ตอนที่ 43 เงินข้าก็จะเอา คนข้าก็จะเอา!

ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า

ตอนที่ 43 เงินข้าก็จะเอา คนข้าก็จะเอา!

หนิวโหย่วเต้าประสานมือเอ่ยทักทาย “ข้าน้อยคือหนิวโหย่วเต้า คารวะแม่ทัพเฟิ่ง!”

ถูกต้องแล้ว แม่ทัพหญิงคนนี้ก็คือเฟิ่งรั่วหนานบุตรีคนสุดท้องจากบรรดาบุตรธิดาทั้งสามของเฟิ่งหลิงปอ เมื่อได้ยินหนิวโหย่วเต้าเอ่ยทักทายจึงเลิกคิ้วขึ้นมาเล็กน้อย กล่าวว่า “สหายเก่าอย่างนั้นหรือ? ข้ากับเจ้านับว่าเป็นสหายเก่าเช่นไร?”

หนิวโหย่วเต้าเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ท่านแม่ทัพยังจำเรื่องแพไม้ไผ่ริมแม่น้ำในจังหวัดจื่ออวิ๋นเมื่อปีนั้นได้หรือไม่? แซ่หนิวยังคงจดจำท่านแม่ทัพได้ดี รอดพ้นจากลูกธนูของท่านแม่ทัพมาได้ ทว่าเกือบแข็งตายในแม่น้ำเสียแล้ว”

เฟิ่งรั่วหนานยิ้มมุมปากนิดๆ นางจดจำเรื่องนี้ได้ ต่อให้ไม่ได้รับรายงานข่าวจากคณะของซางเฉาจง นางก็ยังจดจำนามหนิวโหย่วเต้านี้ได้ ปีนั้นหลังจากนางยิงป้ายชื่อทิ้งไว้ให้แล้ว นางถึงนึกขึ้นมาได้ว่าเด็กคนนั้นจะแข็งตายอยู่ในแม่น้ำหรือไม่? ภายหลังคิดจะย้อนกลับไปดู แต่เมื่อคำนึงถึงทิศทางการไหลของกระแสน้ำ คาดว่าคงจะหาตัวไม่พบแล้ว นางจึงถอดใจไป แต่หลังจากนั้นก็มีเรื่องที่ทำให้นางจดจำได้ไม่รู้ลืม นั่นคือมีคนจากสำนักสวรรค์พิสุทธิ์นำป้ายชื่อของนางมาขอพบนาง มาตรวจสอบความจริงว่านางเคยพบปะกับหนิวโหย่วเต้าจริงๆ หรือไม่ นางถึงได้ทราบว่าเด็กชายเจ้าปัญญาบนแพไม้ไผ่แพนั้นมีนามว่าหนิวโหย่วเต้า และได้เข้าสู่สำนักสวรรค์พิสุทธิ์ไปแล้ว เพียงแต่จนถึงปัจจุบันนี้หนิวโหย่วเต้าก็ยังไม่ทราบเรื่องนี้เลย

จากนั้นเมื่อไม่นานมานี้ นางได้ยินว่าฝ่าซือคุ้มกันของซางเฉาจงคือศิษย์สำนักสวรรค์พิสุทธิ์ มีนามว่าหนิวโหย่วเต้า นางจึงนึกออกทันทีว่าเป็นผู้ใด และจากข่าวที่นางเพิ่งจะได้รับมาในเช้าวันนี้ทำให้นางรู้ว่าหนิวโหย่วเต้าเอาชนะพวกซ่งเหยี่ยนชิงที่เป็นศิษย์พี่ทั้งสามคนได้ นี่ยิ่งทำให้นางประหลาดใจมากขึ้น หนิวโหย่วเต้าเพิ่งเข้าสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ได้แค่ไม่กี่ปี มีความสามารถขนาดนี้เชียวหรือ? เมื่อครู่ที่ขว้างทวนเล่มนั้นใส่ก็เพื่อจะหยั่งเชิงอีกฝ่าย ไม่คิดเลยว่าจะถูกหยวนกังสกัดไว้ได้

“ที่แท้เป็นเจ้านั่นเอง!” เฟิ่งรั่วหนานดูแคลนเล็กน้อย เอ่ยด้วยสีหน้าประชดประชัน “ทำไมเล่า? วันนี้จะมาแก้แค้นข้าหรืออย่างไร?”

หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “มิกล้า วันนี้ข้ารับบัญชาจากท่านอ๋องมาชื้อของในตัวเมือง นึกขึ้นได้ว่ามีสหายเก่าอยู่ที่นี่ จึงตั้งใจมาเยี่ยมเยือนเป็นการเฉพาะ”

เฟิ่งรั่วหนานถามต่อ “แค่นี้หรือ?”

หนิวโหย่วเต้าหัวเราะแห้งๆ ตอบว่า “แน่นอน ยังมีเรื่องอยากขอความช่วยเหลือจากท่านแม่ทัพนิดหน่อยด้วย”

เฟิ่งรั่วหนานอดยิ้มเยาะไม่ได้ ท่าทางนั้นสื่อชัดเจนว่าเหตุใดข้าต้องช่วยเจ้าด้วย? แต่ปากยังคงเอ่ยอย่างอารมณ์ดีว่า “ลองว่ามาก่อนสิ”

หนิวโหย่วเต้าถูไม้ถูมือ เอ่ยอย่างกระดากใจอยู่บ้างว่า “ข้าอยากจะขอหยิบยืมเงินท่านแม่ทัพเล็กน้อย ไม่ทราบว่าท่านแม่ทัพสะดวกหรือไม่?”

ยืมเงินหรือ? เฟิ่งรั่วหนานตะลึงไปอย่างเห็นได้ชัด เอ่ยด้วยความฉงนว่า “ยืมเท่าใด?”

หนิวโหย่วเต้าชูนิ้วขึ้นมาหนึ่งนิ้ว พลางเอ่ยอย่างเบิกบานว่า “ไม่มากเลย แค่หมื่นเหรียญทองเท่านั้น!”

สีหน้าเฟิ่งรั่วหนานแปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย นี่เจ้าล้อเล่นอะไรอยู่ เอ่ยปากมาก็จะเอาหมื่นเหรียญทองเลย สำหรับนางแล้ว เงินจำนวนนี้จะบอกว่ามากก็ไม่ได้มาก จะบอกว่าน้อยก็ไม่ได้น้อย เพียงแต่ความสัมพันธ์ระหว่างนางกับหนิวโหย่วเต้าไม่ได้ลึกซึ้งจนถึงขั้นที่จะให้หยิบยืมเงินมากมายขนาดนี้ได้ ยิ่งไปกว่านั้นอีกฝ่ายติดตามพวกซางเฉาจงอยู่ นางจึงโบกมือไล่พลางเอ่ยอย่างไม่เกรงใจแม้แต่น้อยว่า “ช่วงนี้ข้าขัดสนยิ่งนัก ไม่สะดวกเลยแม้แต่น้อย ฝ่าซือไปหาคนอื่นเถอะ ทหาร ส่งแขก!”

จากนั้นสตรีชุดดำนางหนึ่งกระโดดลงมาด้านล่างเวที ผายมือพลางเอ่ยว่า “เชิญ!”

หนิวโหย่วเต้ายกมือสื่อว่าให้คอยสักครู่ เขาทำหน้าหนาเอ่ยไปว่า “หรือท่านแม่ทัพลองเสนอเงื่อนไขมาดู ว่าต้องทำอย่างไรถึงจะยอมให้ยืม?” เมื่อเห็นท่าทางหมดความอดทนและไม่ยินดีที่จะพูดคุยต่อไปของอีกฝ่าย ความคิดเขาขยับขึ้นมาอย่างรวดเร็ว รู้สึกว่าจำเป็นต้องกระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นของอีกฝ่ายถึงจะได้เรื่อง จึงเปลี่ยนคำพูดทันทีว่า “หนึ่งชั่วยาม ขอยืมแค่หนึ่งชั่วยามเท่านั้น ครบหนึ่งชั่วยามแล้วจะคืนให้ท่านแม่ทัพทันที!” พร้อมทั้งชูนิ้วมือขึ้นมาหนึ่งนิ้วอีกครั้ง

ยืมหมื่นเหรียญทองหนึ่งชั่วยามหรือ? เฟิ่งรั่วหนานอยากรู้เหมือนกันว่าคนผู้นี้คิดจะทำอะไร จึงเอ่ยอย่างเย็นชาว่า “ข้าจะไว้ใจเจ้าได้อย่างไร? หากเจ้าเชิดเงินหนีไป ข้าจะไปตามทวงกับผู้ใดเล่า?” นางเพียงแค่พูดๆ ไปเท่านั้น ที่นี่คือถิ่นของนาง ไม่จำเป็นต้องกลัวเลยว่าหนิวโหย่วเต้าจะหนีไปไหนได้ภายในหนึ่งชั่วยาม

หนิวโหย่วเต้าตบอกกล่าวว่า “ไม่หนีแน่นอน ให้ข้าเป็นตัวประกันอยู่ที่นี่ดีหรือไม่? หากครบหนึ่งชั่วยามแล้วไม่สามารถนำเงินมาคืนได้ จะฆ่าจะแกงอย่างไร เชิญจัดการได้ตามสบายเลย!”

เฟิ่งรั่วหนานเอ่ยอย่างดูแคลน “ฆ่าเจ้าแล้วมีประโยชน์อันใด? ชีวิตน้อยๆ ของเจ้าเนี่ย เกรงว่าไม่ช้าก็เร็วตระกูลซ่งคงจะมาเอาไปแล้วกระมัง?” เห็นได้ชัดว่านางทราบเรื่องที่หนิวโหย่วเต้าสังหารซ่งเหยี่ยนชิงแล้ว

หนิวโหย่วเต้าหัวเราะฮ่าๆ พลางเอ่ยว่า “ชีวิตของข้า ตระกูลซ่งคงเอาไปไม่ได้ง่ายๆ แต่ในเมื่อท่านแม่ทัพคิดเช่นนี้ ข้าก็ยินดีจะวางเดิมพันกับท่านแม่ทัพ หากข้าแพ้เดิมพัน อีกหนึ่งชั่วยามให้หลัง ข้าจะคืนเงินต้นหมื่นเหรียญทองพร้อมด้วยดอกเบี้ยอีกหนึ่งแสนเหรียญทองให้ ไม่บิดพลิ้วแน่นอน!”

หนึ่งแสนเหรียญทองหรือ? นั่นมิใช่จำนวนน้อยๆ เลย สตรีชุดดำทั้งสี่ต่างสบตากัน

เฟิ่งรั่วหนานหวั่นไหวเล็กน้อย เงินหนึ่งแสนเหรียญทองเพียงพอใช้จ่ายเบี้ยเลี้ยงทั้งกองทัพของจังหวัดกว่างอี้ได้หลายรอบเลย แต่ปากคอยังคงเราะร้ายอยู่ เอ่ยเหน็บแนมว่า “ขนาดเงินหมื่นเหรียญทองเจ้ายังมาถามหยิบยืม แล้วจะเอาเงินแสนเหรียญทองที่ไหนมาให้ข้า?”

หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “ต่อให้หาเงินแสนเหรียญทองมาไม่ได้ ข้าก็ต้องนำของที่มีค่าถึงแสนเหรียญทองมาชำระหนี้ให้ท่านแน่นอน ถึงแม้ท่านอ๋องของข้าจะไม่มีเงิน แต่พระองค์ก็ยังพอมีทรัพย์สินมีค่าอยู่บ้าง หากท่านแม่ทัพไม่วางใจ ข้ายินดีมอบสิ่งนี้ให้เป็นหลักประกัน” เขาหยิบป้ายคำสั่งอันหนึ่งออกมาจากอกเสื้อแล้วโยนส่งให้ นี่คือป้ายคำสั่งที่เขาหยิบยืมมาจากซางเฉาจงก่อนที่จะออกเดินทาง บอกว่ามาพบเฟิ่งหลิงปอจำเป็นต้องมีหลักฐานยืนยันตัว แล้วก็เพื่อที่จะสั่งการองครักษ์ได้สะดวก

สตรีชุดดำที่อยู่ตรงหน้ารับเอาป้ายคำสั่งไปตรวจสอบ ก่อนจะส่งต่อให้เฟิ่งรั่วหนาน ฝ่ายนั้นรับไปมองแวบหนึ่ง พบว่าเป็นป้ายคำสั่งจวิ้นอ๋องของซางเฉาจง หลังจากตรวจสอบซ้ำไปซ้ำมา จึงมั่นใจว่าน่าจะไม่ใช่ของปลอม บนป้ายสลักตราลัญจกรของราชวงศ์ที่มีความวิจิตรประณีตเอาไว้ ป้ายคำสั่งนี้จะบอกว่ามีค่าก็มีค่า จะบอกว่าไม่มีค่าก็ไม่มีค่า สิ่งสำคัญคือต้องดูว่าเจ้าของป้ายคำสั่งมีอำนาจมากแค่ไหน สำหรับซางเฉาจงในปัจจุบันนี้ เห็นได้ชัดว่าป้ายคำสั่งนี้ไม่มีค่าอันใดเลย แต่หากว่ากันในอีกมุมหนึ่งแล้ว ป้ายคำสั่งนี้กลับเป็นศักดิ์ศรีและเกียรติยศหน้าตาสำหรับซางเฉาจง กล่าวก็คือมันไม่มีค่าอันใดสำหรับผู้อื่น แต่กลับมีค่ากับซางเฉาจง

เมื่อมีป้ายคำสั่งนี้อยู่ในมือ เฟิ่งรั่วหนานก็วางใจ ไม่กลัวซางเฉาจงเบี้ยวหนี้อีก จึงเล่นป้ายคำสั่งอยู่ในมือพลางเอ่ยอย่างเฉยชาว่า “เจ้าจะเดิมพันอย่างไร?”

หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “ก็ตามที่ข้าได้แจ้งไป ขอยืมเงินท่านแม่ทัพหมื่นเหรียญทอง แล้วข้าจะคืนให้ภายในหนึ่งชั่วยาม ใช้ป้ายคำสั่งนี้ไว้เป็นหลักประกัน”

เฟิ่งรั่วหนานแกว่งป้ายคำสั่งในมือ “ข้าถามว่าเจ้าจะเดิมพันอย่างไร?”

หนิวโหย่วเต้าลอบสบถอยู่ในใจ สตรีนางนี้ละโมบโดยแท้ เห็นทีคงอยากได้เงินแสนเหรียญทองนั่นจริงๆ ที่บอกว่าจะเดิมพัน เขาก็เพียงแค่อยากดึงความสนใจอีกฝ่ายให้คุยกันต่อเท่านั้น ไม่ใช่แค่คุยกันไม่กี่ประโยคก็ถูกไล่ตะเพิดกลับไป เขาจึงยิ้มแห้งแล้วเอ่ยไปว่า “เรื่องเดิมพันไม่จำเป็นแล้วกระมัง?”

เฟิ่งรั่วหนานเลิกคิ้ว สีหน้าพลันเย็นชา “เจ้ากล้าหลอกข้าหรือ?”

“มิกล้าๆ ได้ๆๆ พวกเราเดิมพันกัน!” หนิวโหย่วเต้ายกมือทั้งสองข้าง แสดงออกว่ายอมจำนนแล้ว เขาชี้แจงกติกาเดิมพัน “เงินหมื่นเหรียญทอง ยืมหนึ่งชั่วยาม ข้าเดิมพันว่าพอถึงเวลาท่านแม่ทัพจะไม่ทวงเงินข้า อีกทั้งยังจะปล่อยข้าออกจากค่ายทหารโดยสวัสดิภาพด้วย หากข้าชนะเดิมพัน เงินหมื่นเหรียญทองนี้ย่อมไม่ต้องคืน หากข้าแพ้ ข้าจะคืนเงินหมื่นเหรียญทองพร้อมดอกเบี้ยแสนเหรียญทอง ไม่ทราบว่าท่านแม่ทัพมีความเห็นเช่นใด?”

เฟิ่งรั่วหนานไตร่ตรองครู่หนึ่ง รู้สึกว่าเดิมพันครั้งนี้มีปัญหา แววตาวูบไหว ยิ้มหยันพลางกล่าวว่า “ข้าว่าไม่ดี เปลี่ยนกติกาเดิมพันดีกว่า ข้าให้เจ้ายืมเงินหมื่นเหรียญทอง กำหนดให้เจ้าคืนเมื่อครบหนึ่งชั่วยาม หากนำมาคืนตามกำหนด ข้าจะปล่อยเจ้าไปโดยสวัสดิภาพ หากเกินกำหนด เจ้าต้องคืนเงินหมื่นเหรียญทองพร้อมดอกเบี้ยแสนเหรียญทองให้ข้า ตัวเจ้าต้องยอมให้ข้าจัดการตามใจชอบ ส่วนเขา…” นางพยักเพยิดหน้าไปทางหยวนกัง “หากคืนเงินเกินกำหนด เขาต้องมาทำงานรับใช้ข้า เป็นอย่างไร?”

หนิวโหย่วเต้าอดขบขันไม่ได้ เขาพบว่าสตรีนางนี้เป็นคนไม่ยอมเสียเปรียบเลยจริงๆ เดิมพันกันเช่นนี้ ไม่ว่าทางไหนตัวนางก็ไม่เสียเปรียบทั้งนั้น เขาแสร้งกล่าวอย่างลำบากใจเล็กน้อยว่า “ท่านแม่ทัพ ท่านเดิมพันเช่นนี้ ดูเหมือนข้าจะไม่ได้ประโยชน์อันใดเลย!”

เฟิ่งรั่วหนานถลึงตาใส่พร้อมเอ่ยว่า “ข้ายอมให้เจ้ายืมเงินเจ้าก็ได้ประโยชน์แล้วมิใช่เรอะ? เจ้าคิดว่าใครจะมายืมเงินจากข้าก็ได้อย่างนั้นหรือ? ทำไมเล่า หรือเจ้าไม่มั่นใจว่าจะคืนเงินได้ในหนึ่งชั่วยาม? แบบนี้ก็แสดงว่าเจ้าตั้งใจมาหลอกเอาเงินข้าอย่างนั้นน่ะสิ?”

หนิวโหย่วเต้ายิ้มเจื่อน “ข้ายอมเป็นตัวประกันอยู่ที่นี่ จะเป็นการหลอกเอาเงินได้อย่างไร?”

เฟิ่งรั่วหนานตวาดใส่ “หากมั่นใจว่าคืนเงินตามกำหนดได้ เจ้าจะกลัวไปไย? จะเดิมพันหรือไม่?” มือนางแตะด้ามกระบี่ที่เอว ท่าทางคล้ายจะชักกระบี่ออกมาด้วยความโมโห

หนิวโหย่วเต้าได้แต่ยิ้มกระอักกระอ่วนพร้อมเอ่ยว่า “ได้ๆๆ เอาตามที่ท่านแม่ทัพว่า ข้าเดิมพัน!”

เฟิ่งรั่วหนานจ้องไปทางหยวนกัง “นี่ ไอ้ยักษ์ เจ้าตกลงหรือไม่?”

หยวนกังพยักหน้า เฟิ่งรั่วหนานโบกมือสั่งการทันที “เอาเงินหมื่นเหรียญทองมา!”

จากนั้นไม่นานก็มีคนกลุ่มหนึ่งแบกหีบไม้หนักอึ้งใบหนึ่งเข้ามา เมื่อเปิดฝาหีบออก เหรียญทองเหลืองอร่ามกองพะเนินก็เผยออกมา หีบเปล่าใบหนึ่งถูกวางเอาไว้ข้างๆ เหรียญทองถูกย้ายลงไปในหีบเปล่าต่อหน้าหนิวโหย่วเต้าและหยวนกัง อันที่จริงแล้วเป็นการนับเงินให้ดู

เมื่อทำการยืนยันแล้วว่าจำนวนเงินถูกต้อง เฟิ่งรั่วหนานก็โบกมือสั่งการอีกครั้ง “เอาเครื่องเขียนมา ร่างสัญญาเดิมพัน!”

มีคนนำอุปกรณ์เครื่องเขียนมาให้ทันที เมื่อร่างสัญญาเดิมพันเสร็จ ก็นำมาให้ทั้งสองฝ่ายประทับลายนิ้วมือ เฟิ่งรั่วหนาน หนิวโหย่วเต้าและหยวนกังต่างประทับลายนิ้วมือลงไป ทั้งสองฝ่ายเก็บไว้คนละฉบับ

ขั้นตอนการยืมเงินนับว่าเสร็จสิ้นแล้ว จากนั้นหยวนกังย่อตัวลง พ่นลมเสียงดัง “ฮึบ” แบกหีบที่เมื่อครู่ต้องใช้คนหลายคนถึงจะยกย้ายได้ขึ้นมาด้วยตัวคนเดียว แบกเทินไว้บนบ่าข้างหนึ่ง ความเคลื่อนไหวนี้ทำให้เฟิ่งรั่วหนานตาเป็นประกายอีกครั้ง ลอบชื่นชมอยู่ในใจว่ายอดชายชาตรี พละกำลังมหาศาล เหมาะเป็นขุนศึก!

“ท่านแม่ทัพ ข้าจะไปส่งเขาที่หน้าประตูหน่อย สั่งการอะไรเล็กน้อยแล้วจะกลับมา” หนิวโหย่วเต้าหันไปเอ่ยขออนุญาตเฟิ่งรั่วหนานประโยคหนึ่ง เพราะว่าตัวเองได้ตกลงอยู่เป็นตัวประกันไปแล้ว

เฟิ่งรั่วหนานโบกมืออนุญาตอย่างใจกว้าง ไม่ได้กลัวเลยว่าหนิวโหย่วเต้าจะหนีรอดไปจากถิ่นของตนได้

หลังจากสองสหายเดินห่างออกมาเล็กน้อย หนิวโหย่วเต้าเหลียวหน้ากลับไปมองแวบหนึ่ง บ่นพึมพำกับหยวนกังที่แบกหีบอยู่ข้างๆ ว่า “ผู้หญิงคนนี้ร้ายนัก โลภมากจริงๆ เป็นไปได้สูงว่าอยากหลอกต้มฉัน อยากรู้นักว่าอีกเดี๋ยวเธอจะร้องไห้ยังไง!”

หยวนกังเอ่ยว่า “เต้าเหยี่ย คุณหลอกเธอแบบนี้ ระวังเธอจะเกลียดคุณไปชั่วชีวิตนะ”

หนิวโหย่วเต้าหัวเราะพลางกล่าวว่า “ฉันกำลังช่วยเธออยู่ชัดๆ ไม่ใช่หรือไง? แต่จะว่าไปแล้วนะเจ้าลิง ขนาดตัวของผู้หญิงคนนี้ก็ดูเหมาะกับนายมากนะ!”

“สายตาคุณมีปัญหาแล้ว” หยวนกังมองอย่างดูแคลนเล็กน้อย ก่อนจะเปลี่ยนคำพูดอีกว่า “แต่ถ้าคุณทำให้เธอยอมตกลงได้ ผมก็ไม่ติดขัดอะไร!”

“เอ่อ…” หนิวโหย่วเต้ายิ้มแห้งๆ แล้วพูดว่า “ช่างเถอะ ม้าพยศตัวนี้ใช่ว่าใครหน้าไหนก็จะขี่มันได้ นายกับฉันไม่มีวาสนาได้เสพสุขหรอก เก็บไว้ให้คนที่มีวาสนาได้ไปเสพสุขเถอะ!”

บนแท่นบัญชาการ เฟิ่งรั่วหนานมองทั้งสองเดินห่างออกไป ก่อนจะสั่งการองครักษ์ซ้ายขวา “จับตามองไว้ ดูว่าพวกเขาจะเล่นลูกไม้อันใดกันแน่ อย่าให้พวกเขาหนีไปได้ หากถึงคราวจำเป็นให้ถ่ายทอดคำสั่งข้าสั่งปิดประตูเมืองทั้งสี่ทิศ! แล้วก็ไปเตรียมตัวไว้ให้พร้อม หากพวกเขาสามารถคืนเงินได้ตามกำหนดจริง ก็หาวิธีขัดขวางระหว่างทางซะ อย่าให้พวกเขากลับมาภายในเวลาที่กำหนดได้ เดิมพันครั้งนี้ข้าต้องชนะเท่านั้น เงินข้าก็จะเอา คนข้าก็จะเอา!”

องครักษ์หญิงข้างกายทั้งสี่คนมีนามว่า เหมย หลาน จู๋ จวี๋ เมื่อทั้งสี่ได้ฟังก็ยิ้มเล็กน้อย ทราบแล้วว่านางมีเจตนาไม่ดี จู๋และจวี๋พยักหน้ารับคำสั่ง จากไปเตรียมการทันที

………………………………………