จิ่วอูเบิกตากว้างฉับพลัน “ศิษย์น้องหญิงเล็ก เจ้าเป็นคนจัดวางค่ายกลบนยอดเขาหยกน้อยหรือ”
“ใช่ ข้าทำเอง!”
จิ่วจิ่วเลิกคิ้วอย่างภาคภูมิใจ แต่ก็รีบชี้แจงความจริงว่า “ศิษย์พี่ ท่านก็รู้ว่าข้าไม่สนใจเรื่องค่ายกล แต่เป็นฉางโซ่วที่คอยบอกข้าว่าจะวางอะไรไว้ที่ใด และเมื่อค่ายกลกำลังขึ้นเป็นรูปเป็นร่างแล้ว ข้าก็มีหน้าที่ระงับกระแสพลังที่พุ่งพล่าน
ทว่าในช่วงเวลานี้ข้าไม่จำเป็นต้องจัดวางค่ายกลอีกต่อไป แต่ข้าก็ไม่ควรรับผลประโยชน์จากเขามาโดยไม่ตอบแทนใดๆ ใช่หรือไม่ หลายวันนี้ข้าจึงไปช่วยเขาหลอมโอสถ…
ศิษย์พี่? ศิษย์พี่ห้า ท่านเป็นอันใดไป สีหน้าท่าทางของท่านดูแปลกประหลาดยิ่ง”
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้!”
จิ่วอูตระหนักได้ทันที เขาลุกขึ้นยืนและเดินไปมา “ค่ายกลห่วงโซ่พันธนาการนั้นไม่ได้ถูกสร้างขึ้นโดยผู้ที่ยังไม่ได้บรรลุเซียน จึงไม่แปลกใจเลยที่ใช้แต่ค่ายกลเขาวงกตและค่ายกลกับดักที่เรียบง่ายเท่านั้น!
ยอดเยี่ยม…ยอดเยี่ยมยิ่งนัก! ด้วยความคิดและสติปัญญาของเขาและด้วยความช่วยเหลือของเจ้า แม้คุณสมบัติของหลี่ฉางโซ่วผู้นี้จะไม่ได้อยู่ในระดับชั้นสุดยอด แต่ก็ยังนับได้ว่าอยู่สูงกว่าระดับกลาง แม้เขาจะอยู่ในขอบเขตคืนกลับอนัตตาเมื่อเข้าร่วมสำนักมาเป็นเวลาร้อยปีแล้ว แต่หากดูแลให้ดี เขาย่อมไม่มีปัญหาในการบรรลุสู่เซียน เขาสามารถพัฒนาสิ่งต่างๆ ด้วยตัวเองได้ด้วยความมานะพากเพียรของเขา!”
ทันใดนั้นจิ่วจิ่วที่อยู่ด้านข้างของเขาก็หาวออกมาและลุกยืนขึ้นเงียบๆ ก่อนจะก้มศีรษะโค้งคำนับในขณะที่แขนของนางห้อยอยู่ข้างๆ แล้วลอยร่างตรงไปที่ประตู
“ศิษย์พี่ ข้าขอกลับไปพักผ่อนก่อนนะ การหลอมโอสถทำให้ข้าเหนื่อยยิ่ง”
“เฮ้ เสี่ยวจิ่ว ม้วนตำราหยกทั้งสามที่ข้าเพิ่งมอบให้เจ้าเล่า!” จิ่วอูกล่าวอย่างรวดเร็ว “ข้าคิดว่าเจ้าควรคืนข้าจะดีกว่า ของเหล่านี้ล้วนเป็นสมบัติสืบทอดของพวกเราซึ่งไม่อาจส่งต่อให้ผู้ใดได้โดยง่าย”
“ก็แค่บันทึกประสบการณ์นิดหน่อยที่ท่านได้เรียนรู้เอง เหตุใดต้องตระหนี่เช่นนี้เล่า” จิ่วจิ่วกลอกตาแล้วเหวี่ยงขวดกระเบื้องกลับไปให้สองขวดก่อนจะกล่าวว่า “ข้าจะให้ยาพิษที่เสี่ยวโซ่วทำไว้นิดหน่อยเพื่อแลกเปลี่ยนบทเรียนเหล่านี้กับท่าน ควรเป็นเช่นนั้นใช่หรือไม่…นี่เป็นโอสถพิษที่สามารถทำร้ายได้แม้กระทั่งเซียนเสิ่น! มันเป็นผลงานจากการทำงานหนักของข้าเช่นกัน”
“นั่นไม่ใช่ประสบการณ์ธรรมดา…โอสถพิษหรือ”
จิ่วอูรับขวดกระเบื้องเคลือบแล้วขมวดคิ้วขณะมองดูมัน
จากนั้นจิ่วจิ่วก็ฉวยโอกาสตอนที่จิ่วอูมองดูมัน ลอยร่างออกไปจากที่พำนักของจิ่วอูก่อนจะกลับไปที่บ้านของนาง จากนั้นจึงเปิดค่ายกลขนาดใหญ่ภายนอกบ้านของนาง…
จิ่วอูหัวเราะไร้เสียง ไม่สำคัญว่าศิษย์น้องหญิงจิ่วจะส่งคืนหรือไม่ เพราะในท้ายที่สุดแล้ว หลี่ฉางโซ่วก็เป็นศิษย์ร่วมสำนักของพวกเขาเช่นกัน
จากนั้นเขาก็แผ่พลังเซียนออกมาจากร่างจนปกคลุมไปทั่วทั้งร่างของเขาก่อนจะวางขวดกระเบื้องให้อยู่ห่างออกไปจากเขาหลายสิบฉื่อ แล้วเปิดขวดกระเบื้องนั้นในอากาศจากระยะไกล จากนั้นก็มองเข้าไปข้างใน และพบว่าขวดกระเบื้องแต่ละขวดมีเม็ดโอสถสีแดงสามเม็ดซึ่งมีกลิ่นหอมอ่อนๆ โชยออกมา
“เป็นโอสถกร่อนกระดูกสลายใจ และโอสถเปลี่ยนวิญญาณหรือ คุณภาพไม่เลวถึงแม้จะเป็นยาพิษ แต่ก็เป็นโอสถเซียนแท้ๆ…ทั้งหมดนี้ได้รับการหลอมขึ้นมาด้วยพลังของเสี่ยวจิ่วหรือ หลี่ฉางโซ่วผู้นี้ไม่ธรรมดาเลย”
จิ่วอูอดไม่ได้ที่จะหัวเราะลั่น จากนั้นเขาก็เห็นบางอย่างบนขวดกระเบื้องเคลือบจึงนำมันเข้ามามองใกล้ๆ อย่างระมัดระวัง
บนนั้นมีตัวอักษรเขียนอยู่สองบรรทัด และเมื่อนำขวดกระเบื้องเคลือบทั้งสองนี้มาวางเคียงกันก็จะเชื่อมต่อเป็นประโยคได้พอดี
‘บนวิถีเซียนยากจะพบความสันโดษ ละวางกังวลเรื่องทางโลกดำรงตนมุ่งมั่นสุภาพชน’
นักพรตเต๋าร่างเตี้ยยกขวดขึ้นอ่านเสียงเบา ไม่นานนักก็เผยรอยยิ้มออกมา
“เจ้าหนูผู้นี้เป็นดั่งที่คาดไว้ ก่อนหน้านี้ตรวจพบข้าและซือซือจริงๆ ดังนั้นเขาจึงจงใจปลดปล่อยค่ายกล ส่วนความหมายของสองประโยคนี้ก็คือการอธิบายว่าความสัมพันธ์ของเขาและเสี่ยวจิ่วเป็นดั่งสุภาพชนที่ทำงานร่วมกันเท่านั้น ฉะนั้นอย่าได้กังวลไป…
ไม่สิ ไม่ถูกต้อง เขาจะรู้ได้อย่างไรว่าในที่สุดขวดกระเบื้องทั้งสองขวดนี้จะตกมาอยู่ในมือของข้าหรือซือซือ? เสี่ยวจิ่วย่อมไม่ใส่ใจกับถ้อยคำบนขวดนี้อย่างแน่นอน และต่อให้สังเกตเห็นมัน นางก็ยังไม่ใส่ใจแน่ เห็นได้ชัดว่ามันเป็นข้อความที่สื่อถึงเรา ยิ่งไปกว่านั้น มันอาจจะเขียนขึ้นโดยใช้พลังเวทเมื่อไม่นานมานี้ ยังคงมีร่องรอยของมันอยู่…
ความนัยที่เขาพยายามบอกคือ ให้ข้าแสร้งทำเหมือนว่าไม่รู้ถึงความผิดปกติต่างๆ ทั้งหมดเกี่ยวกับเขาและยอดเขาหยกน้อยด้วยใช่หรือไม่”
จากนั้นนักพรตเต๋าร่างเตี้ยก็เก็บขวดกระเบื้องไปก่อนจะเอามือไพล่หลังขณะเดินไปที่ด้านข้างโต๊ะแล้วลูบคางพลางครุ่นคิดอย่างลึกซึ้ง
จิ่วอูนึกถึงช่วงเวลาที่เขาค้นพบร่องรอยของหลี่ฉางโซ่วและโหย่วฉินเสวียนหย่าในดินแดนเทวะอุดรในขณะนั้นเขายังสะดุดกับการจัดเตรียมการหลายอย่างที่วางไว้ ซึ่งเขาพบโดยบังเอิญภายในรัศมีหนึ่งร้อยลี้…
จากนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้นและเหลือบมองไปยังกรงไม้ที่เขาแขวนอยู่ในบริเวณที่หนาวเย็นและมืดมิด
แมงมุมเวทชนิดนี้เลี้ยงยากอย่างยิ่ง แต่พวกมันกลับสามารถขยายพันธุ์เป็นรังต่อไปได้ที่ยอดเขาหยกน้อย…
ยิ่งกว่านั้นยังมีค่ายกลห่วงโซ่พันธนาการและโอสถพิษที่พบในช่วงหลายวันมานี้…
จิ่วอูถอนหายใจและกล่าวว่า “ช่างเป็นเด็กที่เก่งกาจยิ่ง…
ก่อนจะไปที่ดินแดนเทวะอุดรเจ้ายังคงไม่เป็นที่สังเกตและลึกลับ มีเพียงไม่กี่คนที่รู้จักเจ้า และเจ้าก็ยังไม่ติดอันดับในการจัดอันดับศิษย์รุ่นเยาว์
เจ้าไม่ประสงค์ให้ผู้ใดสังเกตเห็นเจ้า ปรารถนาจะซ่อนตัวในสถานที่เงียบๆ เพื่อฝึกฝน และข้าคนนี้ก็ไม่อยากรบกวนเจ้า ทว่าในฐานะผู้ดูแลคนหนึ่งของสำนักตู้เซียน ข้าย่อมไม่อาจละสายตาจากเจ้าได้…
เหอะ ความสันโดษ ดำรงตนมุ่งมั่นสุภาพชน…เช่นนั้นก็พบกันในยามจื่อ[1]ดีหรือไม่”
จากนั้นรอยยิ้มของจิ่วอูก็ค่อยๆ เลือนหายไปจากใบหน้าของเขา
……
ครั้นเมื่อถึงยามจื่อ จิ่วอูก็เคลื่อนเมฆาขาวตรงไปที่ยอดเขาหยกน้อย
ในเวลานี้ค่ายกลโดยรอบหอโอสถได้ถูกปิดใช้งานไปแล้ว ในขณะที่ร่างสูงโปร่งกำลังยืนอยู่หน้าประตูหอโอสถและประสานมือโค้งคารวะให้จิ่วอู
จิ่วอูพลันแย้มยิ้มจนตาหยี แล้วร่อนลงมาจากท้องฟ้า จากด้านนอกหอโอสถเขาก็ได้กลิ่นสุราที่กลมกล่อมและเข้มข้นแล้ว
หลี่ฉางโซ่วประสานมือโค้งคารวะให้เขาและกล่าวว่า “ศิษย์ขอน้อมคารวะอาจารย์ลุงขอรับ”
“ใช้คำได้ดี ‘ดำรงตนมุ่งมั่นสุภาพชน’ และ ‘ความสันโดษ’ ทำให้ต้องมาพบเจ้า” จิ่วอูกล่าวขณะที่แย้มยิ้มและส่ายศีรษะ เขาถอนหายใจเบาๆ แล้วกล่าวว่า “เจ้าไม่กลัวว่าข้าจะไม่มาหรือ แล้วหากลากเจ้าไปที่หอลงทัณฑ์เพื่อทำการสอบสวนเล่า?”
“ขอรับ” หลี่ฉางโซ่วกล่าวขณะที่ยังประสานมือโค้งคำนับพลางเอ่ยต่อว่า “อันที่จริงศิษย์ก็ไม่แน่ใจเช่นกันขอรับ นอกจากนี้ศิษย์ก็รู้สึกกังวลในเรื่องนี้นับตั้งแต่ที่ได้พบท่านอาจารย์ลุงในดินแดนเทวะอุดร แต่ก็รู้ว่าอาจารย์ลุงเป็นผู้ทรงเกียรติและคุณธรรม ดังนั้นท่านย่อมไม่ประสงค์ให้ชีวิตของศิษย์รุ่นเยาว์ผู้หนึ่งต้องลำบากในสำนักของท่านอย่างแน่นอน…
ยิ่งไปกว่านั้นศิษย์ก็ไม่ปรารถนาจะดึงดูดความสนใจเท่าใดนัก ศิษย์ภักดีต่อสำนักตู้เซียนและรู้หน้าที่ในฐานะศิษย์ของสำนัก ศิษย์ประพฤติตนด้วยคุณธรรมตามมโนธรรม และไม่กลัวการถูกสอบสวนเช่นกันขอรับ
เชิญท่านอาจารย์ลุงด้านในเถิด ศิษย์รู้ว่าท่านอาจารย์ลุงเป็นผู้เชี่ยวชาญในการบ่มสุรา ศิษย์จึงขอให้ศิษย์น้องหญิงของข้าช่วยเตรียมอาหารหลายจานพร้อมสุรา และขอบังอาจเชิญท่านลิ้มรสสุราที่ศิษย์บ่มเอาไว้ดีหรือไม่ขอรับ…
หากท่านอาจารย์ลุงกังขาในเรื่องใด โปรดถามได้ในราตรีนี้ ศิษย์จะพิจารณาอย่างรอบคอบและตอบท่านตามความจริง หวังเพียงให้คลายความกังวลในใจของท่านเพื่อให้ศิษย์สามารถฝึกฝนอย่างสงบสุขได้เฉกเช่นเดิมขอรับ”
จิ่วอูยิ้มและพยักหน้าพลางเอามือไพล่หลังก้าวเข้าไปในหอโอสถทันที
ท่ามกลางแสงจันทร์บริสุทธิ์ที่สาดส่องผ่านหน้าต่าง บนโต๊ะเตี้ยเต็มไปด้วยอาหารเลิศรสพร้อมถ้วยเรืองแสงที่เต็มไปด้วยสุราชั้นเยี่ยม
อันที่จริงนั่นคือ ‘สุราแห่งแม่น้ำฮวงโห’ ที่บ่มเอาไว้สำหรับจิ่วจิ่ว ซึ่งถูกหลี่ฉางโซ่วเปิดไปก่อนล่วงหน้า
…………………………………………………………………………………………………………………
[1] ยามจื่อ ช่วงเวลาราว 23.00-24.59 น.