บทที่ 33 หลบฝน

ส่วนชิงอวี่ที่ออกจากเรือนไปตั้งแต่เช้าตรู่และหลับมาตอนดึกสงัดนั้นออกไปทำอะไรน่ะหรือ?

พูดแล้วก็ทำให้นางปวดใจยิ่งนัก

หลังจากที่นางไล่มู่ฉือให้ตกใจกลัวจนรีบวิ่งหนีไปได้ครานั้น ในที่สุดนางก็รู้สึกว่าโลกของนางเริ่มกลับคืนสู่ความสงบสุขเสียที

หากแต่นางยังใส่ซื่อเกินไปนัก

พ่อหนุ่มผู้นั้นไม่เพียงกลับมายืนขวางทางนางที่หน้าประตูเรือนในเช้าวันถัดมา เขายังอุตส่าห์มอง “อุบาย” ของนางออกเสียด้วย

เขาบอกกับนางว่าไม่ต้องพยายามเช่นนั้นอีก เพราะอย่างไรเขาก็จะไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ

เขายังพูดขึ้นด้วยใบหน้าจริงจังยิ่งว่า “เจ้าจะเกลียดข้าก็ได้ แต่เจ้าห้ามข้าไม่ให้ชอบเจ้าไม่ได้”

เดิมทีนางอยากจะจัดการเขาเสียจะได้สิ้นเรื่อง หากแต่ชิงเป่ยตรวจสอบเบื้องหลังเขาแล้วพบว่าชายหนุ่มผู้นี้ไม่เพียงเป็นศิษย์ในสามสำนักใหญ่ แต่เป็นศิษย์วงในคนโปรดของเจ้าสำนักไร้สิ้นสุด นอกจากนั้นยังเคยเป็นองค์ชายแคว้นชิงหลาน ที่ถึงตอนนี้จะถูกปลดยศองค์ชายไปแล้ว แต่เลือดที่ไหลเวียนอยู่ในร่างเขาก็ยังคงเป็นเลือดราชวงศ์อยู่ดี

ทั้งยังสนิทสนมกับองค์รัชทายาทซวนหยวนเช่ออีกด้วย

ตัวตนของชายหนุ่มผู้นี้ไม่ธรรมดาเลยจริง ๆ!

หากเขาเป็นเพียงคนธรรมดาผู้หนึ่งก็คงไม่มีปัญหาอันใด หากแต่เมื่อมีเบื้องหลังมากมายเช่นนี้ สถานการณ์จึงค่อนข้างยากลำบากสำหรับชิงอวี่

ดังนั้นชิงอวี่จึงล้มเลิกความคิดเดิม แล้วเลือกที่จะหนีไปอย่างคนขี้ขลาดแทน

ถูกต้อง ตราบเท่าที่นางไม่อยู่ที่เรือนสงบเงียบ เจ้านั่นจะมีดวงตาที่สามารถมองเห็นได้ทุกอย่างหรือ? ดินแดนนี้ช่างกว้างใหญ่ อย่างไรก็ต้องมีสถานที่ให้นางได้หลบซ่อนตัวได้บ้างล่ะ

ช่วงหลายวันที่ผ่านมานี้ พระชายาก็ไม่มีเวลามาหาเรื่องสองพี่สองเช่นกัน นางมัวแต่เป็นกังวลกับบุตรสาวของตน ฉะนั้นหากชิงอวี่ไม่กลับจวนสักสิบวันหรือสิบห้าวันก็ไม่มีใครสนใจ

แล้วช่วงนี้นางอาศัยอยู่ที่ไหนน่ะหรือ?

ห่างออกไปจากจวนหย่งอันอ๋อง ราวสิบลี้มีถ้ำอยู่ถ้ำหนึ่ง ถ้ำแห่งนี้อาจเคยมีคนอยู่อาศัยมาก่อน ถึงจะมีพืชพันธุ์ขึ้นรกไปสักหน่อย แต่ก็เป็นสถานที่ใช้พักพิงระยะสั้นได้ สะดวกสบายกว่าในอดีตที่นางต้องเอาชีวิตรอดอยู่ในป่าเขามากนัก

หลายวันที่ผ่านมา นางจึงมุ่งบำเพ็ญเพียรอยู่ในถ้ำแห่งนี้

นางยังถือโอกาสนี้ในการหลอมยาบำรุงร่างวิญญาณให้จิตวิญญาณอาวุธของนางด้วย

พูดแล้วก็แปลก เขาได้รับพลังไปไม่น้อยยามเมื่อนางทะลวงขั้นพลัง เหตุใดเขาจึงทำท่าราวกับหมดสติแน่นิ่งไปอีกแล้ว?

ในฐานะที่นางเป็นนายหญิงแล้ว นางไม่ได้ต้องการความเคารพนบน้อมใดจากจิตวิญญาณอาวุธของนางเลย!

หากแต่นางไม่รู้ว่าเพื่อนตัวน้อยในร่างของนางไม่ได้หลับลึกอย่างที่นางคิด หากแต่เขาเพิ่งจะดูดกลืนวิญญาณทรงพลังอันชั่วร้ายเข้าร่าง และตอนนี้กำลังย่อยมันอยู่ต่างหาก เฝ้ารอวันที่ตัวเขากับวิญญาณร้ายที่กลืนเข้ามาผสานกันอย่างสมบูรณ์ ถึงวันนั้นเขาก็จะสามารถปรากฏตัวขึ้นได้อีกครั้งเสียที!

วิธีที่ชิงอวี่ใช้หลอมยานั้นต่างจากที่ผู้คนในโลกนี้ใช้เล็กน้อย ในที่ ‘ตำราแพทย์แดนเซียน’ บันทึกไว้ว่า หากกระบวนการหลอมยาของคนผู้หนึ่งบรรลุจนถึงระดับหนึ่ง คนผู้นั้นไม่จำเป็นต้องใช้เตาหลอมยาในการปรุงหรือหลอมยาอีกต่อไป ใช้เพียงไฟโลหิตในร่างกายตนในการหลอมสมุนไพร ขจัดสิ่งที่ไม่บริสุทธิ์ออก จากนั้นดึงเอาแก่นออกมา และเมื่อหลอมจนได้ที่ก็จะสามารถแปรเปลี่ยนจากตัวสมุนไพรเป็นยาได้

นับเป็นพลังอีกขั้นหนึ่งโดยแท้

เมื่อชาติก่อนชิงอวี่ไม่จำเป็นต้องใช้เตาหลอมยาในการหลอมยาอีกต่อไป หากแต่ยังมียาบางชนิดที่ห้ามสัมผัสอากาศ ยาเช่นนั้นอย่างไรก็ยังต้องใช้เตาหลอมยา

หากแต่ยามอยู่กลางป่าเขาเช่นนี้ ใช้เตาหลอมยาได้ไม่ถนัดนัก ดังนั้นนางจึงหลอมยามือเปล่า ไฟโลหิตสีทองเหลือบแดงส่องสว่างไปทั่วทั้งถ้ำ

ทันใดนั้นที่ท้องฟ้าด้านนอกก็พลันมีเสียงฟ้าผ่าเสียงดัง ไม่นานฝนก็เริ่มโปรยลงมา

ชิงอวี่เก็บยาที่หลอมไว้ในที่ปลอดภัย นางมองไปยังท้องฟ้านอกถ้ำก่อนจะขมวดคิ้วเล็กน้อย

ท้องฟ้าช่วงนี้ไม่สดใส แต่ก็ไม่มีฝน นางจึงไม่คิดว่าฝนจะตกกะทันหันเช่นนี้

ดูท่านางคงจะต้องอยู่ในถ้ำแห่งนี้ไปอีกสักระยะ

ชิงอวี่ถอนหายใจยาว อดนึกย้อนไปยังวันคืนนับไม่ถ้วนที่นางใช้บำเพ็ญเพียรในอดีตไม่ได้ นางนั่งอยู่ภายในห้องที่ทั้งมืดทั้งเย็น ตกอยู่ในความอ้างว้างโดดเดี่ยว

หากแต่ในช่วงเวลานั้น จิตวิญญาณอาวุธของนางจะคอยปรากฏตัวออกมาจากร่างของนาง พยายามทำให้นางร่าเริงและคอยพูดคุยกับนางอยู่เสมอ

หากแต่เจ้าก้อนกลมในร่างของนางตอนนี้ก็ยังขดตัวอยู่ที่มุมมิติของนางเงียบ ๆ ไร้การตอบสนองใด ชิงอวี่พลันยกยิ้มขึ้นมาน้อย ๆ “ไหมไหม ข้าคิดถึงเจ้าจัง!”

ฝนที่ตกไม่บางตาลงแม้แต่น้อย หากแต่กลับลงเม็ดหนักขึ้น ท้องฟ้านอกถ้ำมืดครึ้ม ก่อนที่ไม่นานหมอกหนาจะปกคลุมพื้นที่โดยรอบทำให้ไม่อาจรู้ได้ว่าเป็นเวลาเช้าหรือค่ำ

การปลอมยาเมื่อครู่ใช้พลังไปไม่น้อย ชิงอวี่เริ่มรู้สึกเพลียเล็กน้อย ดังนั้นนางจึงค่อย ๆ หลับตาลง

“เยี่ยมไปเลยพี่สอง! ด้านหน้ามีถ้ำอยู่ด้วย ในที่สุดก็หาที่หลบฝนได้แล้ว!”

ท่ามกลางสายฝนพลันมีเงาร่างของชายหนุ่มและหญิงสาวปรากฏขึ้น ชายผู้นั้นกำลังยกเสื้อคลุมตัวนอกไว้เหนือหัวคนทั้งคู่ เพื่อกันฝนแม้เพียงสักเล็กน้อยก็ยังดี

เด็กสาวที่เอ่ยประโยคนั้นขึ้นมาอยู่ในชุดกระโปรงระบายสีม่วงอ่อนที่เปียกเพียงเล็กน้อย ผมเผ้ายุ่งเหยิงนิดหน่อย หากแต่บนใบหน้างามนั้นเต็มไปด้วยความดีอกดีใจ เด็กสาวผู้นี้คือธิดาของเสนาบดีฝ่ายซ้าย มีนามว่าอวี้เซียวหนิง

“ข้าขอชื่นชมเจ้าจริง ๆ หนิงหนิง เจ้าไม่รู้หรือว่าอากาศช่วงนี้ไม่เหมาะกับการเดินทาง? เจ้าก็ยังดื้อรั้นจะออกมาให้ได้ เรื่องเช่นนี้เยี่ยมไปเลย ครานี้พวกเราเลยเปียกชุ่มยิ่งกว่าไก่ในน้ำซุปเสียอีก!” ส่วนชายหนุ่มในชุดสีน้ำเงินดูท่าทางเป็นคนอบอุ่น ใบหน้าหล่อเหลา ทำทีเป็นบ่นคนข้างตัวไปอย่างนั้น หากแท้จริงแล้วเขาทั้งรักและห่วงใยเด็กสาวผู้นี้มาก

เขาคือบุตรชายคนรองของเสนาบดีฝ่ายซ้าย นามว่าอวี้ถิงเซวียน

อวี้เซียวหนิงแลบลิ้นออกมาท่าทางแสนซน “ไอ้หยา พี่ใหญ่ยุ่งตลอด หน้าตายังไม่ค่อยได้เห็น ส่วนพี่สามก็ลอยชายไปมาอยู่ท่ามกลางเหล่านารี มีแต่พี่สองที่เต็มใจมาเป็นเพื่อนข้า ข้าเหงามากเลยนะท่านรู้ไหม!”

“เด็กดื้อ” ชายหนุ่มยีหัวน้องสาวตนพร้อมหัวเราะ “รีบเข้าไปหลบข้างในได้แล้ว หากเจ้าป่วยไปจะแย่เอา”

“รู้แล้ว รู้แล้ว” อวี้เซียวหนิงรีบเร่งฝีเท้าวิ่งเข้าไปในถ้ำ อวี้ถิงเซวียนเดินตามมาไม่ห่าง

ชิงอวี่ได้ยินเสียงฝีเท้าคนที่ด้านนอก ค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมอง ทันใดนั้นก็เห็นว่ามีชายหนุ่มกับเด็กสาวกำลังเดินตรงเข้ามาหานาง

คนทั้งคู่ไม่คิดว่าด้านในจะมีคนแล้วจึงชะงักค้างไปชั่วขณะ อวี้เซียวหนิงหาเสียงตนเองเจอก่อน นางจึงคลี่ยิ้มอ่อนโยนให้ “พวกเราเข้ามาหลบฝน ขออภัยด้วย คงทำให้แม่นายตกใจเสียแล้ว”

“ไม่เป็นไร” ชิงอวี่พยักหน้าให้นาง “เชิญพวกท่านตามสบาย”

หลังจากพูดจบนางก็ปิดเปลือกตาลงอีกครั้ง

อวี้เซียวหนิงดึงแขนพี่ชายตนให้เดินเข้ามาด้านในก่อนจะหาจุดที่ไม่เปียกน้ำฝนนั่งลง ทันใดนั้นนางก็จามเสียงเบาออกมาหนึ่งครั้งก่อนจะยกมือขึ้นลูบจมูกตนเอง “ในนี้หนาวจริง!”

อวี้ถิงเซวียนลุกขึ้นเดินหาเศษกิ่งไม้แถวปากถ้ำ เขาหามันมากองรวมไว้ก่อนจะใช้พลังวิญญาณในการจุดไฟ ก่อเกิดเป็นกองไฟกองเล็ก

“หนิงหนิง นั่งใกล้กองไฟหน่อยจะได้ไม่หนาว” อวี้ถิงเซวียนเอ่ยขึ้นเสียงอ่อนโยน

อวี้เซียวหนิงพยักหน้ารับ เขยื้อนตัวให้เข้าใกล้กองไฟขึ้นอีกนิด มือน้อย ๆ ของนางยื่นออกมาอิงเอาไออุ่นจากกองไฟ

ภายในถ้ำกลับคืนสู่ความเงียบสงบ ได้ยินเพียงเสียงไฟลั่นดังเปรี๊ยะ

อวี้เซียวหนิงคงจะเพลียมาก หลังจากผิงไฟจนอุ่นไม่นาน นางก็พิงไหล่พี่ชายนางหลับไป มีเสียงกรนเบา ๆ ดังมาให้ได้ยิน

อวี้ถิงเซวียนกอดอกพิงผนังถ้ำด้านข้าง สายตาพลันหยุดลงยังร่างของเด็กสาวอีกคนที่นั่งขัดสมาธิอยู่อีกมุมถ้ำ นางมีใบหน้างดงาม กลิ่นอายที่แผ่ออกมาไม่ธรรมดา ดูแล้วคงจะเป็นธิดาตระกูลมีชื่อเสียงเป็นแน่

มองอยู่สักพักเขาจึงละสายตาจากนาง

เขาค่อย ๆ ขยับร่างอวี้เซียวหนิงให้เข้ามาใกล้ยิ่งขึ้น ก่อนจะใช้หลังมือแตะหน้าผากนางเพื่อตรวจสอบว่านางมีไข้หรือไม่

ชิงอวี่หลับตาพักผ่อนมาได้ชั่วครู่หนึ่ง ร่างกายรู้สึกดีขึ้นมาก นางหาวนอนออกมาก่อนจะค่อย ๆ ลุกขึ้น ปัดเศษฝุ่นออกจากร่างเล็กน้อย

ฝนตกหนักนอกถ้ำตอนนี้บางตาลงมาก เหลือเพียงฝนปรอยเม็ดเล็ก ชิงอวี่ยิ้มแห้งออกมา ก่อนจะก้าวเท้าเดินออกจากถ้ำไป

เมื่อเห็นว่าฝนเริ่มซา อวี้ถิงเซวียนก็รีบปลุกเด็กสาวข้างเขาในทันที “หนิงหนิง ตื่นได้แล้ว พวกเราออกไปได้แล้วล่ะ”

“หือ….. พี่สอง ข้าง่วงจัง…..” อวี้เซียวหนิงเอาหัวถูแขนพี่ชายตนเบา ๆ น้ำเสียงแผ่วเบาอู้อี้ไม่ยอมตื่น

“กลับไปแล้วค่อยนอนเถอะ อยู่ที่นี่ไม่ปลอดภัย” อวี้ถิงเซวียนไม่รู้จะทำอย่างไร ทำได้เพียงอุ้มร่างนางขึ้นมาครึ่งหนึ่งเท่านั้น “ยืนให้ดี เราจะกลับบ้านกันแล้ว”

อวี้เซียวหนิงเปิดเปลือกตามาครึ่งหนึ่ง ใบหน้าดูทรมานใจยิ่งนัก “พี่สอง ข้าไม่อยากไป ข้าไม่สบายตัว ฮือ…..”

เด็กสาวผู้นี้ตลอดมาเป็นคนเด็ดขาดและเด็ดเดี่ยว ทั้งยังเข้มแข็งในระดับหนึ่ง อวี้ถิงเซวียนไม่เคยเห็นนางแสดงท่าทางเช่นนี้ ในใจจึงเกิดความกังวลขึ้นในพลัน “เกิดอะไรขึ้น? เจ้าไม่สบายตรงไหน?”

“ปวดหัว” อวี้เซียวหนิงตอบ ชี้นิ้วไปที่หัวตน

อวี้ถิงเซวียนรีบเอื้อมมือไปแตะหน้าผากนางทันที “ก็ไม่ร้อนนี่ เหตุใดเจ้าจึงปวดหัวเล่า?”

“ฮือ ข้าแค่รู้สึกไม่สบายตัวเท่าไหร่ ข้าไม่อยากไป ข้าไม่ไป…..” ยามเมื่อเด็กสาวไม่สบายเนื้อตัว ไม่ว่าปกติจะเป็นเด็กที่เข้มแข็งอย่างไร ในเวลาแบบนี้นางจะเปราะบางเป็นพิเศษ เมื่อเห็นว่านัยน์ตากลมโตเอ่อล้นไปด้วยน้ำตาที่ทำท่าจะไหลออกมาอยู่รอมร่อ ในใจอวี้ถิงเซวียนก็เจ็บจี๊ดขึ้นมาในพลัน

“ไม่เป็นไรเด็กดี อย่าร้องไห้ หากร้องแล้วเจ้าจะรู้สึกแย่กว่าเดิม” อวี้ถิงเซวียนพูดปลอบเสียงอ่อนโยน จากนั้นก็ร้องเรียกออกไปโดยไม่ลังเล “แม่นางโปรดรอก่อนได้หรือไม่!?”

เด็กสาวในชุดขาวเดินมาจนถึงปากถ้ำแล้ว เมื่อได้ยินดังนั้นฝีเท้านางก็ชะงักไป นางหันมาพร้อมเลิกคิ้วถาม “ท่านเรียกข้าหรือ?”

นัยน์ตาหงส์ที่งามยากหาผู้ใดเปรียบได้หันกลับมามองเขา อวี้ถิงเซวียนจ้องมองนัยน์ตาคู่นั้นค้างอยู่ครู่หนึ่งก่อนได้สติ ไม่คิดว่าเด็กสาวที่งดงามผู้นี้ จะมีนัยน์ตาที่สะท้านวิญญาณคนเช่นนี้

หากแต่ในเขาไม่มีเวลามาสนใจเรื่องรูปโฉมของนาง เขารีบกล่าวต่อทันที “แม่นาง ช่วยตรวจอาการน้องสาวให้ข้าได้หรือไม่ว่านางเป็นอะไร?”

“หือ?” ชิงอวี่กะพริบตา “ท่านรู้ได้อย่างไรว่าข้ามีความสามารถเช่นนั้น?”

“ข้าได้กลิ่นสมุนไพรจากแม่นาง มีเพียงนักปรุงยาเท่านั้นที่จะมีกลิ่นเช่นนั้นได้” อวี้ถิงเซวียนอธิบายอย่างเฉียบแหลม

เขาได้กลิ่นด้วยหรือ? จมูกจะดีไปไหนนี่!?

ชิงอวี่ตะลึงกับความสามารถด้านการดมกลิ่นอันเฉียบแหลมของเขา ในเมื่ออีกฝ่ายกล้าขอ หากปฏิเสธนางย่อมรู้สึกละอายใจแน่ อย่างไรพรสวรรค์ที่เบื้องบนให้นางมาก็มีไว้เพื่อช่วยเหลือผู้คนให้รอดพ้นจากความตาย หายจากความเจ็บปวดอยู่แล้ว

นางจึงเดินเข้าไปหาแม่นางน้อย จับข้อมือนางขึ้นมาจับชีพจร “ไม่เป็นอะไรมาก มีไข้อ่อน ๆ เพียงเท่านั้น ฝังเข็มสักครั้งสองครั้งก็หาย”

พูดจบ นิ้วเรียวก็ดึงเอาเข็มเงินเล่มบางออกมา จากนั้นฝังลงบนหน้าผากอวี้เซียวหนิง ไม่นานอวี้เซียวหนิงก็ลืมตาขึ้นมา นัยน์ตาสับสนมึนงง

“ยังปวดหัวอยู่หรือไม่?” เมื่อเห็นนางทำสีหน้าน่ารักเช่นนั้น ชิงอวี่อดรู้สึกน่าขันไม่ได้ นางเอ่ยถามเสียงเบา

อวี้เซียวหนิงส่ายหน้า ดูท่าทางยังคงสับสนอยู่ ก่อนที่นัยน์ตาจะมองไปยังใบหน้างามตรงหน้า จากนั้นจึงเอ่ยปากถามขึ้น “ท่านเป็นปีศาจสาวหรือ?”

ชิงอวี่เลิกคิ้ว “เจ้าคิดว่าข้าเหมือนงั้นหรือ?”

อวี้เซียวหนิงส่ายหน้า จากนั้นจ้องหน้านางนิ่ง “ท่านดูงดงามกว่าปีศาจสาวที่อยู่ในหนังสือพวกนั้นเสียอีก”

ชิงอวี่หัวเราะออกมาเสียงดัง “เจ้านี่น่ารักจริง”

จากนั้นนางจึงหันไปมองอวี้ถิงเซวียนที่มีสีหน้ากระอักกระอ่วน “นางไม่เป็นอะไรแล้ว เช่นนั้นข้าขอตัว ลาก่อน”

พูดจบก็ไม่รอคำตอบกลับ นางลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกจากถ้ำในทันที เงาร่างสีขาวเดินจากไปท่ามกลางสายฝนอย่างรวดเร็ว

คนทั้งสองคนในถ้ำมองภาพเงาร่างนั้นค่อย ๆ จางหายไปกับสายฝนราวกับต้องมนต์ อวี้ถิงเซวียนละสายตากลับมามองน้องสาวตนที่ยังคงมองแม่นางผู้นั้นไม่วางตา เห็นดังนั้นจึงยื่นมือออกมาโบกหน้านางสองสามครั้ง “หนิงหนิง?”