บทที่ 39 เว่ยฉิงแสดงพลัง

เว่ยฉิงทำหน้าเคร่งขรึม เขาเลิกคิ้วขึ้น ใบหน้าของชายหนุ่มยังดุดันยิ่งกว่าพวกเขาทั้งสองคนอีก

“พวกเจ้ามาทำอะไรที่นี่? มารวมตัวกันที่หน้าห้องข้าด้วยเหตุอันใดหรือ? ” ทั้งสองคนนิ่งไม่ไหวติง

“เหตุใดจึงนิ่ง เป็นง่อยหรือโง่เง่า!?” เว่ยฉิงตะคอก

เหลยเป้ากำลังจะขาดใจด้วยความโกรธที่สุมอก ส่วนเหลยหมิงก็จับจ้องไปทางชายหนุ่มไม่วางตา แววตาของเขามืดครึ้ม ตัดสินใจยั่วยุเว่ยฉิงอย่างห้าวหาญ

“พวกข้าสองคนพี่น้องได้ยินมาว่า…มีหัวหน้าคนใหม่ที่มีพลังแข็งแกร่งยิ่งนัก ข้าอยากจะรู้ว่าเป็นจริงสมดังคำร่ำลือหรือไม่? ท่านมีความเห็นว่าอย่างไร ? ”

ผู้ดูแลหลายสิบคนที่กำลังจะไปรวมตัวกันที่ลานหน้าจวน เมื่อผ่านมาเห็นสถานการณ์ที่ตึงเครียดนี้ ทุกคนจึงพร้อมใจกันหยุดเพื่อรอชมสิ่งที่น่าตื่นเต้นที่อยู่เบื้องหน้า

นี่คือการท้าทายอย่างโจ่งแจ้งสินะ !..

เว่ยฉิงรู้สึกว่าสองพี่น้องคู่นี้ต้องเป็นหนามยอกอกเขาต่อไปเป็นแน่ หากวันนี้ไม่สามารถโน้มน้าวให้พวกเขามีท่าทีอ่อนลง คงจะเป็นเรื่องยากที่จะคุมคนงานในจวนแห่งนี้ได้

“ตกลง ใครเล่า? หรือจะเข้ามาทั้งคู่?” เว่ยฉิงตอบตกลง

เหลยหมิงกับเหลยเป้าไม่ได้จริงจังเรื่องการดวลกับเว่ยฉิงเลยแม้แต่น้อย พวกเขาเชื่อมั่นว่าแค่คนคนเดียวก็ล้มชายหนุ่มได้แล้ว เจ้าเด็กนี่จะสักแค่ไหนเชียว!

“ข้าเอง” เหลยหมิงยืนขึ้น

ดวงตาดุร้ายจ้องไปที่เว่ยฉิง เฉียบคมราวกับจะฆ่าคนได้ เหลยหมิงและเว่ยฉิงเดินไปที่ลานโล่ง

“นี่ ๆ พวกเจ้าคิดว่าใครจะชนะหรือ?”

“ข้าว่าต้องเป็นเหลยหมิง เหลยหมิงตัวใหญ่กว่าเกือบสองเท่าเลยนะ”

“ความแข็งแกร่งของเหลยหมิงมันสุดยอดมาก ข้าเคยเห็นเขายกหินก้อนใหญ่ขึ้นด้วย”

“หัวหน้าคนใหม่อาจจะรับหมัดฟ้าคำรามของเขาไม่ได้ด้วยซ้ำ”

เหล่าผู้คุ้มกันต่างกระซิบกระซาบกันอย่างสนุกสนาน

เหลยหมิงกำหมัด ออกแรงชกเข้าไปบริเวณใบหน้าของเว่ยฉิง ชายหนุ่มไม่แม้แต่จะหลบด้วยซ้ำ เว่ยฉิงคว้าแขนของเหลยหมิงและพลิกตัวทุ่มอีกฝ่ายลงกับพื้นอย่างแรง ชายร่างใหญ่คว่ำลงกับพื้นจนผืนดินสะเทือน

เว่ยฉิงเกิดมาพร้อมกับพละกำลังที่เหนือธรรมชาติทั่วไป ชาวสวนชาวไร่ที่สามารถแบกน้ำหนักได้ร้อยหรือสองร้อยชั่ง[1]ในชั่วอึดใจ รวมถึงคนแข็งแรงที่แบกน้ำหนักได้ราวสามหรือสี่ร้อยชั่ง หากแต่เว่ยฉิงสามารถแบกของถึงหกร้อยชั่งได้สบาย ๆ

ด้วยพละกำลังราวกับสัตว์ป่า ทำให้อีกฝ่ายพ่ายแพ้ไปอย่างง่ายดาย

“มีใครอยากพิสูจน์อะไรอีกหรือไม่?”

ดวงตาของเหลยเป้าแดงก่ำไปด้วยความโกรธ รอยแผลเป็นบนใบหน้าเขายิ่งทำให้ดูน่ากลัวยิ่งขึ้น

“ข้าเอง!” เหลยเป้าตะโกน เขาเหวี่ยงลูกเตะใส่เว่ยฉิง แต่ชายหนุ่มใช้ท่อนแขนที่แข็งแกร่งรับลูกเตะนั้นไว้ ก่อนจะสวนหมัดโจมตีอัดไปที่ท้องของเหลยเป้าอย่างแรง

เปรี้ยง!

ราวกับสายฟ้าฟาดเข้ามาอย่างแรงที่หน้าท้องของเหลยเป้า ใบหน้าของเขาบิดเบี้ยวไปด้วยความเจ็บปวด เขาล้มลงกับพื้นเอามือกุมท้องเอาไว้

“หากยังไม่พอ ก็เข้ามาพร้อมกันได้เลย” เว่ยฉิงยังนิ่งอยู่ในท่าเตรียมพร้อม

เหลยหมิงและเหลยเป้ารู้สึกเลื่อมใส พวกเขาขึ้นเหนือล่องใต้มาหลายปีแต่ไม่เคยมีใครสามารถเอาชนะพวกเขาได้เลย

ทั้งสองพี่น้องหยัดตัวขึ้นและพุ่งเข้าโจมตีเว่ยฉิงพร้อมกัน

การร่วมมือของพี่น้องสกุลเหลยยากที่จะรับมือด้วยตัวคนเดียว ทว่าร่างกายของเว่ยฉิงขยับไหวตัวหลบหลีกหมัดและลูกเตะอย่างชำนาญ หลังจากที่หลบได้เพียงไม่กี่ครั้ง เว่ยฉิงก็พบจุดอ่อนของพวกเขาและโจมตีกลับอย่างรวดเร็ว เหลยหมิงและเหลยเป้าร้องโอดโอยอย่างเจ็บปวด ผู้ดูแลคนอื่นถึงกับตกตะลึง หัวหน้าคนใหม่ของพวกเขาล้มเหลยหมิงและเหลยเป้าได้!

สายตาที่เขาใช้มองเว่ยฉิงเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว มีทั้งความหวั่นเกรงและนับถือในตัวเว่ยฉิง

………

โรงงานผลิตถุงหอมกำลังก้าวหน้าไปได้ด้วยดี สามารถผลิตถุงหอมได้สิบถุงต่อวัน ซึ่งสิบถุงนั้นเป็นค่าตอบแทนถึงสามสิบตำลึง และหลังหักลบค่าใช้จ่ายแล้ว ถังหลี่สามารถทำกำไรได้ถึงห้าสิบตำลึงต่อวัน!

เหล่าสตรีที่ปักผ้ามีมานะในการทำงานมากขึ้น ทุกคนทำงานอย่างหนักไม่ได้กลับบ้านไปกินมื้อเที่ยงแต่เลือกที่จะกินแค่หมั่นโถวที่พกมาจากบ้านเท่านั้น เช่นเดียวกับหมอซูและฮูหยินซู

เมื่อเห็นแบบนี้ ถังหลี่จึงไหว้วานให้ป้าเกาจัดเตรียมอาหารกลางวันให้พวกนางและให้ค่าตอบแทนร้อยอีแปะต่อเดือน

“แค่ทำอาหารเอง ไม่ต้องให้เงินข้าหรอก หลันฮวาก็ได้ค่าตอบแทนจากเจ้าต่อวันมากมายแล้ว”

หลันฮวาได้ค่าตอบแทนถึงร้อยอีแปะต่อวัน นับเป็นเรื่องที่นางไม่เคยแม้แต่จะฝันถึงมาก่อน ถังหลี่คือผู้มีพระคุณของนาง หญิงสาวยังคงตั้งใจเพื่อที่จะตอบแทนถังหลี่และนี่เป็นโอกาสที่ดียิ่ง

“หลันฮวาก็ส่วนหลันฮวา นางได้เงินที่ควรจะได้รับ ป้าเกา ท่านก็คือท่าน หากท่านไม่ยอมรับไว้ข้าคงต้องหาคนอื่น”

หญิงชราตอบตกลงถังหลี่ หลังจากนั้นป้าเกาจึงเริ่มเป็นแม่บ้านที่คอยดูแลโรงงานผลิตถุงหอม เมื่อไม่มีอะไรทำนางก็ปัดกวาดเช็ดถูไปรอบ ๆ ตัวบ้าน

……..

ในชั่วพริบตาก็ถึงวันที่สิบห้า ซึ่งเป็นวันเปิดเทอม ต้าเป่ากับสวี่เจวี๋ยได้เข้าเรียนที่สำนักศึกษาในเมือง ห่อผ้าสัมภาระเล็ก ๆ สองใบถูกมอบให้เด็กชายทั้งสอง เอ้อร์เป่าและซานเป่าเดินตามหลังพวกเขาด้วยใบหน้าที่งอง้ำ เด็กหญิงจับมือพี่ชายไว้แน่น นางเงยหน้าขึ้นและพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“ท่านพี่ ท่านต้องดูแลตัวเองให้ดี กินให้อิ่ม แต่งกายเรียบร้อย และห้ามป่วยนะ!” มือป้อมหยิบหุ่นตุ๊กตาที่มีรูปร่างแปลก ๆ ให้เขา

“นี่คือตุ๊กตาที่ข้าทำให้พี่ใหญ่” ต้าเป่าหยิบตุ๊กตาตัวนั้นมาถือเอาไว้อย่างระมัดระวัง เขาก้มลงจุมพิตน้องสาวที่หน้าผาก

“ขอบคุณน้องเล็ก พี่ชอบมันมาก”

เอ้อร์เป่าจับมือต้าเป่าไว้และพูดต่อ

“ท่านพี่ หากมีใครมารังแกท่าน อย่าไปทะเลาะกับเขานะ อาจารย์ไม่ชอบเด็กเกเร หากพี่จะแก้เผ็ดพวกนั้นก็หาอะไรใส่ลงไปในชามข้าวแทนเถิด !”

“เจ้าไปเรียนรู้เรื่องพวกนี้มาจากไหนกัน?” ต้าเป่าลูบหัวน้องชายเบา ๆ พี่ใหญ่มักชอบพูดความรู้จากในหนังสือและมักพร่ำสอนเด็กชาย แต่เอ้อร์เป่าไม่ค่อยสนใจมากนัก..

“ข้ากับสวี่เจวี๋ยไม่อยู่ที่นี่ เจ้าเป็นพี่ใหญ่แล้วต้องดูแลน้องสาวกับท่านแม่ให้ดี” ต้าเป่ากำชับ เด็กชายยืดหน้าอกรับคำ

“ข้าจะเป็นพี่ใหญ่เอง!”

จากนี้ไปเขาจะดูแลน้องสาวกับท่านแม่เอง!

หลังจากที่เด็กทั้งสองกล่าวคำอำลากับน้อง ๆ แล้ว พวกเขาก็เดินไปที่โรงงานผลิตถุงหอม ถังหลี่ฝากให้ป้าเกากับฮูหยินซูช่วยดูแลเอ้อเป่ากับซานเป่า หลังจากนั้นทั้งสามคนจึงเดินทางเข้าไปในเมือง

วันนี้ที่สำนักศึกษาคึกคักมากเพราะศิษย์ทุกคนรวมตัวกันอยู่ที่นี่ คนที่โตแล้วอายุประมาณสิบสี่ถึงสิบห้าปี และอายุน้อยสุดคือหกถึงเจ็ดขวบเท่านั้น เด็ก ๆ เหล่านี้แต่งตัวเรียบร้อยทุกคน บางคนอ่านหนังสือ บางคนกำลังเล่นอยู่ พวกเขาส่งเสียงดังมากทำให้วันนี้สำนักศึกษาบรรยากาศดูต่างไปจากเดิม

ดวงตาของต้าเป่าแน่วแน่

ดูเหมือนว่าเขาจะได้ก้าวเข้ามาสู่โลกอีกใบแล้ว

และเขาชอบมันมาก

สวี่เจวี๋ยเคยกล่าวว่าถ้าหากเจ้ามีชื่อเสียง เจ้าก็สามารถไต่เต้าเป็นถึงขุนนางระดับสูงได้ ในตอนนั้นเอง ความปรารถนาอย่างแรงกล้าได้เกิดขึ้นในหัวใจของต้าเป่า เขาต้องเรียนให้หนักและเป็นขุนนางระดับสูง! เพื่อที่จะได้มีอำนาจปกป้องบิดามารดา และพี่น้องของเขาได้!

เด็กน้อยมีความทะเยอทะยาน…

……………

ถังหลี่ส่งเด็กทั้งสองคนเข้าไปที่สำนักศึกษา เมื่อนางออกจากประตูสำนัก หน้าต่างบานข้าง ๆ ของสำนักศึกษาก็เปิดออก ดวงตาคู่หนึ่งจับจ้องมาที่ถังหลี่ เจ้าของดวงตาคู่นั้นคือเฉินเสี่ยวชุ่ยนั่นเอง แต่แล้วก็มีวงแขนเอื้อมมาโอบกอดหญิงสาวจากทางด้านหลัง

“คนสวยมองอะไรหรือ?”

“นางมาที่สำนักของเจ้าได้อย่างไร?” เฉินเสี่ยวชุ่ยถาม

คนที่กอดเสี่ยวชุ่ยคืออาจารย์ในสำนักศึกษาแซ่จ้าว นามว่าซูเหวิน ชายคนนี้มีท่าทีอ่อนโยน แต่ดวงตากลับมีความเจ้าชู้กรุ้มกริ่ม สายตาของเขาจับจ้องไปที่ถังหลี่ เขากวาดสายตาไปที่เอวคอดเล็กและสะโพกที่อวบอัดของนางอย่างจาบจ้วง

สตรีผู้นี้งดงามมาก ดังนั้นจ้าวซูเหวินจึงให้ความสนใจกับนางเป็นพิเศษ

“บุตรของนางสองคนเข้ามาเรียนที่สำนักศึกษา”

เฉินเสี่ยวชุ่ยขบฟันแน่น แววตาของนางขุ่นเคือง ถังหลี่ส่งบุตรสองคนมาเรียนที่นี่! ในหมู่บ้านมีน้อยคนมากที่จะส่งเสียให้บุตรมาร่ำเรียนในตัวเมืองได้ พี่ชายของเฉินเสี่ยวชุ่ยเองก็กำลังศึกษาอยู่ในสำนักนี้และมารดาของนางก็โอ้อวดเรื่องนี้มานานแล้ว

เดิมทีเฉินเสี่ยวชุ่ยคิดว่าชีวิตของถังหลี่จะน่าสังเวช แต่กลับกลายเป็นว่าดีขึ้นเรื่อย ๆ!

ไม่ได้การเสียแล้ว นางต้องทำให้ถังหลี่ล่มจมให้ได้!

———————–

[1] 1 ชั่ง เท่ากับ 600 กรัม