บทที่ 31 องค์หญิงเก้าซินเหยียน
ช่างเป็นความเร็วดั่งแสงเสียจริง!
ชิงอวี่ใช้นิ้วปาดผงแป้งเรืองแสงสีขาวซีดออกจากหน้า ก่อนที่แขนมนุษย์อวบอ้วนจะเปลี่ยนรูปร่างไปอย่างสิ้นเชิง
นางยกมันขึ้นมากัดดังกร้วม ทว่าเป็นเนื้อหวานฉ่ำสดชื่นของ ‘ผลฝอโส่ว’ (1) นั่นเอง “ช่างเป็นพ่อหนุ่มที่ใจเสาะเสียจริง”
แต่ อืม นางน่าจะไม่มีใครมากวนอีกแล้ว
คิดได้ดังนั้นนางก็คลี่ยิ้มออกมา ภายใต้แสงจันทร์สาดส่อง ใบหน้างามดวงน้อยเผยสีหน้าน่ารักใสซื่อออกมาอย่างหาได้ยาก
“ฮ้าว~” ชิงอวี่หาวยืดยาวออกมา “กลับไปนอนดีกว่า”
ปกติแล้วนางจะนอนเป็นเวลาเดิมเสมอ คืนนี้นับได้ว่านางนอนดึกกว่าที่เคยนัก
นางเดินเข้าห้องก่อนจะปิดประตูลง ด้านนอกพลันถูกความสงบปกคลุมไว้อีกครั้ง
—— แคว้นหลินยวน ——
ที่ริมขอบลานประลองขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง มีชาวบ้านมากมายทั้งชายและหญิงต่างพากันส่งเสียงร้องให้กำลังใจผู้ที่อยู่ในลานประลอง บนใบหน้าต่างเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและความชื่นชม
“ไปเลย องค์หญิงเก้า!”
“สวรรค์ ปีนี้องค์หญิงเก้าน่าจะอายุเพียงสิบหก แต่เมื่อเทียบกับเมื่อเดือนก่อน การบำเพ็ญเพียรของนางดูเหมือนจะสูงเพิ่มขึ้นอีกแล้ว!”
“เป็นแม่นางน้อยมากความสามารถแห่งแคว้นหลินยวนเป็นแน่แท้!”
‘ปึง!’ เงาร่างหนึ่งลอยมากระแทกราวป้องกันที่ล้อมรอบขอบลานประลองขนาดใหญ่อย่างแรง ก่อนจะกระอักเลือดออกมาคำใหญ่
“กระหม่อมแพ้แล้ว” เป็นบุรุษผู้หนึ่ง อายุราวยี่สิบกว่าปี เสื้อผ้าขาดลุ่ย ใบหน้าเศร้าสลด
นัยน์ตาเขายังคงมองลงต่ำ ก่อนที่รองเท้าหุ้มข้อสีขาวประณีตคู่หนึ่งจะเดินมาหยุดลงตรงหน้าเขา เมื่อเงยหน้าขึ้นมาก็ต้องตกใจเล็กน้อยเมื่อใบหน้างามแฉล้มยื่นเข้ามาเสียใกล้ ชายหนุ่มที่อยู่ในสภาพดูแทบไม่ได้พลันหน้าแดงก่ำโดยไม่รู้ตัว
นางอยู่ชุดกระโปรงยาวสีน้ำเงิน ด้านในเป็นชุดเกาะอกสีขาวมีลวดลายงดงาม เอวบางมีผ้าพันไว้ นางก้มตัวลงมองเขาเช่นนี้ส่งผลให้เขามองเห็นหน้าอกงามที่ดูเย้ายวนใจยิ่ง เงาร่างของนางทำให้เขาจ้องมองนางนิ่ง ไม่อาจละสายตาไปจากนางได้
เรือนผมสีดำเงางามยาวเคลียไหล่ ปอยผมข้างขมับทั้งสองข้างเป็นสีน้ำเงินดั่งน้ำในทะเลสาบ นัยน์ตากลมโตสีน้ำเงินเต็มไปด้วยความสดใสมีชีวิตชีวา เป็นนัยน์ตาที่ได้รับมาจากมารดา นับเป็นเครื่องหมายของผู้มีเลือดบริสุทธิ์ที่หาได้ยากแม้ผ่านไปหลายร้อยปี
ผิวขาวดั่งหิมะนั้นงามราวกับผลึกแก้ว เป็นแม่นางน้อยที่ดูฉลาดเฉลียวมีไหวพริบยิ่งนัก ทั้งยังเป็นโฉมงามที่มีพลังอำนาจแข็งแกร่ง
“ไม่เลว ครั้งนี้เจ้าทนได้ถึงหนึ่งก้านธูป พัฒนาขึ้นนี่” เยว่ซินเหยียนเอ่ยยิ้ม ๆ นัยน์ตาหยีเป็นพระจันทร์เสี้ยว มือนางชี้ไปยังกระถางธูปที่วางอยู่บนชั้นสูงที่ธูปดอกหนึ่งเพิ่งจะไหม้หมดไป
ชายหนุ่มชะงักไปเล็กน้อย ไม่คิดว่าตนเองจะสามารถรั้งอยู่ได้ชั่วหนึ่งก้านธูป
เยว่ซินเหยียนไม่ใส่ใจสภาพมอมแมมของชายหนุ่ม นางวางมือลงบนไหล่ของเขาก่อนเอ่ยขึ้น “ฝึกบำเพ็ญเพียรให้ดี หากวันใดเจ้าสามารถรับมือข้าได้ถึงสามก้านธูป ข้าจะไปร้องขอให้เสด็จพี่ยอมปลดปล่อยเจ้า”
ชายหนุ่มแสดงสีหน้าตกใจออกมา “เหตุใดองค์หญิงจึงช่วยกระหม่อม?”
“เพราะเจ้าแตกต่าง” เยว่ซินเหยียนกล่าว พร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองอาคารหลังคาสูงแห่งหนึ่งด้วยสายตาเรียบเฉย ที่ถูกคุมขังอยู่ภายในนั้นคือผู้ที่หมายจะบุกรุกข้ามเขตแดนเข้ามายังแคว้นหลินยวนอันลึกลับ
ชายหนุ่มเงยหน้ามองนางด้วยความประหลาดใจ “ท่าน…..”
“เจ้าอยากถามว่าข้ารู้ได้อย่างไรใช่หรือไม่?” เยว่ซินเหยียนคลี่ยิ้ม “เจ้าแข็งแกร่งขึ้นเมื่อไหร่ เจ้าอาจมีโอกาสได้พบกับผู้ที่เจ้าเคารพบูชาอย่างใกล้ชิดก็เป็นได้!”
ชายผู้นี้บุกรุกเข้ามายังแคว้นหลินยวน ไม่ใช่เพราะต้องการล่วงรู้ความลับของเวทมนตร์คาถาอันน่ามหัศจรรย์ใจใดของหลินยวน และไม่ได้หมายจะมาชิงทรัพย์สมบัติล้ำค่าของแคว้น หากแต่เข้ามาเพราะเทพสังหารที่ผู้คนต่างพากันหวาดผวา นามว่าชางไห่อ๋อง
เขาถูกคุมขังอยู่ที่นี่มานานกว่าสองเดือนแล้ว เคยเห็นบุรุษในตำนานเพียงครั้งเดียวจากที่ไกลเท่านั้น
และในครั้งนั้นเองที่นัยน์ตาของเขาเต็มไปด้วยแววชื่นชมบูชาที่ไม่อาจปิดมิด เยว่ซินเหยียนจึงมองเขาด้วยสายตาแตกต่าง บุรุษผู้นี้มองการณ์ไกลนัก นางสามารถช่วยเหลือเขาได้
“ขอบพระทัยองค์หญิงเก้า กระหม่อมจะต้องแข็งแกร่งขึ้นอย่างแน่นอน กระหม่อมต้องการรับใช้ชางไห่อ๋อง!” ชายหนุ่มเหยียดมือตรงทับกำปั้น ก่อนจะโค้งตัวลงอย่างนบน้อมต่อหน้าองค์หญิง
เยว่ซินเหยียนได้ยินดังนั้นก็หัวเราะคิกคัก “เรื่องเช่นนั้นไม่ง่ายดายนักหรอก พี่เยี่ยหลีอารมณ์ไม่เหมือนคนทั่วไป คนผู้ใดหากมองแล้วเกะกะตาจะไม่สนใจเลยอย่างสิ้นเชิง”
เมื่อได้ยินดังนั้น เขาก็ทำท่าราวกับอยากเอ่ยบางอย่างออกมา หากแต่สายตาพลันเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนแปลงไปของเด็กสาวตรงหน้า นางมีสีหน้ายินดียิ่งนัก พริบตาต่อมานางก็กระโดดออกจากลานประลองอย่างแผ่วเบา ผู้คนที่มาชมการประลองเองก็พากันแยกย้าย มุ่งหน้าไปยังทิศทางหนึ่งเช่นเดียวกัน
ราวกับว่าคนทุกคนต่างมุ่งตรงไปยังทิศทางนั้น เขาจึงลากสายตาขึ้นมองไปยังทิศทางนั้นด้วยเช่นกัน
ห่างออกไปไม่ไกลนักมีบุรุษผู้หนึ่งยืนอยู่ ร่างผอมสูงสวมชุดสีแดงเข้มที่ปกปิดร่างกายกำยำไว้ได้เป็นอย่างดี ผมสีเงินยาวถึงเอวใช้มงกุฎหยกสีเดียวกันม้วนไว้หลวม ๆ เป็นภาพที่มองแล้วน่าหลงใหลมีเสน่ห์ยิ่ง
ชางไห่อ๋องมีพื้นฐานร่างกายโดดเด่น หน้าตาไม่เหมือนกับคนในแคว้นมากนัก ดังนั้นจึงอาจทำให้เขาไม่ชอบพบปะผู้คน สวมใส่หน้ากากหมาป่าปิดบังใบหน้าไว้ตลอด เผยให้เห็นเพียงนัยน์ตาสีเขียวดูน่าประหลาด และริมฝีปากบางที่ไม่ค่อยได้ยกยิ้ม ทั้งยังเป็นบุรุษที่พูดน้อยยิ่ง
แต่ถึงอย่างนั้น ผู้คนในแคว้นหลินยวนต่างก็ยกย่องนับถือเขายิ่งนัก
ในตอนนั้นเอง แม่นางน้อยในชุดสีน้ำเงินก็มายืนอยู่ตรงหน้า นางเงยหน้ามองเขาแล้วส่งยิ้มหวานให้ “พี่เยี่ยหลี ท่านหลับไปนาน ยังจำทางเดินในวังได้หรือไม่? หรือท่านจะไปหาเสด็จพี่? ข้านำทางไปให้ท่านได้นะ!”
ชิงเยี่ยหลีจ้องมองแม่นางน้อยที่ส่งยิ้มราวกับดอกไม้ผลิบานให้เขา เขาตกอยู่ในภวังค์ไปชั่วครู่ รอยยิ้มของนางยังคงแจ่มชัดอยู่ในความทรงจำ ทั้งอบอุ่นและเจือความซุกซนร้ายกาจไว้ รอยยิ้มของนางช่างมีชีวิตชีวาสดใสยิ่งนัก
เขายังจำได้ดี นางชอบยิ้มแย้มเช่นนี้
รอยยิ้มของนาง สวยงามเช่นนี้เสมอ
“ซินเหยียนหรือ? เจ้าโตขึ้นมาก” ชิงเยี่ยหลีเอ่ยขึ้น เป็นน้ำเสียงเย็นชาน่าดึงดูดทั้งยังไพเราะและมีเสน่ห์มาก
“อือฮึ พี่เยี่ยหลียังจำข้าได้ ดีจริงๆ” เยว่ซินเหยียนดูท่าทางดีใจยิ่งนัก
ชิงเยี่ยหลีหันไปมองยังลานประลอง ก่อนจะหรี่ตาลงแล้วเอ่ยถาม “ตั้งแต่เมื่อไรที่เจ้าเริ่มให้ความสนใจผู้บุกรุกเหล่านั้น? หากเจ้าไม่มีสิ่งใดให้ทำ เหตุใดจึงไม่ออกไปฝึกฝน?”
ปากน้อย ๆ ของเยว่ซินเหยียนพลันยื่นออกมาอย่างน่ารัก เมื่อเห็นว่าเขากำลังก้าวเท้าเดินจากไป นางก็รีบเดินตามไปในทันที “พี่เยี่ยหลี ไม่ใช่ว่าพวกเรากำลังจะเดินทางไปยังแคว้นชิงหลานแล้วไม่ใช่หรือ? ข้าได้ยินว่าที่นั่นมีผู้มากฝีมืออยู่มากมาย พอเดินทางไปถึงข้าค่อยท้าสู้กับพวกเขาก็สิ้นเรื่อง”
“ในราชวงศ์ของแคว้นชิงหลานตอนนี้ นอกจากองค์รัชทายาทของพวกเขาแล้ว คนอื่น ๆ ถ้าไม่อายุน้อยเกินไปนอกนั้นถ้วนเป็นคนไร้ฝีมือ พวกเราไม่จำเป็นต้องเกรงกลัวสิ่งใดหรอกพ่ะย่ะค่ะ!” ชายหนุ่มที่เดินตามหลังชิงเยี่ยหลีกล่าวขึ้นพร้อมเสียงหัวเราะ “องค์หญิงเก้า องค์หญิงหนิงเฟิ่งแห่งแคว้นชิงหลานที่มีฝีมือทัดเทียมพระองค์น่าจะคุ้มค่าให้ท้าประลองอยู่บ้าง”
“อาจิ่น เยี่ยนหนิงลั่วผู้นั้นฝีมือสูงส่งขนาดนั้นเลยหรือ? เก่งกว่าข้าอีกงั้นหรือ?” เยว่ซินเหยียนถามพร้อมเลิกคิ้วขึ้นสูง
อาจิ่นครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ “เรื่องนั้นหากไม่เคยประลองกันมาก่อน ข้าน้อยย่อมไม่บังอาจบอกได้ องค์หญิงหนิงเฟิ่งมีพละกำลังแข็งแกร่งพอตัว เป็นหญิงอัจฉริยะเช่นเดียวกับองค์หญิง”
“งั้นหรือ? เช่นนั้นข้าคงต้องไปทดสอบด้วยตนเองเสียแล้ว” เยว่ซินเหยียนพยักหน้า ในใจพลันเกิดความรู้สึกสงสัยใคร่รู้ต่อหญิงสาวที่ยังไม่ทันได้พบหน้า
อาจิ่นมองหน้าองค์หญิงก่อนกล่าวขึ้นเสียงกลั้วหัวเราะ “ข้าจะเล่าเรื่องตลกให้ท่านฟัง องค์หญิงหนิงเฟิ่งและองค์รัชทายาทซวนหยวนเช่อหมั้นกันตั้งแต่ยังเด็ก เดิมทีเมื่ออายุถึงสิบหกก็จะแต่งงานกัน หากแต่ครึ่งปีกว่าผ่านไปแล้ว ทั้งสองฝ่ายกลับนิ่งไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆเลยสักนิดเดียว”
“เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้นเล่า?” เยว่ซินเหยียนถามด้วยความสงสัย
“ฮ่า ๆ ได้ยินว่าคนทั้งคู่เข้ากันไม่ได้ตั้งแต่ยังเล็ก ทุกครั้งที่พบกันก็มักจะโต้เถียงทะเลาะกันราวกับเป็นศัตรูคู่แค้นอยู่เสมอ”
เยว่ซินเหยียนหัวเราะเสียงใส นัยน์ตาหยี นางเอ่ยขึ้นยิ้ม ๆ “มีเรื่องตลกเช่นนั้นด้วยหรือ!?”
นางยังคุยกับอาจิ่นเรื่องโน้นเรื่องนี้ต่อไปเรื่อยๆ ในขณะที่ชิงเยี่ยหลีเดินเข้าไปในห้องทรงพระอักษร
“ข้ามาทีไรก็เห็นเจ้าอยู่กับกองฎีกาเต็มไปหมดทุกที”
เยว่มู่เฉินเงยหน้าขึ้นมองคนที่เดินเข้ามา เห็นดังนั้นเขาจึงลุกขึ้น “มาแล้วหรือ นั่งก่อนสิ”
ได้ยินดังนั้น ชิงเยี่ยหลีก็นั่งลงบนเก้าอี้ด้านข้าง
เยว่มู่เฉินรินชาให้เขาหนึ่งถ้วย ใช้สายตามองประเมินบุรุษด้านข้าง “เจ้าแข็งแกร่งขึ้นอีกแล้ว เทียบกับเมื่อเจ็ดปีก่อน ตอนนี้ข้าไม่อาจจับสัมผัสเจ้าได้แล้ว”
“หากไม่ใช่เพราะเจ้าสุขภาพไม่ดี ไม่อาจทนรับแรงกดดันได้ เจ้าก็คงไม่อ่อนแอไปกว่าข้าเท่าไหร่นักหรอก” ชิงเยี่ยหลีกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ
เยว่มู่เฉินผู้นี้ เทียบกับผู้คนที่เขาเคยเจอมานับเป็นผู้ที่มีมันสมองโดดเด่นเหนือใครทั้งหมด
ฮ่องเต้แห่งแคว้นหลินยวนสุขภาพร่างกายอ่อนแอ เขาเป็นเหมือนกับขวดยาเดินได้ พลังการบำเพ็ญเพียรไม่สูงนัก หากแต่ก็ไม่มีผู้ใดกล้าดูถูก สติปัญญาของเขาซึ่งไม่อาจเทียบกับคนธรรมดาได้ หากเขามีใจ ย่อมสามารถครองทั่วทั้งดินแดนได้ในเวลาไม่นาน
หากแต่เขาพึงพอใจกับชีวิตที่เป็นอยู่เช่นนี้ตั้งแต่ยังเด็ก ไม่มีความโหยหาต่อสิ่งใดหรือผู้ใดเป็นพิเศษ กระทั่งตอนที่ขึ้นครองบัลลังก์ก็ขึ้นครองเพียงเพราะผู้คนร้องขอ
ช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ เขาเหนื่อยล้ายิ่งนัก
“ข้าหวังเพียงว่าตอนที่ยังมีลมหายใจอยู่ข้าจะสามารถทำประโยชน์ให้หลินยวนได้มากกว่านี้” เยว่มู่เฉินยิ้มอ่อนโยน ก่อนจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงโศกเศร้า “หากแต่ด้วยร่างกายที่อมโรคเช่นนี้ ไม่อาจรู้ได้ว่าข้าจะมีชีวิตต่อไปได้อีกสักกี่ปี เรื่องที่ว่าข้าจะมีทายาทไว้สืบบัลลังก์ต่อหรือไม่นั่นก็ยังเป็นเรื่องยากยิ่งนัก”
ถึงวังหลังของเขาจะไม่ได้มีสาวงามนับพันดั่งที่ควรเป็น หากแต่ก็ยังพอมีนางสนมอยู่บ้าง เพียงแต่เขาไม่เคยไปที่ตำหนักของพวกนางเท่านั้น
เขารู้สภาพร่างกายตนเองดี ฉะนั้นจึงไม่อยากให้ความหวังพวกนาง เพราะสุดท้ายก็จะจบลงด้วยความผิดหวังทั้งสิ้น
ชิงเยี่ยหลีนัยน์ตาดำมืดลง “หากซินเหยียนได้ยินนางคงเสียใจ”
“เพราะเหตุนั้นข้าจึงไม่เอ่ยพูดเช่นนั้นต่อหน้านาง นางอาจดูเป็นคนใจแข็ง ทว่าก็รักและใส่ใจข้าที่สุด” เยว่มู่เฉินได้ยินน้ำเสียงร่าเริงของนางดังมาจากด้านนอก ใบหน้าเขาเต็มไปด้วยความรัก
“อย่ามองในแง่ร้ายเช่นนั้น” สีหน้าภายใต้หน้ากากของชิงเยี่ยหลีดูราวกับเปลี่ยนแปลงไป บุรุษที่มักจะมีสีหน้านิ่งเฉยอยู่ตลอดเอ่ยขึ้น “ข้ากำลังตามหาคนผู้หนึ่ง หากหาพบคนๆ นั้นต้องรักษาร่างกายเจ้าจนหายดีได้แน่”
เยว่มู่เฉินชะงักไปครู่หนึ่ง “เจ้า….. ว่าอย่างไรนะ?”
ร่างกายอ่อนแอขี้โรคนี้ของเขา นักปรุงยามีชื่อมากหน้าหลายตาทั่วดินแดนต่างต้องถูกประณาม เหตุเพราะทำได้เพียงปรุงยาขึ้นมาเพื่อพยุงอาการเขาเท่านั้น ไม่อาจรักษาให้หายดีได้
ร่างกายอ่อนแอที่เป็นมาตั้งแต่เกิดเช่นนี้รักษาให้หายดีได้ยากนัก
ทว่าเมื่อครู่….. คืออะไรกัน?
ร่างกายนี้สามารถรักษาไว้ได้งั้นหรือ?!
เยว่มู่เฉินไม่อาจเชื่อในสิ่งที่ตนได้ยิน “เยี่ยหลี เจ้าพูดจริงหรือ? ร่างกายข้า….. รักษาให้หายได้จริงหรือ?”
“อืม” ชิงเยี่ยหลีพยักหน้า “วิชาแพทย์ของคนผู้นั้นล้ำเลิศ นักปรุงยาทั้งแดนนี้ยังไม่อาจมีฝีมือทัดเทียมถึงหนึ่งในสิบของคนผู้นั้นได้”
เยว่มู่เฉินประหลาดใจเล็กน้อย เยี่ยหลีไม่เคยชื่นชมใครง่ายดาย ในใจเขาจึงมีความคิดบางอย่างผุดขึ้นมา “หรือว่าคนผู้นั้น….. จะมาจากโลกใบเดียวกับที่เจ้าจากมา?”
“ถูกต้อง” เมื่อชิงเยี่ยหลีนึกถึงคนผู้นั้น นัยน์ตาสีเขียวของเขาก็พลันอ่อนโยนลง เขารู้ว่าหญิงสาวยังมีชีวิตอยู่ ไม่ว่านางจะอยู่ที่ใดก็ตาม วันที่เขาตามหานางจนเจอจะต้องมาถึงอย่างแน่นอน
เขายังมีคำอีกหลายคำที่ไม่ทันได้กล่าวกับนาง จนถึงตอนนี้เขาก็ยังอยากกล่าวมันออกไป
ในอดีตเขาไม่กล้าเอ่ยคำเหล่านั้นออกมา
หากแต่เมื่อความตายได้แยกเขากับนางออกจากกันไปครั้งหนึ่งแล้ว เขาจึงคิดว่าตนควรบอกให้นางได้รับรู้ไว้
ว่าแท้จริงแล้วเขา….. ใส่ใจคนเพียงผู้เดียว….. ใส่ใจเพียงนางเท่านั้น
เชิงอรรถ
ฝอโส่ว หรือ ส้มโอมือ หรือ ส้มมือ