ตอนที่ 30.1 อาจารย์และศิษย์ (1)

ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว

“ศิษย์พี่ ท่านกำลังสร้างอะไรหรือเจ้าคะ นี่เป็นเครื่องมือที่ช่วยเพิ่มความเร็วในการวางค่ายกลใช่หรือไม่”

หลันหลิงเอ๋อร์สาบานต่อบรรพชนไท่ชิงได้เลยว่า เพียงนางถามประโยคนี้ออกไปเท่านั้น นางก็ถูกศิษย์พี่เรียกไปแล้วจับขังเอาไว้อยู่ในกรงไม้ กลายเป็นหนูตะเภาเพื่อทำการทดสอบยืนยัน ‘ผลลัพธ์สิ่งประดิษฐ์’ นี้

กรงไม้นี้สูงกว่าคนหนึ่งคนเล็กน้อย ประกอบไปด้วยตัวนำไฟฟ้ากว่าสามสิบหกอันมัดรวมกันกับไม้ฟ้าคำรามเป็นโครงหลัก และชั้นในของมันก็ถูกหุ้มด้วย ‘ตาข่ายเหล็ก’ ชั้นดีสีสันสดใส

เพราะไม้ฟ้าคำรามถูกประกบและมัดรวมเข้าไว้ด้วยกันกับกรงไม้ จึงทำให้กรงไม้นั้นดูโกโรโกโสไปสักหน่อย

เหนือกรงไม้นี้มีเข็มยาวหลากสีสัน ส่วนด้านล่างเป็นวงแหวนรูปดาวหกแฉกที่หลอมขึ้นจากโลหะเทพเก็บสายฟ้าทั้งเจ็ด แต่นี่ไม่ใช่ค่ายกลจึงไม่มีข้อจำกัดหรือข้อบังคับใดๆ เป็นเพียงรูปทรงหกแฉกธรรมดาและเรียบง่ายเท่านั้น

เมื่อผู้บำเพ็ญข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์เพื่อกลายเป็นเซียน พวกเขาจะไม่อาจอาศัยค่ายกลเพื่อสกัดกั้นการโจมตีของสายฟ้าทัณฑ์สวรรค์ได้ และพลังสายฟ้าในช่วงเกิดทัณฑ์สวรรค์จะข้ามผ่านค่ายกลทั้งหมด

สมบัติและอาวุธเวทที่ผู้บำเพ็ญได้รับมาหรือหล่อหลอมมันขึ้นมาสามารถใช้ประโยชน์ทางเวทได้มากมาย ซึ่งส่วนใหญ่มักอาศัย ‘ข้อจำกัดหรือข้อบังคับ’ ที่จารึกไว้ทั้งภายในและภายนอกของสมบัติและอาวุธเวทเหล่านั้น

จากการค้นคว้าเป็นเวลาหลายปี หลี่ฉางโซ่วก็มั่นใจในสิ่งหนึ่ง นั่นคือหลักการที่อยู่เบื้องหลังข้อจำกัดหรือข้อบังคับนั้นเหมือนกันกับการสร้างค่ายกล ทั้งสองใช้ ‘สัญลักษณ์’ และ ‘รูปแบบ’ ที่ตายตัวเพื่อกระตุ้นพลังวิญญาณ แต่ความเรียบง่ายและความซับซ้อนนั้นแตกต่างกันและขนาดจะแตกต่างกัน

‘ข้อจำกัดหรือข้อบังคับ’ ถูกจารึกไว้บนสมบัติและอาวุธเวท ซึ่งสมบัติและอาวุธเวทคล้ายกับฐานของค่ายกลที่แยกออกมา พวกมันส่วนใหญ่ต้องพึ่งผู้บำเพ็ญใส่พลังวิญญาณเข้าไปเพื่อเปิดใช้งานข้อจำกัดหรือข้อบังคับนั้นๆ จากนั้นผู้บำเพ็ญก็จะสามารถใช้พลังอันทรงอานุภาพจากสมบัติและอาวุธเวทนั้นได้

‘การสร้างค่ายกล’ คือการใช้ฐานค่ายกลเป็นจุดเชื่อมต่อ และพลังวิญญาณจะไหลเวียนระหว่างฐานค่ายกล ส่วนใหญ่ด้วยการดึงพลังแห่งสวรรค์และปฐพีเข้ามาสนับสนุน

แม้ว่าหลักการของทั้งสองจะคล้ายคลึงกัน แต่ก็มีทิศทางของการพัฒนาที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

สมบัติและอาวุธเวทขั้นสูงมักจะบีบอัดข้อจำกัดหรือข้อบังคับที่สมบูรณ์เอาไว้ในพื้นที่ขนาดเท่าเล็บมือนั้น

ในทางกลับกัน พลังของค่ายกลนั้นจะเป็นสัดส่วนกับขนาดพื้นที่โครงร่างของมัน และต้องรวมเข้ากับสวรรค์และปฐพี เพื่อยืมพลังแห่งสวรรค์และปฐพีมาใช้

ดังนั้นแม้ว่าหลี่ฉางโซ่วจะเก่งกาจเรื่องค่ายกล แต่เขาก็ไม่ได้เชี่ยวชาญในการหลอมอาวุธ

สำหรับเรื่องนี้เขาไม่อาจทำอันใดได้ เขาเพิ่งฝึกบำเพ็ญมาเพียงหนึ่งร้อยสิบสองปี และเขาพยายามอย่างดีที่สุดจนแทบจะไม่ได้นอนตลอดหลายปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตามการฝึกบำเพ็ญและวิชาอื่นๆ เช่น การหลอมโอสถ การปรุงยาพิษ และค่ายกล ล้วนต้องการเวลามหาศาลในการสร้างความเชี่ยวชาญ

เขาแทบตายเพื่อแบ่งเวลาสิบสองชั่วยามต่อวันราวกับเขามีเวลายี่สิบสี่ชั่วยามแทน อย่างไรก็ตาม ระยะเวลาของการฝึกฝนของเขาสั้นเกินไป เขาต้องตัดสินใจเลือก ‘ความถนัดพิเศษ’ ของเขา ไม่มีทางที่เขาจะสามารถบรรลุความเชี่ยวชาญในการฝึกฝนทุกวิชาได้

ย้อนกลับไปว่ากันถึงเรื่องการต้านทานทัณฑ์สวรรค์…

ทัณฑ์สวรรค์จะมองข้ามค่ายกลรวมถึงสมบัติและอาวุธเวทสายป้องกันส่วนใหญ่ มีเพียงสมบัติและอาวุธเวทหายากบางชนิดเท่านั้นที่สามารถใช้เพื่อลดพลังสายฟ้าแห่งทัณฑ์สวรรค์ได้ ซึ่งที่กล่าวมาทั้งหมดเหล่านี้ไม่รวมสมบัติและอาวุธเวทขั้นสูงสุด เนื่องจากมันยากเกินกว่าจะหาพบได้จริงๆ

แต่หลี่ฉางโซ่วมีข้อได้เปรียบที่คนอื่นไม่มี นั่นคือการศึกษาภาคบังคับเป็นเวลาเก้าปี

กรงไม้ที่เขาสร้างขึ้นในเวลานี้ ได้รับแรงบันดาลใจมาจากกรงฟาราเดย์[1] ที่อยู่ในหนังสือเรียนฟิสิกส์โรงเรียนมัธยมตอนปลายของเขา มันสามารถใช้เพื่อป้องกันฟ้าผ่า และมักใช้ในวิทยากลไฟฟ้าแรงสูงที่น่าทึ่งอย่างยิ่ง

หลี่ฉางโซ่วแทบจะลืมหลักการเกี่ยวกับกรง แต่เขาก็ยังจำโครงสร้างของกรงได้

ทันใดนั้นหลี่ฉางโซ่วก็เตือนหลิงเอ๋อร์ “ห้ามแตะต้องตาข่ายรอบกายเจ้า”

หลันหลิงเอ๋อร์ตัวสั่นเทาอยู่ในกรงไม้ นางเหยียบบนแผ่นไม้และมองดูศิษย์พี่ของนางอย่างน่าสงสาร “ศิษย์พี่กำลังจะทำอันใดเจ้าคะ”

“อย่าขยับ” หลี่ฉางโซ่วกล่าวเสียงเรียบ หยิบยันต์สองสามแผ่นออกมาจากในแขนเสื้อของเขา แล้วโยนมันขึ้นไปอยู่เหนือกรงไม้สิบจั้ง โดยให้มือซ้ายชี้ไปทางยันต์ที่อยู่ไกลออกไปเล็กน้อย

เสียงดีดนิ้วดังขึ้นสองสามครั้ง จากนั้นก็มีสายฟ้าฟาดลงมาจากท้องฟ้าที่แจ่มใส

มีสายฟ้าสองสามสายฟาดลงมายังไม้ฟ้าคำรามที่ใช้ล่อสายฟ้าโดยตรงเหนือกรงไม้ และ ‘ตาข่ายเหล็ก’ ที่ล้อมรอบกรงไม้ก็ถูกกระแสไฟเล็กๆ จุดประกายส่องสว่างขึ้นมาในทันที จากนั้นโลหะเทพเก็บสายฟ้าทั้งเจ็ดที่ด้านล่างของกรงไม้ก็กระจายกระแสไฟฟ้าออกไปและรวมเข้ากับพื้นดิน

หลันหลิงเอ๋อร์ซึ่งกำลังกอดศีรษะและขดตัวจนเป็นรูปทรงกลมด้วยความหวาดกลัว ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองไปรอบๆ ด้วยความประหลาดใจ ก่อนจะเผลอร้องอุทานออกมาด้วยความเลื่อมใส

“นี่มันสมบัติอันใดกัน มันต้านทานสายฟ้าได้จริงๆ”

หลี่ฉางโซ่วตอบกลับอย่างเฉยเมยว่า “นี่คือกรงเวทของท่านอาจารย์ เจ้าอยู่ให้นานกว่านี้อีกสักพัก ข้าจะลองเพิ่มแรงให้สูงขึ้น”

“ศิษย์พี่! เหตุใดเราไม่ยั้ง… ว้าย!”

หลิงเอ๋อร์ยังกล่าวไม่ทันจบ หลี่ฉางโซ่วก็หยิบยันต์กระดาษสีเหลืองกองหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อของเขาแล้วใช้พลังเวทโยนมันขึ้นไปเหนือกรงไม้

ยันต์เหล่านี้ทำให้เกิดสายฟ้าเป็นจำนวนมาก ท้องฟ้าปกคลุมด้วยสายฟ้า ก่อนจะฟาดลงมาที่กรงไม้ด้านล่าง!

ชั่วพริบตาปรากฏสายฟ้าแลบแปลบปลาบ เหล่าวิหคบนยอดเขาหยกน้อยก็รวมตัวกันเป็นฝูงบินอยู่เหนือป่า ในขณะที่สัตว์วิญญาณทั้งหมดล้วนเต็มไปด้วยความกังวลใจ…

การทดลองนี้แสดงให้เห็นว่ากรงฟาราเดย์นั้นทำงานได้อย่างน่าทึ่ง แต่สิ่งเดียวที่เขากังวลคือ เมื่อต้องเผชิญกับทัณฑ์สวรรค์จริงๆ มันจะทำลายกรงได้หรือไม่

ตราบใดที่กรงนี้สามารถช่วยอาจารย์ต้านสายฟ้าแรกแห่งทัณฑ์สวรรค์ได้ ส่วนที่เหลือก็จะง่ายขึ้น

“ออกมาได้แล้ว ลำบากเจ้าแล้ว” หลี่ฉางโซ่วร้องเรียกก่อนที่จะเริ่มครุ่นคิดหาวิธีเสริมกำลังของกรงไม้

ทันใดนั้นหลันหลิงเอ๋อร์ก็บ่นกระปอดกระแปดว่า “ศิษย์พี่ ท่านวางปลาไว้ในกรงก็ได้นี่! มันน่าจะมีผลเช่นเดียวกันใช่หรือไม่เจ้าคะ!”

“ข้าอยากให้เจ้ารู้สึกมีส่วนร่วมในเรื่องนี้สักหน่อย” หลี่ฉางโซ่วยิ้มพลางกล่าวต่อ “พวกเราทั้งคู่จะได้ช่วยเหลือท่านอาจารย์ในระหว่างการข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์ของเขาอย่างไรเล่า”

หลิงเอ๋อร์เม้มริมฝีปากน้อยๆ ของนางทันที พลางยกมือขึ้นจัดเส้นผมไปทัดเอาไว้ที่ข้างหลังใบหูของนาง ก่อนจะกล่าวเสียงเบาว่า “ศิษย์พี่ พวกเราจะทำการทดลองต่อไปอีกหรือไม่เจ้าคะ ขอบเขตพลังของข้าอาจไม่สูงนัก แต่ข้าย่อมสามารถช่วยในสิ่งเหล่านี้ได้อย่างแน่นอนเจ้าค่ะ”

“อีกเดี๋ยวเจ้าไม่ต้องเข้าไปข้างในนั้นแล้ว ทำตามอย่างที่เจ้าว่า เจ้าไปหาถังไม้แล้วจับปลามาเถอะ”

หลี่ฉางโซ่วหยิบเชือกเส้นยาวที่เปล่งแสงหลากสีสันออกมา และยังคงง่วนทำต่อไป “พลังสายฟ้าในการทดสอบครั้งต่อไปจะฟาดใส่คนโดยตรง เจ้าจะทนรับไม่ได้อย่างแน่นอน”

หลันหลิงเอ๋อร์ตอบรับแล้วรีบหันหลังวิ่งไปที่ด้านข้างของทะเลสาบ โดยหลีกเลี่ยงอาจารย์ของนางที่กำลังนั่งสมาธิอยู่ในม่านพลังกั้นเสียงก่อนจะกระโดดลงไปในทะเลสาบอย่างระมัดระวัง

หลังจากนั้นไม่นานสายฟ้าก็ปรากฏขึ้นเหนือยอดเขาหยกน้อยอีกครั้ง…

การเคลื่อนไหวนี้ต่อเนื่องไปถึงสามวันเต็ม คนภายนอกที่สังเกตเห็นสายฟ้าฟาดก็คิดว่ามีคนกำลังฝึกเวทสายฟ้าอยู่บนยอดเขา จึงไม่มีผู้ใดสนใจเหตุการณ์ประหลาดนั้น

จนกระทั่งนักพรตเฒ่าฉีหยวนตื่นจากการเข้าฌานพร้อมด้วยใบหน้าที่เผยถึงความพึงพอใจ ทันใดนั้นหน้าผากที่มีรอยย่นของเขาก็มืดทะมึนขึ้นในทันที

พื้นที่เปิดโล่งริมทะเลสาบที่มีหญ้าเขียวขจีและทิวทัศน์ที่สวยงามล้วนถูกทำลายจนหมดสิ้น และได้กลายเป็นหลุมดำขนาดใหญ่แทน ในขณะที่ศิษย์ของเขาสองคนกำลังนั่งยองๆ อยู่ที่ก้นหลุมและปรับแต่งกรงนกขนาดใหญ่…

[1] กรงฟาราเดย์ เป็นระบบล่อฟ้าแบบเก่า คิดค้นขึ้นโดยไมเคิล ฟาราเดย์ ซึ่งจะมี 3 องค์ประกอบคือ 1. แท่งล่อสายฟ้า 2. สายนำลงดิน 3. ระบบรองรับกระแสไฟฟ้าที่เกิดจากสายฟ้า