ตอนที่ 29.1 แผนการที่สองเพื่อ ‘ช่วยให้ท่านอาจารย์ข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์’ (1)

ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว

ภายใต้จันทราที่ลอยอยู่เหนือภูเขาทางทิศตะวันตก ในเวลานี้มีถ้วยโถและจานชามมากมายล้วนวางกลาดเกลื่อนเละเทะอยู่บนโต๊ะ

หลี่ฉางโซ่วยืนอยู่หน้าหอโอสถและกำลังมองไปยังทิศทางที่จิ่วอูจากไปในขณะที่รอยยิ้มค่อยๆ เลือนหายไปจากใบหน้าของเขา

อาจกล่าวได้ว่า ในขณะนี้เขาสามารถควบคุมอาจารย์ลุงผู้นี้ได้แล้ว

นับจากวันนั้นที่จิ่วอูมองเขาอย่างมีความหมายในดินแดนเทวะอุดร หลี่ฉางโซ่วก็รู้ว่านักพรตเต๋าร่างเตี้ยผู้ละเอียดรอบคอบคนนี้มี ‘ความอยากรู้’ เกี่ยวกับเขาอยู่แล้ว

ยิ่งไปกว่านั้น ในช่วงเวลานี้ เขายังมาสนิทสนมกับอาจารย์อาจิ่วจิ่วมาก และขอให้อาจารย์อาจิ่วจิ่วช่วยทำสิ่งต่างๆ มากมาย ซึ่งเรื่องนี้ย่อมทำให้ อาจารย์ลุงจิ่วอู ‘สนใจ’ เขามากขึ้นอย่างแน่นอน

ความอยากรู้และความสนใจย่อมสามารถพัฒนาไปสู่ความสงสัยได้โดยง่าย ซึ่งจะเป็นภัยคุกคามต่อตัวเขาเอง

แล้วจะกำจัดภัยคุกคามของจิ่วอูได้อย่างไรเล่า หากคิดง่ายๆ ก็เพียงสังหารเขาเสีย แค่กๆ ล้อเล่นน่า เขาไม่มีความบาดหมางใดกับอาจารย์ลุงจิ่วอู และอาจารย์ลุงจิ่วอูเองก็ทรงพลังยิ่ง ทั้งยังเป็นผู้ดูแลที่มีชื่อเสียงในสำนัก ผู้ใดก็ตามที่บังเอิญอาจหาญไปมีเรื่องกับหนึ่งใน ‘จิ่วเซียน’ ย่อมจะทำให้เกิดเรื่องสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นครั้งใหญ่ภายในสำนัก การคิดกำจัดจิ่วอูจึงเป็นเพียงการรนหาที่ตายเท่านั้น ดังนั้น วิธีที่ปลอดภัยและน่าเชื่อถือที่สุดก็คือเชิญอาจารย์ลุงผู้นี้มาเปิดอกพูดคุยกัน

หลี่ฉางโซ่วต้องให้สัตย์สาบานและสัญญาต่อหน้าอาจารย์ลุงจิ่วอูว่าจะไม่ทำอันใดที่เป็นอันตรายต่อสำนัก

และต้องเปิดเผยฐานพลังที่ปกปิดเอาไว้ออกมาบ้างเพื่อให้อาจารย์ลุงจิ่วอูรู้สึกว่าเขารู้จักศิษย์หลานของเขาเป็นอย่างดีแล้ว

ด้วยวิธีนี้ ไม่เพียงแต่จะช่วยให้อาจารย์จิ่วอูไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับตัวเขามากเกินไปเท่านั้น แต่ยังช่วยให้อาจารย์จิ่วอูโปรดปรานเขามากขึ้นอีกด้วย

การกระทำของหลี่ฉางโซ่วในคราวนี้ ถือได้ว่าเป็นการโจมตีเชิงรุกที่ช่วยเปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาสในอนาคตได้

หลี่ฉางโซ่วนึกถึงรายละเอียดในการสนทนาระหว่างเขากับจิ่วอู แล้วทุกอย่างก็ดูประหนึ่งภาพเคลื่อนไหวช้าๆ ที่ปรากฏขึ้นมาในความคิดของเขาซึ่งทำให้เขาได้ทำการทบทวนผลงานของตัวเองทีละภาพ

หลี่ฉางโซ่วได้สรุปผ่านไปตามหัวข้อการสนทนาของพวกเขาทั้งสอง ทั้งจังหวะและทิศทางในการสนทนา และแม้กระทั่งการเปลี่ยนแปลงของสีหน้าท่าทางของเขาครั้งแล้วครั้งเล่า

เขาทบทวนการสนทนาทั้งหมดและยืนยันกับตัวเองอีกครั้งว่าเขาไม่ได้เปิดเผยข้อมูลใดมากไปกว่าที่เขาตั้งใจเอาไว้ซึ่งจะป้องกันไม่ให้ท่านอาจารย์ลุงมาเกี่ยวข้องวุ่นวายอีกต่อไป

สิ่งที่ข้าพูดออกไปจะทำให้เขาเกิดความเข้าใจผิดอื่นใดได้หรือไม่

หลี่ฉางโซ่วยังคงกังวลใจ เขายังคงนึกถึงบทสนทนาอีกครั้งและตั้งใจฟังทุกถ้อยคำและทุกประโยคของเขาทุกคำ

จากนั้นเขาก็แตะแก้มของเขาในขณะที่นึกถึงทุกสีหน้าท่าทางที่ผ่านมาของเขา รวมถึงสายตาจับจ้องและเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลาของอาจารย์ลุงจิ่วอู…

แล้วหลี่ฉางโซ่วก็คิดว่าไม่น่าจะมีข้อผิดพลาดใดๆ

หลังจากนั้นก็มีร่างบอบบางในชุดสีชมพูอ่อนปรากฏขึ้นที่ปลายสายตาของเขา หลี่ฉางโซ่วจึงหันไปมองเต็มตาและเห็นหลันหลิงเอ๋อร์อยู่บนเมฆาขาวที่กำลังลอยอยู่บนท้องฟ้า

เส้นผมของนางปลิวไสวไปตามสายลมในขณะที่บุปผาบนชุดกระโปรงสีชมพูอ่อนของนางเปล่งประกายแสงออกมา

นางกำลังหิ้วตะกร้าหวายเปล่าและกระโดดลงมาอยู่ตรงหน้าหลี่ฉางโซ่ว ใบหน้าของนางสว่างไสว ในขณะที่นางแต่งหน้าบางเบา และภายใต้แสงเทียนนั้น นางก็ดูบอบบางและงดงามเกินกว่าจะพรรณนาได้

“ศิษย์พี่! เป็นอย่างไรบ้าง ท่านจัดการปัญหากับท่านอาจารย์ลุงผู้นั้นได้แล้วใช่หรือไม่เจ้าคะ”

“จะว่าอย่างนั้นก็ได้” หลี่ฉางโซ่วตอบกลับด้วยรอยยิ้ม “อันที่จริง นี่เป็นเพียงผลสืบเนื่องเล็กน้อยจากการเดินทางไปดินแดนเทวะอุดรครั้งที่แล้วของข้า หากข้าไม่ออกไปทำอันใดภายนอกอีกหลังจากนี้ ข้าก็คงไม่ได้รับความสนใจจากผู้อาวุโสที่มีทักษะสูงเช่นเขา”

หลันหลิงเอ๋อร์กะพริบตาปริบๆ แล้วกล่าวว่า “ศิษย์พี่ ท่านทำได้อย่างไรกัน ท่านเปิดเผยขอบเขตพลังของท่านกับท่านอาจารย์ลุงจิ่วอูหรือไม่เจ้าคะ”

หลี่ฉางโซ่วจ้องมองศิษย์น้องหญิงของเขาแล้วอดจะส่งข้อความเสียงไปให้นางไม่ได้ว่า

“ข้าเปิดเผยส่วนหนึ่ง ไม่เช่นนั้นข้าคงไม่อาจโน้มน้าวเขาได้ ข้าบอกเจ้าไปหลายครั้งแล้วไม่ใช่หรือว่าอย่าพูดเรื่องเหล่านี้ออกมาดังๆ! กำแพงมีหูประตูมีช่อง และพลังสัมผัสเซียนรับรู้ก็อยู่ในสายลม เจ้าต้องจดจำสิ่งที่ข้าสั่งสอนเจ้าทั้งหมดในช่วงสิบปีที่ผ่านมา เท่าที่รู้ เวลานี้อาจมีผู้รู้กำลังฟังการสนทนาของเราอยู่”

“โอ้” หลันหลิงเอ๋อร์ร้องออกมาพลางมุ่ยปากทำหน้าเบะ จากนั้นก็กล่าวอย่างเสียใจกว่า “ข้าไม่ได้ตั้งใจ ข้าแค่เป็นห่วงท่าน เช่นนั้น ข้าจะเก็บจานไปล้างเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ”

จากนั้นนางก็ก้มศีรษะและก้าวเดินไปข้างหน้าสองก้าว แล้วจู่ๆ นางก็หันศีรษะและโน้มกายไปข้างหน้าก่อนจะวางมือเรียวลงบนไหล่ศิษย์พี่ของนางแล้วกระซิบถามด้วยเสียงต่ำที่ข้างหูของหลี่ฉางโซ่วว่า “ศิษย์พี่ แล้วเวลานี้ ท่านครองขอบเขตพลังในระดับใดแล้วหรือเจ้าคะ ตามทันท่านอาจารย์หรือไม่ ท่านกำลังจะกลายเป็นเซียนแล้วหรือไม่เจ้าคะ”

“เจ้าเดาเอาเองสิ”

หลี่ฉางโซ่วเหลือบมองนางพลางเริ่มส่งเสียงร้องเพลงเบาๆ แล้วเดินเอามือไพล่หลังออกไปจากหอโอสถ

ทันใดนั้นหลันหลิงเอ๋อร์ก็ทำหน้าบูดบึ้งไปที่ด้านหลังของหลี่ฉางโซ่วก่อนจะรีบไปเก็บจานชามเปล่าและตะเกียบบนโต๊ะ

และในเวลาเดียวกันนั้น บนก้อนเมฆสีขาวที่กำลังบินกลับสู่ยอดเขาพิชิตสวรรค์…

“สุรานี้แรงดีทีเดียว สมควรแล้วที่เป็นสุราแห่งแม่น้ำฮวงโห มันแรงจนข้ามึนหัวเลย…”

บัดนี้ใบหน้าของจิ่วอูแดงก่ำ เขารู้สึกมึนเมาจนร่างโซเซไปมา แต่ดวงตาของเขาก็ยังคงกระจ่างชัดเจน

นั่นเป็นเพราะเขาใช้ทักษะเวทเพื่อไม่ให้ปราณวิญญาณของเขาเมา

และเมื่อเข้าใกล้ยอดเขาพิชิตสวรรค์ จิ่วอูก็หัวเราะเบาๆ ในขณะที่มีความเศร้าอยู่เต็มหัวใจ

ศิษย์หลานฉางโซ่วผู้นี้ครองฐานพลังอยู่ในขอบเขตคืนกลับอนัตตาขั้นห้าแล้ว! เขาเป็นหนึ่งในศิษย์ไม่กี่คนในรุ่นของเขา! และเขาสามารถบรรลุถึงขอบเขตนี้ได้ในเวลาเพียงหนึ่งร้อยปีเท่านั้น เขามีศักยภาพชั้นเยี่ยมอย่างแน่นอน! และแม้แต่ความเข้าใจของเขาก็ยังน่าทึ่งไม่แพ้กัน

เมื่อข้าให้การประเมินค่ายกลเต๋าของเขาก่อนหน้านี้ เขาก็เข้าใจหลายสิ่งที่ข้าพูดได้ทันทีโดยไม่จำเป็นต้องอธิบาย และที่หาได้ยากที่สุดก็คือตัวตนที่ยอดเยี่ยมของเขา ซึ่งเมื่อเทียบกับหยวนชิงแล้วก็แตกต่างกันดั่งเมฆและโคลน

จิ่วอูก้มศีรษะและถอนหายใจยาว จากนั้นก็กล่าวเสียงต่ำว่า “แม้เขาจะไม่พูด แต่ข้าจะไม่เข้าใจเหตุผลที่เขาปกปิดขอบเขตพลังของเขาเองได้อย่างไรกัน เมื่อดื่มสุรา ก็เห็นได้ชัดว่าเขาฝืนตัวเองอยู่หลายครั้ง ความจริงแล้ว สีหน้าท่าทางของเขาได้เผยให้เห็นถึงความอับจนหนทางที่เขาพยายามซ่อนเอาไว้ในใจของเขาแล้ว…ศิษย์หลานฉางโซ่วกำลังซ่อนฐานพลังของเขาเพราะไม่ต้องการดึงดูดให้เกิดความวุ่นวายเพื่อหลีกเลี่ยงการสร้างปัญหาให้กับยอดเขาหยกน้อยซึ่งมีคนเพียงไม่กี่คนมาตั้งแต่แรก แม้มันจะทำให้เขาไม่ได้รับความสนใจและการดูแลจากสำนักอย่างเหมาะสม แต่เขาก็เลือกที่จะป้องกันปัญหาไม่ให้เกิดขึ้นกับศิษย์น้องฉีหยวนและศิษย์คนอื่นๆ ของเขา”

ช่างเป็นศิษย์ที่ดี ศิษย์ที่ดีจริงๆ

“หากไม่สามารถทนต่อความทุกข์ยากบนสวรรค์ได้ ข้าจะขอให้ศิษย์พี่หญิงใหญ่หรือศิษย์พี่รองพาศิษย์หลานฉางโซ่ว และศิษย์น้องหญิงของเขาไปที่ยอดเขาพิชิตสวรรค์”

ในขณะที่เขาหมกมุ่นอยู่กับความเศร้าใจนี้ เขาก็เห็นยอดเขาพิชิตสวรรค์อยู่ในสายตาแล้ว

จิ่วอูเหลือบมองไปยังที่พำนักของศิษย์น้องหญิงน้อยของเขาและพบว่านางเปิดค่ายกลป้องกันแล้ว และเวลานี้นางน่าจะพักผ่อนอยู่

“ข้าจะฝากตำราโบราณบางอย่างให้ศิษย์น้องหญิงนำไปมอบให้ศิษย์หลานฉางโซ่วในภายหลัง…อืม แล้วข้าน่าหาเวลาวันหนึ่งเพื่อไปพูดคุยกับผู้อาวุโสฉวนกงสักหน่อย ต้นกล้าอมตะชั้นยอดเยี่ยงนี้ย่อมไม่น่าจะเป็นปัญหาที่จะเริ่มต้นฝึกบำเพ็ญพระสูตรนิรกรรมก่อนที่เขาจะทะยานขึ้นสู่เซียน ยอดเขาหยกน้อย…ศิษย์น้องฉีหยวนมีศิษย์ที่ดี ข้าอดจะชื่นชมเขาไม่ได้จริงๆ”

จิ่วอูส่ายศีรษะพลางถอนหายใจแล้วกลับไปยังที่พำนักของเขาเอง จากนั้นเขาก็เปิดใช้งานค่ายกลโดยรอบก่อนจะลอยร่างไปที่เตียงของเขาซึ่งยังมีกลิ่นหอมกรุ่นจากร่างของจิ่วซือหลงเหลืออยู่และลงนั่งขัดสมาธิ เริ่มทำสมาธิเข้าฌานที่นั่น

……