ตอนที่ 60 แม่มดผู้หวาดกลัว

สุดยอดเซนต์ตัวปลอมแห่งยุค

ณ สถาบันอัศวินเวทมนตร์อัลเฟรีย มีพื้นที่ใต้ดินอยู่

ที่นี่เป็นสนามฝึกที่กระทั่งอาจารย์ก็ไม่ค่อยมีโอกาสได้ใช้งาน ยิ่งนักเรียนย่อมไม่ต้องพูดถึง มีไว้เพื่อให้นักเรียนที่มีผลการเรียนดีเด่นได้ใช้ในการฝึกซ้อมสู้จริงกับปีศาจ

กรงใหญ่กว่าสามสิบเมตรมีไว้เพื่อกันไม่ให้ปีศาจหลุดรอดออกไปได้ เพดานสูงสิบเมตรทำให้กระทั่งปีศาจขนาดใหญ่ก็ยังสามารถเคลื่อนไหวได้

เพราะอะไรถึงต้องมีพื้นที่แบบนี้รึ? ก็เพื่อกันไม่ให้ใครหลงเข้าไปหรือออกมาได้ยังไงล่ะ

หากเป็นพื้นที่โล่งแจ้งล่ะก็ จะทำให้มีโอกาสที่ปีศาจจะหลุดรอดออกไปด้านนอกได้

หรือไม่ก็มีโอกาสที่บุคลากรของโรงเรียนอย่างเช่นแม่ค้าหรือเด็กขนของจะถูกลูกหลงจากการต่อสู้ได้

เพื่อป้องกันความเป็นไปได้นั้น จึงต้องมีการสร้างพื้นที่ที่จะสามารถปิดกั้นไม่ให้คนนอกเข้ามาหรือปีศาจหลุดรอดไปได้

มีบันทึกเกี่ยวกับพื้นที่รั้วกั้นในบริเวณโล่งแจ้งอยู่ คาดว่าจะถูกรื้อถอนออกไปเนื่องจากเคยมีปีศาจหลุดออกไปได้

ปีศาจอาจจะกระโดดข้ามรั้วไป พังรั้วออกไป…หรือกระทั่งมุดดินหนีออกไป

ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม ความผิดพลาดนั้นก็กลายมาเป็นบทเรียนเพื่อไม่ให้สร้างความผิดพลาดเดิมซ้ำอีก

และในพื้นที่ใต้ดินนี้เอง ที่มีบันไดลับซ่อนอยู่

ครูใหญ่คนก่อน ดิแอส สร้างทางลับนี้ไว้เพื่อเป้นที่ซ่อนให้กับแม่มด

บันได้ลับทอดยาวลงไปด้านล่างจนพบกับประตูสร้างขึ้นจากหิน

เมื่อประตูถูกเปิดออก ก็จะพบกับรูปปั้นหินสองตัวยืนรับแขกอยู่

ทางเดินระหว่างรูปปั้นหินนั้นแยกออกไปหลายทาง นำไปสู่ห้องต่างๆ ห้องส่วนตัวของแม่มด ห้องครัว ห้องนั่งเล่น…และห้องกักเก็บปีศาจ

ห้องส่วนตัวของแม่มดนั้นหรูหราและสะอาดจนไม่อาจคิดได้ว่านี่เป็นชั้นใต้ดิน เรียกว่าเป็นห้องในคฤหาสถ์หรูน่าจะใกล้เคียงกว่า

ห้องเป็นทรงสี่เหลี่ยม เพดานห้องถูกสลักเป็นรูปงูเลื้อย

พื้นทำจากไม้และปูทับด้วยพรม ตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์เช่นเตียง โต๊ะ ชั้นหนังสือ และนาฬิกา

ผนังห้องนั้นมีรูปภาพมากมายแขวนอยู่ ส่วนมากแล้วจะเป้นรูปวาดเกี่ยวกับธรรมชาติที่สงบและร่มเย็น…เนื่องจากที่นี่เป็นพื้นที่ปิด อย่างน้อยดิแอสจึงพยายามที่จะทำให้แม่มดสามารถใช้ชีวิตได้อย่างสบายที่สุดเท่าที่จะทำได้

เป็นดั่งเงามืดด้านใต้ประภาคาร ไม่มีใครคาดคิดว่าภายใต้สถาบันเวทมนตร์ที่มีไว้เพื่อสั่งสอนอัศวินที่จะมาปกป้องเซนต์ จะมีรังลับของแม่มดแฝงอยู่

ภายในห้องของเธอ แม่มดอเล็กเซียนั่งกัดเล็บอยู่บนเตียงของเธอ

เธอเป็นผู้หญิงที่น่าขนลุก

ผมยาวสีเงินของเธอไร้ซึ่งเงาหรือประกาย เรียกได้ว่าใกล้เคียงกับสีขาวเสียมากกว่า

ตาปรือที่ไร้ซึ่งแสงใดๆในดวงตา ถูกกลืนไปกับถุงใต้ตาคล้ำๆ

แก้มซูบตอบ และผิวพรรณที่หมองหม่นเล็กน้อย

ริมฝีปากสีม่วง ในขณะที่ฟันของเธอซึ่งกัดเล็บอยู่นั้นเป็นสีเหลือง

ถ้ามองดีๆก็คงพอจะสังเกตได้ว่าเธอเคยเป็นสาวสวย แต่นั่นก็เป็นเรื่องในอดีตไปแล้ว

หากผู้ใดที่เคยเห็นเซนต์อเล็กเซียมาก่อนมาเจอเธอเข้า ก็คงจะดูไม่ออกว่าเป็นคนๆเดียวกัน

มีรูปวาดและรูปปั้นของเธอตั้งปนอยู่กับเซนต์รุ่นก่อนๆ เป็นรูปลักษณ์ของสาวงามผมสีเงิน รูปลักษณ์ของตัวเธอในอดีต

เธอในตอนนี้นั้นห่างไกลจากสาวงามคนนั้นจนแทบจะไม่เหลือเค้าเดิม

ชุดของเธอเคยเป็นชุดเดรสสีขาวบริสุทธิ์อย่างที่เอลริสใส่ ตอนนี้เป็นชุดคลุมยาวสีดำสนิท ราวกับจะกลืนกินเธอลงไปในความมืดมิด เธอที่นั่งอยู่บนเตียงในตอนนี้ไม่ได้ส่งเสียงออกมาแม้แต่น้อย

ก็ใช่ว่าจะมีกฏที่ว่าเมื่อเซนต์ถูกเปลี่ยนเป็นแม่มดแล้วจะต้องเปลี่ยนรูปร่างให้ออกมาชั่วร้ายตาม

ในประวัติศาสตร์ก็คงจะมีสักคนสองคนที่ยังคงรูปลักษณ์แบบเดิมเอาไว้ได้ถึงแม้จะเปลี่ยนไปแล้ว

ยังไงซะก็มีไม่กี่คนที่รู้อยู่ดี เพราะความจริงที่ว่าเซนต์และแม่มดเป็นคนๆเดียวกันนั้นไม่ได้แพร่หลาย

อเล็กเซียในตอนนี้แทบจะไม่เหลือเค้าเดิมอีกแล้ว หากใครบอกว่าเธอคือเซนต์อเล็กเซียผู้เคยกอบกู้โลกมาก่อน ก็คงไม่มีใครเชื่อ

“ดิแอส …อา ดิแอส… เอลริสออกไปจากสถาบันรึยัง? ไล่เธอไปได้แล้วใช่มั้ย? ช-ใช่มั้ย?… เจ้าเป็นครูใหญ่ของที่นี่นี่นา  คงจะไล่เธอออกไปได้สินะ? ใช่มั้ย!?”

“โอ เซนต์ของข้า ยังขอรับ เอลริสยังคงอาศัยอยู่ในสถาบันแห่งนี้ การจะไล่เธอไปนั้นไม่อาจทำได้ หากข้าเคลื่อนไหวโดยพละการอาจทำให้กลายเป็นที่สงสัยและสูญเสียตำแหน่งลงได้ หากข้าไร้ซึ่งตำแหน่งก็จะมิอาจปกป้องท่านได้ โปรดมีความอดทน”

อเล็กเซียคุยกับนกสตีลที่ดิแอสส่งมา

เจ้านกจะจดจำคำพูดของดิแอสและนำมาบอกให้เธอฟัง

ช่วงนี้ กระทั่งดิแอสก็ไม่สามารถมาพบเธอได้โดยตรง

ในช่วงที่เอลริสอาศัยอยู่ในสถาบันแห่งนี้ หากเขาลอบลงมายังชั้นใต้ดินแล้วถูกสังเกตเห็นล่ะก็ อาจจะเป็นการนำทางเอลริสมาจนถึงสถานที่แห่งนี้ก็เป็นได้… ถูกบอกเหตุผลมาเช่นนั้น

“รู้แล้วน่า ก็รู้ดีอยู่ แต่นี่ข้าจะต้องรอจนถึงเมื่อไรกัน? ตั้งแต่ที่เธอมายังสถานที่แห่งนี้ ข้าก็กลัวว่าจะถูกพบตัวเข้าจนผ่อนคลายไม่ได้ นอนไม่หลับเลยนะ”

เมื่อได้ยินอเล็กเซียพูโเช่นนั้น เจ้านกสตีลก็พูดทวนคำพูดของเธฮ

นกไม่เข้าใจถึงสิ่งที่มันพูดออกมาหรอก

มันก็แค่ลอกเลียนเสียงที่มันได้ยินก็เท่านั้น

นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมบทสนทนานี้จึงจะถูกส่งไปยัง”ดิแอส”ทั้งๆอย่างนี้

อเล็กเซียมองนกสตีลที่บินจากไป จากนั้นจึงทุ่มตัวลงบนเตียง

อเล็กเซียนั้นหวาดกลัวเซนต์คนปัจจุบันเป็นที่สุด

เธอรู้ดี เพราะเธอเองก็เคยเป็นเซนต์มาก่อน

…ว่าเซนต์คนปัจจุบันนั้นเป็นสัตว์ประหลาดในหมู่สัตว์ประหลาด

เอลริสไม่รู้ตัวก็จริง แต่อเล็กเซียนั้นเคยเห็นการต่อสู้ของเอลริสมาแล้วโดยตรง

ในตอนนั้นเธอนำทัพปีศาจเข้าโจมตีเมือง…เมื่อรู้สึกตัวอีกที ปีศาจที่เป็นลูกน้องของเธอก็ถูกเอลริสกำจัดอย่างสมบูรณ์แล้ว เธอจึงทอดทิ้งพวกมันและหนีไปโดยเร็วที่สุด

บ้าไปแล้ว นั่นมันอะไรน่ะ?

เอลริสทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า สร้างดาบขึ้นมาจากแสงจำนวนนับไม่ถ้วนและทิ้งลงมาราวกับห่าฝน ทหารและอัศวินที่ดึงดาบเหล่านั้นขึ้นมาจะหายจากอาการบาดเจ็บและความเหนื่อยล้าเป็นปลิดทิ้ง เอาจริงๆแล้วยิ่งแข็งแกร่งกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำ

การโจมตีใดๆที่พุ่งเข้าหาเธอถูกทำให้ไร้ผล และสะท้อนกลับไปยังผู้โจมตีด้วยพลังที่รุนแรงยิ่งกว่าเดิม

เซนต์เป็นตัวตนที่มีพลังเวทย์เหนือกว่าคนทั่วไป และร่างกายที่ทำให้ไม่รับความเสียหายจากสิ่งใดนอกจากพลังแบบเดียวกับตน

ไม่ว่าจะอย่างไร เซนต์นั้นไม่ใช่ตัวตนที่เป็นดั่งกึ่งเทพเจ้า แบบนี้

อเล็กเซียนั้นถือว่าเชี่ยวชาญในด้านเวทมนตร์อยู่พอสมควร จึงสามารถเข้าใจได้ในทันที ว่าเอลริสนั้นมีพลังเวทย์สูงกว่าตัวเธอเป็นร้อยเป็นพันเท่า

และนั่นคือเมื่อ 5 ปีที่แล้ว เอลริสที่อายุเพิ่มขึ้นเป็นสิบเจ็ดปีนั้นไม่ได้อ่อนแอลงเลย มีแต่จะยิ่งแข็งแกร่งขึ้นในแต่ละวัน

พลังของเวทมนตร์นั้นขึ้นอยู่กับปริมาณพลังเวทย์ที่ใช้งาน

หากใช้เวทมนตร์แบบเดียวกัน ผู้ที่มีพลังเวทย์ 30 จะมีพลังเป็นสามเท่าของผู้ที่มีพลังเวทย์ 10 มันก็แค่นั้น

เธอไม่มีทางเอาชนะสัตว์ประหลาดตนนี้ได้ ไม่มีใครทำได้ ไม่มีใครใกล้เคียงจะทำได้

ผู้ที่มีพลังเวทย์สูงกว่าจะปล่อยพลังออกมาได้มากกว่า

และเอลริสตอนอายุ 12 ปีนั้นก็แข็งแกร่งกว่าอเล็กเซียเป็นร้อยๆเท่าแล้ว

อเล็กเซียรู้ว่าเธอไม่มีวันที่จะสามารถสู้เอลริสได้ จึงหนีมาอยู่ด้านใต้สถาบันแห่งนี้

วันเวลาผ่านไป ข่าวคราวจากดิแอสทำให้เธอแทบจะไม่เชื่อหูตัวเองในทุกๆครั้ง เกาะที่ถูกแม่มดในอดีตยึดไปและเปลี่ยนกลายเป็นดินแดนของปีศาจ ถูกยึดคืนกลับมาได้ในวันเดียว มหามารที่อเล็กเซียสมัยยังเป็นเซนต์ไม่อาจแม้แต่จะต่อกรด้วยได้ถูกกำจัดลงในสามวินาที เธอทราบดีว่าเอลริสนั้นไม่ใช่ตัวตนที่เธอจะสามารถคิดต่อกรด้วยได้

ไม่ยุติธรรมเลย

ในตอนที่อเล็กเซียเป็นเซนต์ โลกนั้นถูกย้อมไปด้วยความมืดมิด

เพราะว่าเซนต์ลิเลีย รุ่นก่อนหน้าเธอไม่อาจทำหน้าที่ได้สำเร็จและถูกปีศาจสังหาร ยุคมืดของแม่มดรุ่นก่อนจึงขยายออกไปอีก

ส่งผลให้อเล็กเซียต้องเจอกับกองทัพปีศาจที่แข็งแกร่งยิ่งกว่ารุ่นก่อนๆ

ผสมเข้ากับความคาดหวังของผู้คนว่าครั้งนี้จะต้องทำได้สำเร็จแน่ๆ

สมุนของแม่มดกริเซลด้าแต่ละตัวนั้นแข็งแกร่งยิ่งกว่าสมุนของแม่มดรุ่นก่อนๆอย่างทาบไม่ติด

ถึงอย่างนั้น อเล็กเซียก็ต้องก้มหน้ารับชะตากรรม ทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างที่มีในการต่อสู้กับแม่มด

เพราะว่านี่เป็นหน้าที่ที่มีเพียงเธอที่ทำได้ เธอกลั้นน้ำตาและข่มความหวาดกลัวของตัวเอง…หลังจากสูญเสียเพื่อนพ้องและอัศวินไปมากมาย ในที่สุดเธอก็สามารถปราบแม่มดได้สำเร็จ

ในท้ายที่สุดแล้ว สิ่งที่รอเธออยู่นั้นกลับเป็นการทรยศ

ราชาไอส์แห่งราชอาณาจักรบิลเบอรี่จับเธอขังไว้ในปราสาทเซนต์ และคิดจะใช้ปีศาจเพื่อสังหารเธอ

ในแง่หนึ่ง ปีศาจเหล่านั้นก็ถูกเปลี่ยนมาเป้นพวกพ้องของเธอแทน…แม้ในที่สุดเธอจะถูกเปลี่ยนจากเซนต์ผู้ให้ความหวังมาเป็นแม่มดผู้ร่ายคำสาปไปด้วย

รู้สึกเสียใจ รู้สึกท้อแท้ และรู้สึกรังเกียจ

ถึงกระนั้น อเล็กเซียก็ยังสามารถคงสติตัวเองเอาไว้ได้อยู่ช่วงหนึ่ง ก่อนที่จะหนีไปซ่อนตัว

หากเธอกลายเป็นแม่มด ก็เท่ากับว่าพวกคนที่ทรยศเธอนั้นทำในสิ่งที่ถูกต้องแล้ว ด้วยเหตุผลนั้น เธอจึงพยายามต่อต้านจนถึงที่สุด

แต่คำสาปที่ถูกถ่ายทอดมาจากกริเซลด้าก็ค่อยๆกัดกินเธอไปเรื่อยๆในแต่ละวัน

เมื่อเซนต์กลายเป็นแม่มด ไม่ใช่ว่าบุคลิกของพวกเธอจะเปลี่ยนไปแบบ 180 องศาในทันที

มันจะค่อยๆกัดกินเธอจากข้างใน เพิ่มพูนความเกลียดชังขึ้นไปเรื่อยๆ

สิ่งที่แม่มดแต่ละคนเคยพบเห็น ด้านน่ารังเกียจของมนุษยชาติ ความทรงจำที่เลวร้ายต่างๆนาๆ

ในส่วนของเธอ ก็มีความโกรธเคืองที่โดนทรยศรวมอยู่ด้วย

ทีละน้อย ทีละน้อย สุดท้ายหัวใจของเธอก็จะถูกย้อมเป็นสีดำ

ราวกับกระดาษสีขาวที่ถูกละเลงด้วยหมึกดำ

หัวใจของเซนต์นั้นเป็นสีขาวบริสุทธิ์ แต่เพราะเป็นสีขาวนั่นเอง จึงทำให้มันถูกปนเปื้อนได้ง่าย

อเล็กเซียเองก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น…สุดท้ายแล้วเธอก็ถูกเปลี่ยนเป็นแม่มดที่โลกรังเกียจ

เธอเจ็บปวด เธอข่มตความกลัวของตัวเองไว้เพื่อนำสันติสุขคืนมาสู่โลก แต่สุดท้ายก็โดนหักหลัง

ไม่มีใครสนถึงการเสียสละของเธอ พวกมนุษย์ดื่มด่ำกับความสงบสุขที่เธอนำมา อเล็กเซียไม่อาจยกโทษให้ได้ ไม่อาจอดกลั้นได้อีกต่อไป

นี่คือโลกที่นำมาซึ่งความเจ็บปวด

และแล้วเธอก็เลิกที่จะอดทน ตกลงสู่ความมืดและกลายเป็นแม่มด

แต่แล้ว ถึงแม้เธอจะกลายมาเป็นแม่มด เธอก็ยังต้องพบกับความกลัวอีกครั้ง

สิ่งที่รอเธออยู่หลังการต่อสู้กับหนึ่งในยุคสมัยที่โหดร้ายที่สุดของแม่มดกริเซลด้า คือเซนต์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ เอลริส

นี่ไม่ยุติธรรมเลย เธออยากจะร้องไห้

ทำไมโลกถึงได้เกลียดเธอถึงขนาดนี้

เธอไม่สามารถระบายความโกรธออกได้ด้วยซ้ำ

ทำไมเธอถึงต้องเจอแบบนี้อยู่คนเดียว?

ตั้งแต่ที่เอลริสเข้ามายังสถาบัน เธอก็ไม่อาจข่มตาหลับลงได้

เธอกลัวว่าถ้าทำเสียงดังออกไปแม้แต่นิดเดียวก็จะถูกพบ เธอต้องใช้ชีวิตด้วยความสั่นกลัวในทุกลมหายใจ

เอลริสจะเจอที่นี่เข้าสักวันรึเปล่า? หรือว่าเธอถูกเจอแล้ว?

บางทีถ้าเทเลพอร์ตหนีไปเลยอาจจะดีกว่าก็ได้ แต่…ถ้าเธอหนีไปตอนนี้ เธอก็จะไม่มีพวกพ้องอยู่ช่วยเธออีก

มีเพียงอเล็กเซียคนเดียวเท่านั้นที่สามารถเทเลพอร์ตหนีไปได้

ไม่ว่าจะพวกปีศาจที่อาศัยอยู่ใต้ดินหรือดิแอสก็ไม่อาจตามเธอไปด้วยได้

จะมีเธออยู่เพียงคนเดียว ผู้อ่อนแอหลังจากที่ใช้งานเวทย์เทเลพอร์ต และต้องไปอาศัยอยู่ในโลกที่ถูกเปลี่ยนแปลงไปด้วยฝีมือของเซนต์เอลริส…มีเพียงเธอ อยู่อย่างเดียวดาย

โลกในปัจจุบันเป็นถูกยึดครองไว้โดยมนุษยชาติ มีแต่ลูกน้องของเซนต์อาศัยอยู่เต็มไปหมด

ไม่มีที่ใดให้เธอหนีไปได้ อเล็กเซียจึงจำใจต้องหลบซ่อนอยู่ใต้สถาบันแห่งนี้

ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ความอดทนของเธอก็ใกล้ถึงขีดจำกัดแล้ว

หัวใจของเธอเหมือนจะระเบิดออก เธออยากจะทิ้งทุกอย่างแล้วหนีไปตอนนี้เลย

อา ไม่นะ ไม่นะ ขอร้องล่ะ อย่าสังเกตเห็นถึงสถานที่แห่งนี้เลยนะ

เธอภาวนาเช่นนั้นด้วยความสั่นกลัวอยู่ทุกวี่ทุกวัน

“ท่านเจ็บปวดมามากแล้วขอรับ ท่านอเล็กเซีย…”

“โอะ-โอออ ‘เจ้าเงา’เองเหรอ?”

‘เจ้าเงา’ขยับเข้ามาใกล้อเล็กเซีย ราวกับจะพยายามปลอบประโลม

เป็นสิ่งมีชีวิตที่แปลกประหลาด

ถึงที่นี่จะเป็นใต้ดิน แต่ก็ยังมีแสงอยู่

ถึงแม้ในห้องของอเล็กเซียเองจะไม่มีแสงใดๆ แต่ทางเดินหน้าห้องของเธอก็มีตะเกียงอยู่ เพื่อไม่ให้นกสตีลหลงทาง และแสงเหล่านั้นก็ส่องเข้ามาถึงห้องของอเล็กเซียด้วย

ทว่า เจ้าสิ่งมีชีวิตตัวนี้กลับมืดสนิท กระทั่งแสงก็ไม่อาจส่องถึงมัน

‘เจ้าเงา’ใช้แขน…ไม่สิ คงไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นแขน และจับไหล่ของอเล็กเซียไว้

“เงาเอ๋ย ข้ากลัวจริงๆ ทำไมเรื่องเช่นนี้ถึงต้องเกิดขึ้นในยุคสมัยของข้าด้วย… นี่โลกใบนี้รังเกียจข้าถึงขนาดนั้นเลยหรือ?บอกทีสิ… ข้าควรจะทำเช่นไรดี…”

“ท่านสามารถเทเลพอร์ตหนีไปได้…”

“ไม่! ไม่ได้นะ! ถ้าเป็นอย่างนั้นข้าก็จะไม่มีใครเหลืออีก! ข้าจะต้องถูกเธอคนนั้นเจอตัวในทันทีเป็นแน่! เจ้าก็รู้ใช่ไหม? เทเลพอร์ตเป็นเวทย์ต้องห้ามที่จะฉีกผู้ใช้เป็นชิ้นๆ… ส่งเศษเหล่านั้นไปยังสถานที่อื่น และก่อร่างนั้นขึ้นมาใหม่ ทำให้ผู้ใช้อ่อนแอลงจากเดิมเป็นอย่างมาก แค่นี้ความห่างชั้นระหว่างพลังของข้ากับเอลริสก็ต่างกันราวฟ้ากับเหวแล้ว ….จะปล่อยให้มันยิ่งกว้างไปกว่านี้ไม่ได้หรอก!”

‘เจ้าเงา’มองไปยังนายของตนผู้สูญเสียความงดงามที่เคยมีอย่างเงียบๆ

หากเธอลองคิดอย่างรอบคอบล่ะก็ สถานการณ์ในตอนนี้ก็จัดว่าเลวร้ายเต็มทีแล้ว

ตั้งแต่ที่เอลริสเข้ามาเรียนในสถาบันแห่งนี้ เธอก็ใช้สถานที่นี้เป็นฐานหลักมาโดยตลอด

ถ้าเป็นจริงอย่างที่ดิแอสรายงานมาว่าพวกเธอยังไม่รู้ตัว…แล้วทำไมเธอถึงยังอาศัยอยู่ในสถาบันล่ะ?

ถึงเธอจะไม่รู้ แต่ก็ต้องมีหลักฐานหรือร่องรอยบางอย่างที่ทำให้เธอเชื่อว่าแม่มดซ่อนตัวอยู่ภายในสถาบันเป็นแน่

ถ้าอย่างนั้น สถานการณ์ในตอนนี้ก็ถือว่าอันตรายเป็นอย่างมาก แม่มดควรจะเทเลพอร์ตหนีไปโดยเร็วที่สุดเพื่อไปตั้งหลักวางแผนใหม่

แต่แม่มดไม่มีพวกพ้องเหลือแล้ว…และเอลริสได้ทำให้โลกภายนอกกลายเป็นพื้นที่อันตรายที่แม่มดหวาดกลัวจะออกไป

ไม่มีเหตุผลต้องสู้เลย ผู้ชนะระหว่างเอลริสและอเล็กเซียนั้นได้ถูกกำหนดไว้ตั้งแต่แรกแล้ว

พื้นที่เกือบทั้งโลกกลายเป็นอาณาเขตของเอลริสทั้งหมด หากเทียบเป็นหมากก็คือมีแต่สีขาวอยู่เต็มกระดาน

อาจจะมีหมากสีดำเหลืออยู่เล็กน้อย แต่เอลริสก็ได้ลงมือควบคุมสถานการณ์ไว้แล้ว

แม่มดไม่อาจหลบหนีไปด้วยเป็นเพราะความกลัวของเธอ เธอจึงยึดติดอยู่กับสถาบันนี้ไม่ไปไหน

“เข้าใจแล้วขอรับ… ถ้าเช่นนั้น ข้าจะขจัดความกลัวนั้นให้”

“ปะ-เป็นไปไม่ได้หรอก เจ้าไม่มีทางเอาชนะเอลริสได้!”

“ใจเย็นขอรับ…ข้ารู้ดีว่าไม่มีทางสู้เจ้าสัตว์ประหลาดนั่นได้ แต่ว่าเหตุผลที่เธออยู่ที่นี่ก็เป็นเพราะว่าเธอมีความสงสัยว่าท่านแม่มดหลบซ่อนอยู่… ถ้าเช่นนั้น หากทำให้ความสงสัยนั้นหายไป…เธอก็จะเลือกถอยทัพจากไปเอง…”

ร่างของ’เจ้าเงา’ส่ายไปมา ดวงตาของมันเบิกกว้าง