ทั้งแปดคน รวมทั้งพวกเวอร์เนล ที่ทำผลงานได้ยอดเยี่ยมในงานประลองที่ผ่านมา ถูกเอลริสเรียกมารวมตัวกันที่ชั้นที่ห้าของอาคารเรียน

คนเหล่านี้คือเวอร์เนล เอเทอร์น่า แมรี่ ไอน่า จอห์น ฟิโอร่า…”บุคคลปริศนา “และรุ่นพี่ปีสามคนหนึ่งที่ชื่อครั๊นช์ไบท์ ด็อกแมน

ทั้งๆที่รุ่นพี่ก็ไม่ได้ดูอ่อนแอแท้ๆ แต่กลับมีบรรยากาศราวกับว่าเขาจะเป็นคนแรกที่ถูกจัดการในการต่อสู้อย่างประหลาด

แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาอะไร ประเด็นคืออีกคนนึง

คนสุดท้ายที่เข้ารอบแปดคนในงานประลอง—คนที่สมควรจะเป็นนักเรียน แต่นี่ไม่ว่าจะดูยังไงก็คืออาจารย์ซัปเปิ้ลชัดๆเลย

คนๆนี้มาทำอะไรที่นี่เนี่ย?

“…ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่กัน ผู้ฝึกสอนซัปเปิ้ล เมนต์?”

“หืม? พูดถึงใครอยู่หรือครับ? กระผมเป็นนักเรียนที่ติดอันดับแปดคนสุดท้าย ชื่อว่าทอม ทอยจากปีสามต่างหาก”

เลย์ล่าถามเช่นนั้นด้วยสีหน้าที่แสดงความรังเกียจออกมาอย่างเต็มที่ ส่วนซัปเปิ้ลก็ตอบกลับไปอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว

คนๆนี้ไม่มียางอายเลยสินะ

“โอว เซนต์ของกระผม! ได้โปรดประทานอาวุธอันเป็นของรางวัลสำหรับนักเรียนที่ติดแปดอันดับมาสู่กระผมทีเถิด!”

อา เพราะแบบนี้เอง…

เวอร์เนลเข้าใจได้ทันทีว่าทำไมซัปเปิ้ลถึงทำแบบนี้

ในฐานะคนคลั่งเซนต์…ไม่สิ ผู้บูชาเอลริสแล้ว จะปล่อยให้โอกาสที่จะได้รับอาวุธที่สร้างโดยเอลริสหลุดมือไปได้ยังไงกัน

เวอร์เนลเองก็ต้องการของรางวัลนั้นเช่นกัน ทำให้เขาตั้งใจกับการประลองครั้งนี้มากกว่าปกติเสียอีก

สุดท้ายแล้ว เอลริสก็ยอมมองข้ามเรื่องนี้ไป จากนั้นเธอก็เริ่มใช้วัตถุดิบที่เลย์ล่าส่งให้มาสร้างเป็นอาวุธ

เวอร์เนลเองก็ได้รับเกรทซอร์ดที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าเล่มเดิม

เอเทอร์น่าได้รับคฑาที่มีอัญมณีติดอยู่ที่ปลาย ฟิโอร่าได้รับคันศรและลูกธนู จอห์นได้รับดาบคู่ ไอน่าได้รับดาบยาว

แมรี่ได้รับเรเปียร์ ส่วนซัปเปิ้ลก็ได้รับดาบที่ติดอยู่บนปลายคฑาตามที่เขาขอไป

ครั๊นช์ไบท์เป็นนักสู้มือเปล่า เขาจึงได้รับเป็นสนับมือแทน

สุดท้ายแล้วเลย์ล่าได้รับดาบยาว เธอซาบซึ้งเป็นอย่างมากจนเกือบจะร้องไห้

สำหรับเธอที่เคยทรยศเอลริสมาแล้วครั้งหนึ่ง การได้รับดาบที่เอลริสเป็นผู้สร้างเองกับมือคงจะเป็นสิ่งที่สำคัญมาก

เมื่อแจกจ่ายอาวุธให้กับทุกคนเรียบร้อยแล้ว เอลริสก็พูดขึ้น

“อย่างแรกเลย ขอแสดงความยินดีกับทุกท่านที่สร้างผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมในงานประลองครั้งนี้ด้วย ชั้นสามารถบอกได้เลยค่ะว่าทุกคนที่อยู่ที่นี่นั้นมีความสามารถเทียบเท่าหรือเหนือกว่าอัศวินธรรมดาไปแล้ว”

การที่ได้รับการยอมรับจากเซนต์เอลริสโดยตรง ไม่ต้องสงสัยเลยว่าพวกเขาคงจะชูมือด้องดีใจอยู่ในความคิด

การจะเป็นอัศวินนั้นมีแค่ความสามารถในการต่อสู้อย่างเดียวไม่ได้ จะต้องมีทั้งมารยาทและการวางตัวที่เหมาะสมจะรับใช้เซนต์ด้วย

ถึงอย่างนั้น การที่เซนต์เป็นคนบอกเองว่าความสามารถในการต่อสู้ของพวกเขานั้นเทียบเท่าหรือเหนือกว่าพวกอัศวิน ก็มากพอที่จะทำให้ตัวลอยได้เลย

“เพราะเช่นนั้นแล้ว ชั้นจึงมีคำขอร้องต่อพวกคุณทั้งแปดคนค่ะ”

สีหน้าของเอลริสกลายเป็นจริงจังขึ้นมา เวอร์เนลถึงกับเกร็งตัวตรงขึ้นโดยไม่รู้ตัว

เอลริสนั้นมีความสามารถที่จะทำเรื่องต่างๆมากมายได้ด้วยตัวเธอเอง

หากพูดถึงความสามารถในการต่อสู้เพียงอย่างเดียว คงจะเรียกได้ว่าเธอไม่มีความจำเป็นจะต้องมีอัศวินอยู่ข้างกายเลยด้วยซ้ำ

และ”คำขอ”ที่มาจากเซนต์เช่นนี้ ไม่มีทางเลยที่จะเป็นเรื่องง่ายๆ

“แต่ถ้าพวกคุณเลือกที่จะรับฟังคำขอนั้นแล้ว จะไม่สามารถหันหลังกลับไปได้อีกค่ะ ชั้นจะขอพูดตรงๆเลยแล้วกันนะคะ คำขอนี้เป็นเรื่องที่อันตรายมาก ไม่มีอะไรการันตีว่าพวกคุณจะรอดกลับมาได้ เพราะเช่นนั้น…ชั้นจึงจะให้ตัวเลือกพวกคุณได้ปฏิเสธค่ะ หากพวกคุณเลือกที่จะปฏิเสธ ชั้นก็ไม่ว่าอะไรพวกคุณหรอกค่ะ แน่นอนว่าจะไม่มีผลอะไรต่อผลการเรียนของพวกคุณด้วย”

เป็นอันตรายถึงชีวิตได้

คำพูดนั้นทำให้เอเทอร์น่าและครั๊นช์ไบท์ชะงักไป

การที่เธอยื่นตัวเลือกให้สามารถปฏิเสธได้ก่อนที่จะรับฟัง ก็บ่งบอกได้แล้วว่านี่เป็นคำขอที่อันตรายแค่ไหน

แต่สำหรับเวอร์เนลแล้ว ไม่ว่าจะเป็นคำขอแบบใด ก็ไม่คิดจะปฏิเสธมาตั้งแต่แรกแล้ว

ยิ่งไปกว่านั้น…เขารู้สึกยินดี ที่ตัวเขาจะสามารถเป็นพลังให้กับเอลริสได้

“…หากพวกคุณคนใดเลือกที่จะรับฟังคำขอร้องนั้น กรุณามาที่ห้องนี้หลังเลิกเรียนในวันพรุ่งนี้ด้วยค่ะ”

เธอให้เวลาทุกคนหนึ่งวันไปคิด

ถึงจะไม่ทำเช่นนั้น เธอก็ยังสามารถใช้สถานะของเซนต์เพื่อสั่งพวกเขาได้

ไม่จำเป็นต้องฟังความสมัครใจ ไม่ว่าเซนต์จะพูดอะไรก็มีแต่ต้องทำเท่านั้น

อย่างไรเสีย เธอก็คือเซนต์ และที่นี่ก็คือสถาบันที่ฝึกสอนอัศวินเพื่อมารับใช้เซนต์

การจะปฏิเสธคำขอของเซนต์ก็มีแต่จะทำให้คิดว่า แล้วจะมาเข้าเรียนที่นี่ทำไมตั้งแต่แรก

แต่เอลริสไม่ทำเช่นนั้น

เธอจะรับฟัง…และถึงแม้จะไม่มีใครตกลงรับคำขอร้องนี้ เธอก็ยังจะต่อสู้ต่อไปด้วยตัวคนเดียว

คำตอบของเวอร์เนลนั้นถูกกำหนดไว้แล้ว

ตั้งแต่แรกแล้ว ตัวเลือกอื่นนกจาก ตอบรับ นั้นไม่ได้มีอยู่ในพจนานุกรมของเขาด้วยซ้ำ

ข้างๆนั้น เอเทอร์น่าคอยเฝ้ามองเขาด้วยความเป็นห่วง

.

เวอร์เนลกลับมาที่ห้องเพื่อฝึกฝนคนเดียวอย่างเช่นทุกที

ตั้งแต่ที่เขาเข้ามายังสถาบันนี้ก็ได้แปดเดือนแล้ว ร่างกายของเขาในตอนนั้นไม่อาจเทียบกับตอนนี้ได้เลย กล้ามแขนหนากว่ากันไม่รู้ตั้งเท่าไร

ทุกสัดส่วนของร่างกายแสดงความเป็นลูกผู้ชายออกมา ร่างกายแข็งดุจเหล็กกล้าจากการฝึกฝนครั้งแล้วครั้งเล่า

ถึงอย่างนั้น เขาก็จะมามัวพักอยู่ไม่ได้

จุดมุ่งหมายของเขานั้นสูงส่งยิ่งกว่านี้ไปมาก เขาในตอนนี้ยังไม่เข้าใกล้กับการเป็นผู้ชายที่จะสามารถปกป้องเซนต์ได้เลย

เขาจะต้องแข็งแกร่งขึ้นยิ่งกว่านี้อีก นี่คือความตั้งใจของชายหนุ่ม

หากกำลังของเขาในตอนนี้ยังไม่เพียงพอ ถ้าอย่างนั้นก็แค่ต้องฝึกฝนเพิ่มมันก็เท่านั้น

เขาเพิ่มน้ำหนักขึ้นไปอีก และเริ่มวิดพื้นต่อ

ในจังหวะนั้น เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น

เวอร์เนลลุกขึ้นอย่างรวดเร็วและใช้ผ้าขนหนูเช็ดเหงื่อของตัวเองออก

เขาเปลี่ยนเป็นชุดนักเรียนในทันควัน หวีผมเล็กน้อย ก่อนจะมายืนหน้าประตู

เขาเคยแสดงด้านหน้าอายให้เอลริสเห็นแล้วในวันนั้น จะไม่มีความผิดพลาดแบบเดิมเกิดขึ้นอีกเป็นครั้งที่สองแน่

แต่…ดูเหมือนว่านั่นจะไม่เกี่ยวกับเรื่องในครั้งนี้

“อะไรกัน เอเทอร์น่าเองเหรอ”

“หมายความว่ายังไงน่ะ?”

คนที่ยืนอยู่ตรงนั้นคือเด็กสาวผมสีเงิน-เอเทอร์น่านั่นเอง

ผมสีเงินเป็นประกายต่างจากผมขาวทั่วไป ใบหน้าสะสวย ผนวกเข้ากับรูปร่างที่สมส่วนมีน้ำมีนวล ทำให้เธอเป็นนางในฝันของนักเรียนชายมากมาย

ยิ่งไปกว่านั้น เนื่องจากเอลริสหยุดการเจริญเติบโตลงที่อายุ 14 ปี เอเทอร์น่าจึงมีบรรยากาศของความเป็นผู้ใหญ่ที่เอลริสไม่มี

ถ้าจะให้พูดแบบเจาะจงก็คือหน้าอก ที่ยิ่งเจริญเติบโตอย่างงดงามขึ้นในทุกวี่ทุกวัน

ถ้าสมองของเวอร์เนลไม่ได้เต็มไปด้วยเอลริสล่ะก็ เสน่ห์ของเอเทอร์น่าก็คงเรียกได้แค่ว่ายากจะต้านทาน

“นี่…มาที่ดาดฟ้าด้วยกันหน่อยได้มั้ย มีเรื่องจะคุยด้วยน่ะ”

เวอร์เนลคิดว่าควรจะตอบไปว่าอย่างไรดี

หนึ่งคือตอบรับคำเชิญของเธอ

สองคือถามถึงเหตุผล

และสามคือปฏิเสธไป เพราะเสียเวลาฝึกฝน

“ขอโทษนะ แต่ยังต้องฝึกต่อน่ะ”

หลังจากคิดอยู่สักพัก เวอร์เนลก็ดันเลือกคำตอบแย่ที่สุดออกมาได้

ระดับความชอบของเอเทอร์น่าจะต้องลดลงอย่างแน่นอน แต่เวอร์เนลไม่ได้สังเกตหรือสนใจในเรื่องนั้นเลย

ในสายตาของชายผู้นี้มีเพียงเอลริสเท่านั้นจริงๆ

แต่เอเทอร์น่าเหมือนจะคาดไว้อยู่แล้วว่าเวอร์เนลจะต้องตอบแบบนี้ เธอจึงหยิกแก้มเวอร์เนลแล้วลากมาด้วยกัน

และแล้วมั้งคู่ก็มาถึงดาดฟ้า เวอร์เนลลูบแก้มที่โดนหยิก จากนั้นจึงหันมาหาเอเทอร์น่า

ทำไมถึงพามาที่แบบนี้?

ถ้ามีอะไรจะพูดล่ะก็ พูดกันในห้องก็ได้นี่

ที่อุตส่าห์พามาที่นี่ก็แสดงว่านี่เป็นเรื่องที่เธอไม่อยากให้ใครอื่นได้ยิน

อยากจะพูดจึงเรื่องของคนที่เธอชอบรึเปล่านะ?

หรือไม่ก็ปรึกษาเรื่อง “พลังนั้น” ที่เอเทอร์น่าถือครองอยู่

ต่างจากที่เขาคิด เอเทอร์น่าเลือกจะถามถึงเรื่องที่ง่ายที่สุด-เรื่องที่เขาได้ตัดสินใจเอาไว้ตั้งแต่เมื่อนานมาแล้ว

“อย่างน้อยก็คงต้องถามก่อนล่ะนะ…เธอคิดจะไปหาท่านเอลริสในวันพรุ่งนี้ใช่มั้ย?”

“แน่นอน”

เป็นคำตอบในทันที

ไม่จำเป็นต้องหยุดคิดเลยสักนิด

เอลริสต้องการความช่วยเหลือจากเขา

นั่นทำให้เวอร์เนลมีความสุขมาก…ไม่มีอะไรต้องห่วงเลยสักนิด

คนที่อยู่ที่นั่น…อย่างนั้นจอห์น ฟิโอร่า และซัปเปิ้ลเองก็คงมีความคิดแบบเดียวกัน

แต่ดูเหมือนเอเทอร์น่าจะเห็นต่างออกไป

“นี่เวอร์เนล…ไม่ไปได้มั้ย?”

“…อย่างนี้นี่เอง เธอไม่อยากไปสินะ”

เวอร์เนลไม่ได้ตกใจที่เอเทอร์น่าจะคิดอย่างนั้น

เธอมาที่สถาบันแห่งนี้เพราะเป็นห่วงเวอร์เนล

เธอไม่มีหนี้บุญคุณติดค้างเอลริสเหมือนเขา จอห์นและฟิโอร่า หรือว่าเป็นสาวกของเซนต์อย่างซัปเปิ้ล

ไม่ได้คิดจะทำเพื่อเกียรติของวงศ์ตระกูลเหมือนไอน่า

ไม่มีเหตุผลใดเลยที่ทำให้เธอต้องการจะไปผจญกับอันตรายเช่นนี้

‘ทำไมต้องบอกผมด้วยล่ะ?’ หรือว่าเธอไม่อยากที่จะเป็นคนเดียวที่ปฏิเสธภารกิจเพราะกลัวโดนประนาม?…เวอร์เนลคิดเช่นนั้น

“ไม่เป็นไรหรอกนะเอเทอร์น่า ท่านเอลริสไม่ใช่คนที่จะโกรธต่อให้เธอไม่ไปในวันพรุ่งนี้ก็เถอะ เป็นเรื่องปกติน่ะ เพราะว่าใครก็รักชีวิตกันทั้งนั้น เพราะอย่างนั้นไม่ต้องอับอายไปหรอกนะ…”

“ผิดแล้ว! ไม่ใช่อย่างนั้นนะ ไม่ใช่ชั้น เธอต่างหากล่ะ ชั้นไม่อยากให้เธอไป!”

เอเทอร์น่าทนการเข้าใจผิดของเวอร์เนลไม่ไหวแล้ว จึงตะคอกออกมา

เอเทอร์น่าไม่ได้ห่วงตัวเอง

เธอเป็นห่วงเวอร์เนลที่ทำท่าจะกระโจนเข้าใส่อันตรายด้วยสีหน้าที่มีความสุขต่างหากล่ะ

เธอเข้าใจดีว่าเขานั้นมองเห็นแต่เอลริส

ตั้งแต่ในอดีต…ตั้งแต่ครั้งแรกที่ทั้งสองคนได้เจอกัน เวอร์เนลมีเพียงความใฝ่ฝันเดียวคือการเป็นอัศวินข้างกายเอลริส

การที่เขาเป็นที่ต้องการของเซนต์ก็ไม่ต่างอะไรจากฝันที่เป็นจริง

แต่เอเทอร์น่าไม่อาจยินดีกับเรื่องนั้นด้วยได้

ในเหตุการณ์ครั้งล่าสุด เขาถึงกับตายเชียวนะ

จริงอยู่ที่เขาถูกช่วยไว้ในครั้งก่อน แต่ก็ไม่มีอะไรการันตีว่าจะโชคดีแบบนั้นอีก

“หยุดเถอะนะ! ขนาดท่านเอลริสยังบอกเลยครั้งนี้น่ะอันตราย นี่ไม่ใช่เรื่องเล่นๆนะ คราวนี้เธออาจจะตายจริงๆก็ได้!”

“ก็อาจจะ”

” ‘ก็อาจจะ’ …อะไรกันล่ะ!? แบบนั้นจะดีจริงๆเหรอ!? ถึงเธอจะไม่ไปด้วยก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนไปหรอกนะ! ท่านเอลริสน่ะแข็งแกร่งและทำได้ทุกอย่าง…ถึงเป็นแค่เธอก็คนเดียวก็ต้องทำอะไรสักอย่างได้แน่!”

เวอร์เนลเห็นด้วยกับเอเทอร์น่าส่วนหนึ่ง

อย่างที่เธอพูดเลย

ไม่ว่าเขาจะไปด้วยหรือไม่ ผลลัพท์ก็คงไม่ต่าง

ถ้าเป็นเอลริสล่ะก็ เธอคงจะสามารถแก้ปัญหาได้ทุกอย่างด้วยตัวคนเดียว และนำแสงสว่างมาสู่โลกได้สำเร็จ

แต่เขาไม่อยากให้เป็นเช่นนั้น

การเดินทางทุกอย่าง ทุกสิ่งที่เวอร์เนลทำมา ก็เพื่อไม่ให้เอลริสต้องเดินบนเส้นทางนั้นอย่างโดดเดี่ยว

“โทษทีนะเอเทอร์น่า แต่ผมได้ตัดสินใจไปแล้วล่ะ ในวันนั้น…ในวันที่ผมไม่เหลืออะไรแล้ว เธอคนนั้นโอบกอดผม หลั่งน้ำตาให้กับผม หากไม่มีเธออยู่ละก็ ผมคงจะสาปแช่งโลกใบนี้ และจากไปในฐานะคนที่สิ้นหวังต่อโลก”

ก่อนที่จะได้พบกับเอลริส ชีวิตของเวอร์เนลนั้นจมอยู่ในความมืด

ถูกทอดทิ้งโดยครอบครัว โดนตราหน้าว่าเป็นสัตว์ประหลาด…ไม่อาจควบคุมพลังของตนได้ และใกล้จะตายอย่างกับขยะข้างถนน

เอลริสเป็นผู้ที่ช่วยเวอร์เนลออกมาจากความมืดนั้น บอกกับเขาว่าอย่ายอมแพ้ที่จะมีความสุข

ในวันนั้น เวอร์เนลได้สาบานไว้แล้ว

ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป เขาก็จะเชื่อ เชื่อในแสงสว่าง…เชื่อในเธอผู้นั้น

“อะไรกันน่ะ…ชั้นเอง…ชั้นเองก็… กับเธอแล้วชั้นน่ะ…”

เอเทอร์น่าก้มมองต่ำ ไม่อาจมองหน้าของเวอร์เนลได้ และวิ่งจากไป

เวอร์เนลเองก็ไม่อาจวิ่งตามเธอไปได้ เขาไม่มีสิทธิ์ที่จะทำเช่นนั้น