ตอนที่ 29.2 แผนการที่สองเพื่อ ‘ช่วยให้ท่านอาจารย์ข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์’ (2)

ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว

สองวันผ่านไปหลังจากที่หลี่ฉางโซ่วได้พูดคุยกับจิ่วอูในยามราตรี

ในที่สุดหลี่ฉางโซ่วก็มั่นใจได้ว่าอาจารย์ลุงผู้นี้จะไม่ทำอันใดกับเขาอีก

ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เขารู้สึกรื่นรมย์ใจยิ่งเมื่อในที่สุดความสงบสุขก็กลับคืนมาสู่ชีวิตของเขาในฐานะผู้บำเพ็ญ และสิ่งต่างๆ ก็จะเป็นเฉกเช่นเดิมเหมือนในช่วงหนึ่งร้อยปีที่ผ่านมา

ความจริงแล้ว ทั้งหมดนี้ล้วนเกิดขึ้นเพียงเพราะหญ้าสลายเซียนเท่านั้น

เวลานี้ การหลอมโอสถสลายเซียนเสร็จสมบูรณ์แล้ว ในขณะที่ความวุ่นวายก็สงบลง และหลี่ฉางโซ่วก็พอใจกับทั้งกระบวนการและผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น

ในยามบ่าย หลี่ฉางโซ่วไปที่หอโอสถและห่อเม็ดโอสถสลายเซียนเอาไว้ในชั้นบางๆ ของลูกอม

และเมื่อถึงเวลานี้ หลี่ฉางโซ่วก็กล่าวได้ว่าเขาเตรียมการที่จำเป็นสำหรับแผนการแรกเสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว

จากนั้น หลี่ฉางโซ่วก็มองไปที่เม็ดโอสถสลายเซียนอีกสิบเอ็ดเม็ดที่เขาหลอมขึ้นมา ก่อนจะแบ่งมันออกเป็นสามส่วน แล้วเก็บมันเอาไว้อย่างระมัดระวัง

น้อยคนนักที่จะหลอมโอสถเยี่ยงนี้ แต่พวกมันถือเป็นสมบัติล้ำค่าสำหรับผู้ที่สิ้นหวังจะบรรลุสู่เซียน ที่ต้องการหลีกหนีจากทัณฑ์สวรรค์และได้รับอายุขัยยืนยาว ทั้งนี้หากมีโอกาส หลี่ฉางโซ่วก็จะไปที่ตลาดคึกคักในเมืองและขายของเหล่านี้ออกไปบางส่วนเพื่อแลกเปลี่ยนเป็นวัสดุล้ำค่าอื่นๆ และใช้มันสร้างรากฐานค่ายกล

และแน่นอนว่า เขาต้องเก็บสำรองเอาไว้สองเม็ด

หลี่ฉางโซ่วรู้ว่าในยามนี้เขาพอมีโอกาสที่จะสามารถข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์ได้สำเร็จสักแปดในสิบส่วน และโอกาสแห่งความสำเร็จนี้ย่อมจะเพิ่มขึ้นได้เรื่อยๆ เมื่อเขาพากเพียรฝึกฝนต่อไป

และในขณะนี้ เขาก็รู้ด้วยว่าศิษย์น้องหญิงของเขาจะก้าวขึ้นสู่เซียนได้อย่างรวดเร็ว และโอกาสแห่งความสำเร็จของนางในการข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์ย่อมจะมีมากกว่าหกในสิบส่วนเช่นกัน

ทว่า…สิ่งใดๆ ในโลกนี้ล้วนไม่อาจคาดเดาได้ และไม่มีผู้ใดจะสามารถบอกได้อย่างมั่นใจว่าจะเกิดอันใดขึ้นต่อไปในภายภาคหน้าจริงๆ

ดังนั้น หากเขาเก็บโอสถสลายเซียนเพิ่มอีกหนึ่งเม็ดเอาไว้ในมือ อย่างน้อยที่สุด เขาก็จะมั่นใจได้ว่า จะสามารถรอดพ้นเมื่อเผชิญกับทัณฑ์สวรรค์ในอนาคต

ในฐานะที่เป็นศิษย์พี่ หลี่ฉางโซ่วก็จะเก็บโอสถเอาไว้เป็นพิเศษอีกหนึ่งเม็ดสำหรับศิษย์น้องหญิงของเขา ซึ่งจะช่วยให้นางสามารถใช้แผนเดียวกับท่านอาจารย์ของพวกเขาได้เช่นกัน

และในฐานะศิษย์พี่ นี่คือสิ่งที่หลี่ฉางโซ่วจะสามารถทำได้มากที่สุดเพื่อพวกเขาเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม เมื่อมองไปที่โอสถสลายเซียนนี้ หลี่ฉางโซ่วก็ครุ่นคิดลึกซึ้งอีกครั้ง

จะเกิดอันใดขึ้น หากอาจารย์ไม่อาจข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์ตั้งแต่สายฟ้าฟาดครั้งแรกและกลายเป็นเถ้าถ่าน เช่นนั้นแล้วจะทำอย่างไร ดังนั้นแม้การเตรียมการสำหรับแผนแรกจะเสร็จสิ้นแล้ว ข้าก็ควรเริ่มต้นแผนสองและสามไปพร้อมๆ กันด้วย แต่ย่อมเป็นการดีที่สุด หากอาจารย์มีจิตอริยะบรรลุสู่เซียนได้ทันทีและสามารถรอดพ้นจากทัณฑ์สวรรค์ไปได้อย่างราบรื่นแล้วกลายเป็นเซียนธรรมดาได้ด้วยตัวเอง

หลี่ฉางโซ่วถอนหายใจและลุกขึ้นยืนพร้อมกับเก็บโอสถสลายเซียนที่ห่อด้วยลูกอมเอาไว้ในแขนเสื้อของเขา แล้วค่อยๆ เดินออกจากหอโอสถไป

ครึ่งชั่วยามหลังจากนั้น…

เวลานี้ หลี่ฉางโซ่วยืนอยู่หน้าสถานที่ที่อาจารย์ของเขากำลังปิดด่านฝึกบำเพ็ญ เขากระแอมไอในลำคอ ก่อนจะทำการคารวะเต๋าไปที่ประตู แล้วร้องตะโกนว่า “ท่านอาจารย์! ศิษย์อยากจะถามคำถามสักสองสามข้อเกี่ยวกับการฝึกฝนขอรับ! ศิษย์ต้องขออภัยท่านอย่างสุดซึ้งที่มารบกวนในขณะที่ท่านอาจารย์กำลังฝึกบำเพ็ญอยู่ขอรับ!”

และไม่นานหลังจากนั้น ประตูไม้ก็ถูกเปิดออกอย่างรวดเร็ว และนักพรตเต๋าชราฉีหยวนก็เดินออกมาพร้อมด้วยรอยยิ้มพลางโบกมือให้หลี่ฉางโซ่ว

“มาเถอะ ไปที่ทะเลสาบกัน อาจารย์ก็ละเลยการสั่งสอนเจ้าในช่วงสองสามปีที่ผ่านมานี้เช่นกัน”

หลี่ฉางโซ่วพลันถอนหายใจเบาๆ ในใจ

ท่านอาจารย์เปิดประตูออกมาอย่างรวดเร็วเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่า ในเวลานี้เขาไม่ได้ทำสมาธิเข้าฌาน ยามนี้เขาเข้าฌานยากหรือไม่ ดูเหมือนว่า เขากำลังใกล้จะเผชิญกับทัณฑ์สวรรค์แล้ว

เมื่อทั้งอาจารย์และศิษย์มาถึงใต้ต้นหลิวที่ริมทะเลสาบ ฉีหยวนก็หยิบเบาะรองนั่งสมาธิออกมาสองใบแล้วนั่งตรงข้ามหลี่ฉางโซ่ว

จากนั้นฉีหยวนก็กล่าวด้วยน้ำเสียงอบอุ่นว่า “เจ้าถามข้ามาเถิด”

หลังจากนั้น ดวงตาของฉีหยวนก็มืดมนลงพร้อมกับถอนหายใจ แล้วกล่าวว่า “หากข้าไม่อาจข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์ได้ เกรงว่าข้าอาจไม่มีโอกาสได้สั่งสอนเจ้าอีกในภายภาคหน้า”

“ท่านอาจารย์กล่าวอันใดกัน” หลี่ฉางโซ่วแย้มยิ้มพลางกล่าวว่า “ท่านจะรอดพ้นจากทัณฑ์สวรรค์นี้ได้อย่างแน่นอนขอรับ…ท่านอาจารย์ ท่านเคยพูดมาก่อนไม่ใช่หรือขอรับว่า หากเราไม่มีความมั่นใจ แล้วเราจะเผชิญกับอุปสรรค ความยากลำบากและการฝึกบำเพ็ญที่เต๋าอันยิ่งใหญ่มอบให้เราได้อย่างไร”

“หน็อยแน่ เจ้าหลี่ฉางโซ่วผู้รักตัวกลัวตายมุ่งหมายชีวิตยืนยาว บังอาจหันกลับมาสั่งสอนอาจารย์ของเจ้า!” อาจารย์เฒ่าฉีหยวนตะโกนใส่หลี่ฉางโซ่วด้วยใบหน้าบึ้งตึงและท่าทีจริงจัง

ทว่าหลี่ฉางโซ่วกลับยิ้มเผล่แล้วรีบตัดเรื่องนั้นไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นจึงเริ่มถามคำถามเกี่ยวกับการฝึกบำเพ็ญที่เขาพบเอง

คำถามสามข้อแรกที่หลี่ฉางโซ่วถามนั้นค่อนข้างธรรมดาและล้วนเป็นความยากลำบากที่ผู้บำเพ็ญส่วนใหญ่ในขอบเขตคืนกลับอนัตตาได้เผชิญซึ่งฉีหยวนก็ชี้แนะให้อย่างละเอียด

ส่วนคำถามที่สี่นั้น หลี่ฉางโซ่วได้ถามว่า “ ‘วิญญาณกลับคืนสู่วิญญาณของมัน ลมปราณกลับคืนสู่ลมปราณของมัน ให้เบญจธาตุขับเคลื่อนเป็นหนึ่งโจวเทียนก็จะสำเร็จ’ หมายถึงอันใดหรือขอรับ”

เมื่อถูกถามเช่นนั้น นักพรตเต๋าชราฉีหยวนพลันชะงักงันไปครู่หนึ่งก่อนจะเดินตรงไปที่ทะเลสาบพร้อมกับใคร่ครวญลึกซึ้ง

“ไม่ต้องคิดอะไรมาก ปล่อยใจให้ว่างและผ่อนลมหายใจให้สงบนิ่ง ให้ธาตุทั้งห้า ทอง ไม้ น้ำ ไฟ ดิน ขับเคลื่อนในตัว พอทำได้หนึ่งรอบของการฝึกที่สมบูรณ์ก็จะสำเร็จ”

อย่างไรก็ตาม หลี่ฉางโซ่วยังไม่หยุด และถามคำถามต่อไปอีกสามข้อ ซึ่งเห็นได้ชัดว่าเป็นคำถามที่อยู่ ‘เหนือระดับ’ และในขณะนั้น ฉีหยวนก็ไม่รู้ว่าจะตอบคำถามทั้งหมดนั้นอย่างไร

หลี่ฉางโซ่วมิได้มีเจตนาจะทำให้อาจารย์ของเขาต้องอับอาย แต่เพียงต้องการจะเตือนอาจารย์ของเขาอย่างแนบเนียนว่าหากว่า หากอาจารย์พบกับปัญหาตีบตันในวิถีแห่งการฝึกฝน เขายังสามารถมองหาหนทางที่เขาสามารถเข้าถึงได้เพื่อก้าวไปข้างหน้าจากมุมมองเหล่านี้ได้

ในเวลานี้ ฉีหยวนตระหนักดีว่าความหวังที่เขาจะข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์ไปได้นั้นมีเพียงน้อยนิด เขาจึงปรารถนาจะสั่งสอนศิษย์ของเขาอย่างเต็มที่ให้ดีที่สุด และกำลังพิจารณาทำความเข้าใจในปัญหาเหล่านี้อย่างลึกซึ้งด้วยเกรงว่าจะเข้าใจผิดและชี้แนะศิษย์ผิดพลาดไป

จากนั้นฉีหยวนจึงค่อยๆ ครุ่นคิดไปอย่างช้าๆ

และไม่นานหลังจากนั้น ฉีหยวนก็หลับตาลงและเพ่งสมาธิเพื่อหยั่งรู้ถึงมัน

ต่อมาก็มีกลีบบุปผาปรากฏขึ้นและล่องลอยอยู่รอบกายของนักพรตชราฉีหยวน และนี่เป็นภาพปรากฏการณ์ธรรมดาที่มักปรากฏขึ้นเมื่อผู้บำเพ็ญกำลังเข้าใกล้การรับทัณฑ์สวรรค์

อย่างไรก็ตาม กลีบบุปผารอบกายฉีหยวนนั้นดูเลือนรางมาก โครงร่างของกลีบก็ดูยังไม่สมบูรณ์และเงาของมันก็ดูพร่ามัว…

จากนั้นหลี่ฉางโซ่วจึงวางม่านพลังกั้นเสียงที่เรียบง่ายเอาไว้รอบกายของอาจารย์ของเขาอย่างระมัดระวังก่อนจะหันหลังและมุ่งหน้ากลับไปที่กระท่อมมุงจากของเขาเพื่อทำธุระให้ตัวเอง

นี่คือส่วนหลักของแผนการที่สองซึ่งเขาจำเป็นต้องพยายามอย่างเต็มที่เพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งของอาจารย์ของเขาให้มากที่สุด และพัฒนาการรับรู้และความเข้าใจในเต๋าอันยิ่งใหญ่ของอาจารย์ของเขา

เฮ้อ มันคงจะดียิ่ง หากเพียงข้าสามารถมอบจิตอริยะส่วนหนึ่งในทุกๆ ครั้งที่เกิดขึ้นกับข้าให้กับท่านอาจารย์ได้บ้าง

หลี่ฉางโซ่วถอนหายใจในใจ จากนั้นจึงเตรียมส่วนเสริมของแผนการที่สองนี้ต่อไป

และส่วนเสริมของแผนที่สองนั้นยอดเยี่ยมอย่างยิ่ง

จากนั้นหลี่ฉางโซ่วก็หยิบถุงเก็บสมบัติที่ระบุว่า ‘เสวียนลำดับที่สามสิบสอง’ ออกมาจากด้านใน แล้วหยิบท่อนไม้สีม่วงยาวสามฉื่อและแท่งโลหะหลากสียาวหกฉื่อจำนวนหกแท่งออกมา แล้วเขาก็เริ่มทำสิ่งต่างๆ วุ่นวายอยู่เงียบๆ

รายการวัสดุล่อสายฟ้าเป็นรายการจัดเรียงวัสดุทั่วไปที่ใช้ในการจัดวางค่ายกลธาตุสายฟ้าซึ่งจะสามารถนำทางพลังแห่งสายฟ้ามาได้

โลหะเทพเก็บสายฟ้าทั้งเจ็ดยังเป็นวัสดุทั่วไปที่ใช้ในการจัดวางค่ายกลธาตุสายฟ้า ซึ่งพวกมันจะสามารถเก็บสะสมและกระจายพลังสายฟ้าได้

ตามความรู้ของหลี่ฉางโซ่วในยามนี้ พลังทำลายล้างแห่งทัณฑ์สวรรค์ที่ผู้บำเพ็ญส่วนใหญ่ได้เผชิญมักมาจากพลังสายฟ้า และมีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่จะได้รับความเสียหายจากการโจมตีแห่งเต๋าอันยิ่งใหญ่

หากเขาสามารถสร้างแท่งเสาล่อสายฟ้า มันจะสามารถช่วยดึงดูดพลังสายฟ้าส่วนใหญ่ออกไปจากร่างของผู้บำเพ็ญในระหว่างข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์ได้ เมื่อมีสายฟ้าฟาดลงมา พลังสายฟ้ามากกว่าครึ่งหนึ่งจะถูกมันเบี่ยงเบนออกไปจากร่างกายได้ และมันอาจช่วยเพิ่มโอกาสในการข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์

ยิ่งไปกว่านั้น ตามหลักการแล้ว พวกมันเหล่านี้จะไม่กระตุ้นให้มีพลังแห่งทัณฑ์สวรรค์เพิ่มขึ้น

ไม่ว่าจะเกิดอันใดขึ้น หลี่ฉางโซ่วก็ต้องทุ่มสุดตัว!