกำลังฉีกร่างอะไรบางอย่างด้วยความบ้าคลั่ง เป็นภาพที่โชกเลือดยิ่งนัก เมื่อเบิกตามองดี ๆ ก็เห็นว่าเนื้อชิ้นนั้นคือแขนมนุษย์อ้วนข้างหนึ่งที่ชุ่มโชกไปด้วยเลือดสีแดงฉาน

มู่ฉือถึงกับสำลักอากาศคำใหญ่เข้าปอด นัยน์ตาเบิกกว้าง

ทันใดนั้น คนผู้นั้นก็ค่อย ๆ หันมาทางเขาก่อนจะแสยะยิ้มที่เต็มไปด้วยเลือดให้ “อยากกินหรือ?”

เมื่อเห็นใบหน้ามีเสน่ห์เย้ายวนนั้นแล้ว จะเป็นใครไปได้อีกนอกจากชิงอวี่!? ทว่าสีหน้าของนางในตอนนี้ทั้งชั่วร้ายและน่ากลัวราวกับเป็นปีศาจ

จิตใต้สำนึกของมู่ฉือสั่งให้เขาหันหลังกลับไปในทันที สองขาพากันสับถี่ พาร่างตนไปให้ไกลจากที่นี่จนถึงขนาดกระโดดลอยหายไปในอากาศ