ตอนที่ 32 จองล้างจองผลาญ

แดนเมฆาสวรรค์คือดินแดนที่มีระดับสูงสุด ไม่ได้ตั้งอยู่ในแนวเดียวกันกับอีกสองดินแดน

การจะเดินทางเข้าสู่แดนเมฆาสวรรค์จำต้องผ่านอุโมงค์มิติ อุโมงค์มิติที่ไร้ที่สิ้นสุดแห่งนั้นเต็มไปด้วยอันตรายต่าง ๆ มากมายที่รอคนหนุ่มสาวที่เย่อหยิ่งในพละกำลังของตนหากแต่โง่เขลาพากันเดินทางเข้าไปอยู่

แต่ไหนแต่ไรมา มีผู้เอาชีวิตมาทิ้งที่อุโมงค์มิติแห่งนี้นับไม่ถ้วน

ดังนั้นกว่าหลายร้อยปีที่ผ่านมา อุโมงค์มิติแห่งนี้ยิ่งกลับกลายเป็นสถานที่ที่ทั้งลึกลับและคาดเดาไม่ได้ มันเต็มไปด้วยอันตรายและอุปสรรคนานัปการ ผู้มีฝีมือสูงส่งจากดินแดนระดับล่างทั้งสองแดนที่สามารถเดินทางเข้าสู่แดนเมฆาสวรรค์ได้จึงยิ่งมีจำนวนน้อยลงทุกที

ในดินแดนแต่ละดินแดนย่อมมีกลุ่มอิทธิพลหรือขุมกำลังอยู่หลายกลุ่ม

แดนมุกหยกมีสามสำนักใหญ่ ส่วนแดนธาราขาวมีสี่ตระกูลใหญ่

แดนเมฆาสวรรค์ถูกแบ่งออกเป็นห้าเขตแดนกระจายอยู่สี่ทิศ นั่นคือเขตแดนทิศเหนือ เขตแดนทิศตะวันออก เขตแดนทิศใต้ เขตแดนทิศตะวันตก และเขตแดนที่อยู่ตรงจุดศูนย์กลาง

ทิศตะวันออกคือเขตแดนของเซียนแพทย์ที่สืบเชื้อสายต่อกันมายาวนานนับพันปี ทิศใต้คือสถานที่ตั้งของอารามจันทร์กระจ่าง เป็นกลุ่มคนที่สามารถหยั่งรู้ฟ้าดินและสามารถใช้คำสาปแช่งได้ ทิศตะวันตกคือดินแดนของชนเผ่าหมานที่มีหน้าตาประหลาดและนิสัยดุร้าย และทิศเหนือนั้นมีแคว้นมารที่แสนลึกลับเกินหยั่งถึงเร้นกายอยู่ พวกเขามีนิสัยชั่วร้ายและกระหายเลือด

ที่เขตจุดศูนย์กลางคือสมาพันธ์นักล่าที่ทั้งเที่ยงตรงแต่ก็ชั่วร้ายด้วยในเวลาเดียวกัน พวกเขายกย่องเชิดชูในเงินตรามากกว่าตัวบุคคล เป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยผู้มีพลังสูงส่งมากมาย และไม่เกรงกลัวขุมพลังอื่นใด

ขุมอำนาจห้าฝ่ายต่างอยู่ร่วมกันบนแดนเมฆาสวรรค์อย่างสงบสุขมานานหลายร้อยปี จนกระทั่งเมื่อไม่นานมานี้ คนจากแคว้นมารเริ่มกระทำการอุกอาจ ลงมืออำมหิต ไล่ฆ่าฟันข่มเหงผู้คนจากขุมอำนาจอื่น ๆ กระทำความผิดที่ไม่อาจอภัยให้ได้

ส่งผลให้ขุมพลังอื่น ๆ พากันไม่พอใจ พวกเขาจึงเริ่มออกตามล่าคนจากแคว้นมาร แคว้นมารจึงเริ่มอ่อนกำลังลง ถูกขุมอำนาจอื่นขุดรากถอนโคนอำนาจจนอ่อนแอลง

ผู้ครองแคว้นมารที่ว่ากันว่าสามารถเทียบเทียมกับเซียนบนสวรรค์ชั้นฟ้าได้นั้นไม่ได้ปรากฏตัวออกมาแม้แต่น้อย ยิ่งทำให้แคว้นมารแตกแยกออกเป็นส่วนเล็กส่วนน้อย เป็นสิ่งที่คนอื่น ๆ พากันสับสนยิ่งนัก

“วิ่งหนีไปเสีย วิ่งให้สุดชีวิตของพวกแก ข้าจะรอดูว่าพวกแกจะวิ่งหนีไปไหนได้ ฮ่า ๆ…..”

“ฮี่ ๆ ดูเข้าสิ แคว้นมารที่เคยผยองว่าตนมีอำนาจเหนือใคร ตอนนี้กลับถูกโค่นอำนาจลง วิ่งหนีเอาชีวิตรอดราวกับสุนัขตัวหนึ่ง ช่างน่าสมเพช”

พวกเขาหลบหนีมาจนถึงทะเลทรายรกร้างไร้ผู้คนอันห่างไกล หากแต่ผู้ที่ตามไล่ล่ากลับเหมือนกับผีร้ายที่ตามจองเวรจะเอาชีวิตพวกเขาให้ได้ ไม่ว่าจะหนีอย่างไรก็หนีไม่พ้น

เงาร่างสีดำเหล่านั้นอยู่ในชุดสีดำสนิท ทุกคนปิดบังใบหน้า หากแต่บนชุดคลุมมีริ้วสีดำปรากฏขึ้นให้เห็นหลายริ้ว คราบเลือดค่อย ๆ ซึมลึกเข้าไปในชุดคลุมสีดำ

ที่ไล่ตามมาด้านหลังคือกลุ่มคนกลุ่มหนึ่ง เป็นชายราวเจ็ดถึงแปดคน ทุกคนสวมชุดสีทองแสบตา ที่ไหล่มีสัญลักษณ์พิเศษประดับอยู่ เป็นตราเหยี่ยวทะยานกางปีกสยาย จะงอยปากแหลมคม นัยน์ตาคมกล้าดุร้ายยิ่ง

เป็นตราของสมาพันธ์นักล่า

“ได้ลงทัณฑ์ในนามของสวรรค์เช่นนี้ช่างรู้สึกชุ่มชื่นหัวใจเสียจริง อีกทั้งยังได้ค่าหัวอีก คนที่เราจับได้เมื่อคืนวานมีพลังบำเพ็ญเพียรแข็งแกร่งนัก ใช้แรงกายไปตั้งมาก ทั้งยังเสียพี่น้องเราไปถึงสองชีวิต”

“คนผู้นั้นดูท่าจะเป็นคนมีตำแหน่งในแคว้นมาร ตาแดงก่ำของมันดูแล้วน่ากลัวชะมัด”

กลุ่มคนที่ตามไล่ล่าคนชุดดำดูราวกับไม่รีบร้อน ต่างไล่ไปคุยไปอย่างสบายอารมณ์ ราวกับต้องการยั่วโมโหคนจากแคว้นมาร

“เจ้าต้องเกรงกลัวสิ่งใดเล่า? หน้าตามันงดงามเช่นนั้น หากไม่ใช่ว่ามันเป็นผู้ชาย ข้าก็อยากลิ้มลองมันอยู่บ้างเหมือนกัน” ชายหน้าตาร้ายกาจผู้หนึ่งเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าต่ำช้า

“เป็นผู้ชายแล้วอย่างไรเล่า? ถ้าได้เล่นกับมันก็คงสนุกไม่น้อย ฮ่า ๆ…..”

กลุ่มคนจากแคว้นมารนั้นอ่อนแรงเต็มที ทั่วทั้งร่างเต็มไปด้วยบาดแผลฉกรรจ์ หากแต่เมื่อได้ยินคำสบประมาทเช่นนั้นจากผู้ที่ไล่ล่าอยู่เบื้องหลัง นัยน์ตาของพวกเขาก็แปรเปลี่ยนเป็นสีแดงจัด ร่างกายสั่นเทิ้ม ความโกรธเกรี้ยวลุกโชนอยู่ภายในจนเกือบกลบสตินึกรู้ไปจนสิ้น

ทันใดนั้นราวกับเวลาได้หยุดนิ่งลง พลันกลิ่นเลือดโชยมาตามลมเล็กน้อย หากแต่พริบตาเดียวก็กลายเป็นกลิ่นสนิมฉุนกึก

เหล่าชายชุดทองยังคงค้างอยู่ท่าเดิม

พวกเขาไม่มีโอกาสได้เปลี่ยนสีหน้าเย่อหยิ่งบนใบหน้าเสียด้วยซ้ำ

ภายใต้แสงแดดสาดส่อง เส้นสีแดงบนลำคอของพวกเขาช่างดูงดงามสะดุดตา ทว่าก็น่าขวัญผวาไปในเวลาเดียวกัน

พริบตาต่อมา เลือดมากมายก็สาดกระเซ็นไปทั่วทิศทางเมื่อหัวคนหลุดออกจากบ่า หัวชายแปดคนร่วงลงพื้นอย่างพร้อมเพรียงกัน กลิ้งหลุน ๆ อยู่บนพื้นทรายสองทีราวกับลูกบอลลูกหนึ่ง

ร่างผอมสูงในชุดสีแดงงดงามราวกับยามพระอาทิตย์ขึ้นยืนอยู่บนที่สูงห่างออกไปไกลลิบ ในมือกำลังควบคุมเส้นสายสีทองที่ไม่อาจมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ด้ายสีทองเหล่านั้นถูกหยาดโลหิตย้อมจนเป็นสีแดงฉาน เงาร่างนั้นหันมาเผยรอยยิ้มให้คนด้านหลัง ริมฝีปากแดงฉ่ำเย้ายวนใจยิ่งนัก

“ท่านเม่ยจี!”

สตรีผู้นั้นเหินลงมาด้านล่าง ค่อย ๆ เดินเหยียบร่างไร้วิญญาณเหล่านั้นมาจนถึงกลุ่มคนชุดดำ “เดินไหวหรือไม่?”

กลุ่มคนชุดดำต่างชะงักค้างไปหลายอึดใจ ก่อนที่จะตอบเสียงพร้อมเพรียงกัน “ขอรับ!”

“ดี” เม่ยจีพยักหน้า จากนั้นเอ่ยขึ้นพร้อมเสียงหัวเราะ “กลับไปยังแคว้นมารเสีย ข้าจะไปช่วยเจ้าปีศาจน้อย จากนั้นจะตามพวกเจ้าไปทีหลัง”

“ท่านเม่ยจี ไปคนเดียวอันตรายนัก โปรดให้พวกเราไปกับท่านด้วยเถอะ!”

“กลุ่มคนบาดเจ็บหนักทั้งโขยงนี่น่ะหรือ? จะไปให้เป็นภาระข้าแบกศพกลับงั้นรึ?” เม่ยจีแสยะยิ้มดูถูก “สมาพันธ์นักล่าสำหรับข้านั้นนับว่าต่ำต้อยนัก พวกมันไม่อาจหยุดข้าได้ หึ! หากไม่ใช่เพราะอุบายเจ้าเล่ห์เหล่านั้น พวกมันจะมีโอกาสจับตัวปีศาจน้อยไปได้อย่างไร!?”

ชายชุดดำสองสามคนยังมีทีท่าต้องการพูดต่อ ทว่าถูกนางขัดขึ้นเสียก่อน

“เอาล่ะ พวกเจ้ารีบกลับไปได้แล้ว เหลือเวลาอีกไม่มาก สมาพันธ์นักล่ามีการสื่อสารที่ไม่เหมือนใคร ความตายของคนพวกนี้ย่อมดึงคนของพวกมันให้มาตามหาในอีกไม่นานแน่” รอยยิ้มพลันเลือนหายไปจากใบหน้าของเม่ยจี จากนั้นนางก็โยนลูกบอลสีดำสนิทให้พวกเขา “ถือเจ้านี่ไว้ หากพบอันตรายอีกอย่าได้เข้าต่อสู้ ใช้พลังจิตทำลายลูกบอลนี่เสีย จากนั้นให้วิ่งหนีเอาชีวิตรอด”

พูดจบ ร่างของเม่ยจีก็ส่องแสงวาบหนึ่งก่อนที่นางจะหายไป

คนชุดดำคนหนึ่งคว้าลูกบอลนั่นไว้ด้วยใบหน้าสงสัย อึดใจต่อมาเขาจึงพึมพำเสียงค่อยออกมา “ข้ามีความรู้สึกว่าต่อจากนี้แคว้นมารจะสามารถลบล้างความอัปยศที่ผ่านมาได้แล้วกระมัง…..”

ที่แขตแดนทางทิศใต้ คือสถานที่ที่อารามจันทร์กระจ่างอันกว้างใหญ่และเก่าแก่ตั้งอยู่

ภายในอารามศักดิ์สิทธิ์ เบื้องหน้าแท่นยกสูงแห่งหนึ่งมีผ้าม่านหนาบังอยู่ ส่งผลให้เห็นเงาร่างผู้ที่นั่งอยู่ด้านในได้เพียงเลือนราง คนผู้นั้นนั่งเหยียดกายอย่างเกียจคร้านอยู่บนเก้าอี้นอนตัวยาว ดูราวกับกำลังเบื่อหน่ายที่ต้องฟังบุคคลที่นั่งคุกเข่าอยู่เบื้องล่างเอ่ยวาจาไม่จบไม่สิ้น

“เจ้าอาราม ท่านต้องช่วยข้าน้อย บุรุษผู้นั้น คนผู้นั้นรู้เรื่องแล้วเป็นแน่ ไม่เช่นนั้นข้าคงไม่กลายเป็นเช่นนี้”

คนที่กำลังเอ่ยวาจาอยู่เบื้องล่างคือสตรีในชุดนักบวชหญิงสีดำ หน้าตาไม่โดดเด่นอะไร ทว่าทั่วทั้งร่างมีกลิ่นอายชั่วร้ายแผ่ออกมา ดูน่ากลัวไม่น้อย ภายใต้แขนเสื้อชุดนักบวชยาวหลวมข้างหนึ่งบ่งบอกว่านางไร้แขนข้างหนึ่ง

“เสียแขนไปแค่หนึ่งข้างเองไม่ใช่หรือ? เจ้าจะเอะอะเช่นนี้ไปทำไมมากมาย?” น้ำเสียงอ่อนโยนแผ่วเบาชวนน่าหลงใหลดังขึ้น

หากแต่สตรีที่นั่งอยู่ด้านล่างเมื่อได้ฟัง อารมณ์ก็ยิ่งรุนแรงขึ้นกว่าเก่า “แต่ว่า….. คำสาปกลืนอารมณ์ของข้าน้อยที่ฝังไว้ในร่างนั้นมานานนับร้อยปี กำลังจะได้เห็นการดูดกลืนจิตวิญญาณของร่างนั้นกลับถูกใครบางคนถอนคำสาปออกเสียได้ แล้วข้าน้อยยังถูกโต้กลับจนร่างกายเป็นเช่นนี้อีก…..” บนใบหน้านางปรากฏร่องรอยความหวาดกลัวยิ่งนัก “ข้าตรวจชะตาดูแล้ว คนที่ถอนคำสาปผู้นั้นไม่ได้อยู่บนแดนเมฆาสวรรค์”

“หืม?” น้ำเสียงไร้อารมณ์ของหญิงสาวเริ่มเจือแววสงสัย “ที่ดินแดนระดับล่างมีผู้มีฝีมือเช่นนี้อยู่ด้วยหรือ? อาจจะเป็นคนจากแดนเมฆาสวรรค์ลงไปหรือไม่?”

“ข้าน้อยไม่ทราบ ทราบเพียงคู่ต่อสู้แข็งแกร่งนัก ตอนที่ข้าต่อสู้กับเขา คราแรกคิดว่าจะสามารถสังหารเขาได้ หากแต่ไม่คิดว่าจะถูกกลลวงโต้กลับ หากข้าตัดแขนทิ้งไม่ทันเวลา ร่างกายข้าคงเหลือแต่กองกระดูกไปแล้ว” นางตอบด้วยน้ำเสียงหวาดกลัว

“หืม? น่าสนใจ…..”

“ท่านเจ้าอาราม ข้าควรทำเช่นไร? ไม่นานบุรุษผู้นั้นต้องสืบจนรู้แน่ว่าพวกเราเป็นผู้ลงมือ เขามีนิสัยแค้นฝังลึก ต้องแก้แค้นเรากลับอย่างโหดเหี้ยมเป็นแน่”

“เหตุใดเจ้าถึงใช้คำว่าพวกเรา? เป็นเจ้าไม่ใช่หรือที่เป็นคนร่ายคำสาป? ข้าไม่รู้ไม่เห็นอันใดทั้งสิ้น…..” น้ำเสียงหญิงสาวฟังดูราวกับเป็นผู้บริสุทธิ์ไร้มลทิน

“ท่านเจ้าอาราม…..” นางเงยหน้าขึ้นมองผู้ที่นั่งอยู่หลังม่านด้วยความตกตะลึง ไม่คิดว่าตนจะถูกทิ้งขว้างอย่างง่ายดายเช่นนี้ “ท่านเจ้าอารามโปรดช่วยข้า! ที่ข้าทำไปทุกอย่างก็เพื่อท่าน…..”

“เสียงดังหนวกหูนัก ออกไปเสีย!” น้ำเสียงหญิงสาวเริ่มแสดงความไม่พอใจ พลังที่มองไม่เห็นซัดร่างของสตรีผู้นั้นจนกระเด็นออกไปด้านนอก นางกระอักเลือดออกมาคำหนึ่งก่อนจะหมดสติไป

สายลมหอบหนึ่งที่ไม่อาจรู้ได้ว่าพัดพามาจากทิศทางใดพัดผ้าม่านบนแท่นสูงจนเปิดออก เผยให้เห็นใบหน้างามไม่มีผู้ใดเทียมของหญิงสาวที่นั่งอยู่ด้านใน นางหัวเราะเสียงเบา น้ำเสียงที่เอื้อนเอ่ยนั้นน่าฟังยิ่ง “องค์ราชันของข้า ในที่สุด….. ท่านก็กลับมาเสียที”

————

ตั้งแต่ครั้งล่าสุดที่เยี่ยนหนิงลั่วประลองฝีปากกับซวนหยวนเช่อไป คนทั้งคู่ก็จากกันด้วยความบาดหมาง ความสัมพันธ์ระหว่างกันยิ่งแย่ลงมากกว่าเดิม

โม่หานเยียนกังวลนักว่าหากคนทั้งคู่ยังเป็นเช่นนี้ต่อไป สัญญาหมั้นระหว่างทั้งสองฝ่ายจะไม่อาจรักษาไว้ได้ หลายวันที่ผ่านมานางจึงคอยอยู่ข้างกายบุตรสาว ใช้น้ำเสียงอ่อนโยนคอยเกลี้ยกล่อมแนะนำนาง หากแต่สุดท้ายก็ไร้ผล

นางมัวแต่กังวลกับเรื่องนี้จนไม่มีเวลาไปหาเรื่องสองพี่น้องที่อาศัยอยู่ในเรือนสงบเงียบ

หากแต่ตัวชิงอวี่เอง หลายวันที่ผ่านมานี้ก็ไม่ใช่วันคืนที่สงบสุขสำหรับนางเช่นเดียวกัน

ถึงพวกนางจะบอกเยี่ยนซู่ว่าไม่ต้องการให้สร้างเรือนสงบเงียบใหม่ หากแต่เขารู้สึกว่าติดค้างเด็กทั้งสองคน ไม่เพียงสั่งให้คนนำทองคำ เครื่องเงิน เครื่องประดับต่าง ๆ ผ้าไหม ผ้าแพรทั้งหมดทั้งมวลมาให้พวกนาง หากยังจัดหาข้ารับใช้ไหวพริบดีให้อีกหลายคน ตัวเขาเองยังมาหาพวกนางที่เรือนสงบเงียบอยู่หลายครา

สมัยชิงเป่ยยังเด็ก เขาโหยหาท่านพ่อของเขายิ่งนัก หวังว่าท่านพ่อจะเหลียวแลเขาสักครา หากแต่ก็ต้องพบแต่ความผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่า

เมื่อเติบโตขึ้นความรู้สึกโหยหานั้นของชิงเป่ยก็ค่อย ๆ สลายหายไปในที่สุด

ยิ่งหลังจากที่ได้รู้ว่าเขาไม่ใช่ลูกแท้ ๆ ของเยี่ยนซู่

“เจ้าพักผ่อนให้ดี พ่อจะหาหมอมารักษาขาเจ้า ให้เจ้าสามารถยืนขึ้นได้อีกครั้ง” เยี่ยนซู่เอ่ยขึ้นด้วยใบหน้ามีเมตตา ตบไหล่เด็กหนุ่มแผ่วเบา หลังจากนั้นหันไปสั่งข้ารับใช้หญิงที่ยืนอยู่ด้านข้าง “ดูแลนายน้อยให้ดี”

“เจ้าค่ะท่านอ๋อง”

เยี่ยนซู่อยู่คุยกับชิงเป่ยอีกเล็กน้อย จากนั้นจึงลุกขึ้น เดินออกจากเรือนสงบเงียบ

สายตาชิงเป่ยที่มองตามหลังเยี่ยนซู่นั้นไร้ซึ่งอารมณ์ใด ไม่นานเขาก็ละสายตากลับมา “พวกเจ้าออกไปได้แล้ว”

“นายน้อย ท่านอ๋องสั่งให้พวกบ่าวมารับใช้นายน้อยเจ้าค่ะ” ข้ารับใช้สาวหน้าตาน่ารักผู้หนึ่งเอ่ยขึ้น นางเงยหน้ามองใบหน้าหล่อเหลานั้นก่อนที่แก้มทั้งสองข้างจะปรากฏสีแดงเรื่อขึ้น

“ข้ารับใช้ที่ไม่เชื่อฟังคำสั่งของข้า ข้าไม่ต้องการ” นัยน์ตาชิงเป่ยพลันเปลี่ยนเป็นเยียบเย็น น้ำเสียงที่เอ่ยออกมาไม่ได้ดังนัก หากแต่สามารถทำให้ใบหน้าข้ารับใช้ตัวน้อยเปลี่ยนสีได้ นางรีบก้มลงโค้งคำนับกับพื้นอย่างลนลาน “นายน้อยโปรดอย่าเกรี้ยว บ่าวจะออกไปเดี๋ยวนี้”

พูดจบ นางก็รีบเดินจากไปพร้อมกับบ่าวคนอื่น ๆ

ภายในห้องจึงกลับคืนสู่ความเงียบสงบอีกครั้งหนึ่ง

ชิงเป่ยถอนหายใจยาวออกมา จากนั้นมองไปยังเครื่องประดับและของหรูหราต่าง ๆ ที่วางเรียงรายกันอยู่ภายใน

เรือนสงบเงียบไม่ใช่เรือนที่มีขนาดใหญ่มากนัก ยามเมื่อมีของมาตั้งไว้มากมายเช่นนี้ก็แทบจะกินพื้นที่ไปทั่วทั้งห้อง นายหญิงและคุณหนูเรือนอื่นต่างพากันอิจฉาตาร้อน หากแต่โชคร้ายที่ของเหล่านี้ท่านอ๋องเป็นผู้สั่งการลงมาเอง ไม่ว่าพวกนางจะโลภอยากได้ของเหล่านี้มากมายเพียงไรก็ทำได้เพียงแค่มอง

ชิงเป่ยเลื่อนเก้าอี้เข็นของตนไปยังห้องอีกห้องหนึ่งก่อนจะแอบมองด้านใน

ท่านพี่เจ้าเล่ห์นัก!

นางรู้ว่าท่านพ่อมาหา นางจึงออกไปตั้งแต่เช้าตรู่ กลับมายามค่ำ ไม่รั้งอยู่ในเรือนสงบเงียบเลยแม้แต่คราเดียว ดังนั้นทุกครั้งที่เยี่ยนซู่มาจึงไม่มีโอกาสได้เห็นนางสักครั้งเดียว ทุกครั้งที่ท่านพ่อถามถึงนาง เขาจำต้องหาข้ออ้างหลากหลายประการมาเพื่อหลบหลีกคำถามนั้นไป โชคดีที่เยี่ยนซู่สนใจชิงเป่ยที่ไม่อาจลุกเดิน ต้องนั่งอยู่บนเก้าอี้เข็นตลอดเวลามากกว่า ดังนั้นจึงไม่ได้สนใจชิงอวี่เท่าใดนัก