ตอนที่ 36 สถานการณ์อันตราย

เกรียนแบบนี้ ก็ศิษย์พี่ใหญ่นี่แหละ

ศักดิ์ฐานะศิษย์พี่ใหญ่พรรคหลิงเซียว คิดยัดเยียดคนสองคนเข้าเป็นศิษย์นอก ยังไม่มีปัญหา

ผู้ที่ได้รับการคัดเลือกเป็นศิษย์พี่ใหญ่ของพรรคหนึ่ง หากไม่เกิดเรื่องราวไม่คาดหมาย ถือเป็นศูนย์กลางอิทธิพลของรุ่นหลัง เป็นเสาหลักในการบ่มเพาะ ความสำคัญเท่ากับว่าที่ประมุขคนต่อไป สิทธิอำนาจไม่ต่ำทราม

“เอาเถอะ เจ้าเอาไปอีกห้าศิลาวิญญาณ เป็นค่าผ่านทาง” ฉินจิ่วเกอรู้สึกตนเองช่างมีเมตตาธรรมเกินไปแล้ว ยังอุตส่าห์ลดราคาให้แก่อีกฝ่ายด้วย

อาอู่เคารพบูชาฉินจิ่วเกอยิ่ง มันคิดฝึกวิชา มันต้องการแข็งแกร่ง

พรรคที่สามารถเพาะบ่มยอดยุทธ์ปราณสุริยันออกมาได้ อย่างน้อยไม่ต้องหวาดเกรงถูกพวกผู้ฝึกวิชามารล่าล้าง ในใจของมันถือเป็นตัวตนที่ร้ายกาจยิ่ง

“ไปเถอะ ไปเถอะ” ฉินจิ่วเกอมองดูศิลาวิญญาณทั้งห้าชิ้นร่วงหล่นใส่กำมือของอาอู่แล้ว ในใจอึมครึมยิ่งนัก

“ขอบคุณ” ไฉยีกล่าวอย่างตื้นตัน

“ใต้เท้า” อาอู่โค้งตัวให้กับฉินจิ่วเกอ ศีรษะแทบแตะจรดพื้น “อาอู่จะไม่มีวันลืมท่านเลยขอรับ”

ฉินจิ่วเกอปิดตาลงแน่น ร่างอาบไล้อยู่กลางสายลม “มัวชักช้าอะไรอยู่ ถ้ายังไม่ยอมไปข้าจะเก็บเงินห้าก้อนนั้นคืนจากเจ้าเดี๋ยวนี้แหละ!”

พอถูกตวาดเสียงเหี้ยม สองพี่น้องที่ถูกขู่ขวัญถึงค่อยยอมจากไปในที่สุด

รอจนฉินจิ่วเกอสะสางเรื่องราวจนแล้วเสร็จ มันก็อดรู้สึกเห็นใจแทนซ่งเล่อไม่ได้

หมอนี่ช่างน่ารันทดอะไรอย่างนี้ แรกเริ่มก็ถูกคนในพรรคตนขโมยแหวน ต่อมาก็เป็นคนในพรรคตนอีกที่แก่งแย่งต้นกำเนิดกฎเกณฑ์ที่ควรจะเป็นของมันไป ดูเหมือนว่าสมาชิกพรรคหลิงเซียวตั้งแต่สูงยันต่ำล้วนแล้วแต่เป็นเจ้ากรรมนายเวรของซ่งเล่อสิ้น

เกิดซ่งเล่อได้รู้ความจริง เชื่อว่าคงมีชีวิตอยู่ได้ไม่ถึงร้อยปี สืบเนื่องจากสภาวะจิตใจอันบอบบางของมันที่ไม่อาจรับผลกระทบทางจิตใจอันแสนสาหัสนี้ได้

“พี่ฉิน ไปกันเถอะ” ซ่งเล่อขึ้นม้า ช่างเป็นคุณชายผู้แสนสง่างามอะไรอย่างนี้ แม้แต่ดวงจันทร์ที่ส่องแสงท่ามกลางราตรียังไม่ส่องประกายเงางามเท่ากับนัยน์ตาของมัน

“หล่อเหลือเกินสหายข้า เวลาไม่เคยคอยใคร รีบออกตามหาเดียรัจฉานพวกนั้นแล้วสะสางบัญชีกับพวกมันดีกว่า” ฉินจิ่วเกอชี้นิ้วไปข้างหน้า ปราศจากคำพูดปลุกขวัญวิญญาณ แค่สีหน้าของมันในเวลานี้ก็อธิบายทุกอย่างแล้ว

เดียรัจฉานพวกนั้น ล้างคอรอความตายไว้ได้เลย!

คนหลายร้อยเคลื่อนขบวนมุ่งหน้าสู่หลังเขา บุกป่าฝ่าไพร ข้ามเขาลงห้วย สร้างความแตกตื่นให้สัตว์ป่าสกุณาจนแตกกระเจิง

“เห ท่านผู้นำตระกูลซุนเล่า?” ชนชั้นปราณสุริยันขั้นสูงสุดอย่างมันคงไม่ชิงหนีทัพหรอกกระมัง

“มันบอกว่าจะไปคอยรั้งท้ายขบวน ดูท่าเจ้าทำผู้อื่นแตกตื่นตกใจไม่น้อย คนแก่อายุอานามหลายสิบปี ถูกเจ้าข่มขู่จนพอพบเห็นก็ต้องขนพอง” ซ่งเล่อทำตัวเป็นผู้มองดูความครึกครื้นด้านข้าง เอ่ยกลั้วหัวเราะ

“เฒ่าวิตถารนี่ หากไม่เป็นเพราะข้าไม่รู้กังฟู ข้าย่อมไม่ปล่อยมันไว้แน่!” ฉินจิ่วเกอคำราม แต่ก็เห็นอยู่ว่าแค่อำเล่น คนแก่ๆ ในสมองก็คงมีแต่ความคิดแก่ๆ ล่ะมั้ง

“ข้าก็แค่อยากรู้จักเป็นสหายเฉยๆ ความจริงพิสูจน์แล้วว่า ท่านผู้นำตระกูลซุนไม่เพียงมีรสนิยมจัดจ้าน ยังป่วยเป็นโรคความจำเสื่อมอ่อนๆ อีกด้วย”

เผชิญกับศัตรูทางสังคม ฉินจิ่วเกอเอ่ยวาจาเชือดเฉือนไม่ไว้หน้า

“ดูเจ้าพูดเข้า ข้ากลับมองว่าผู้นำซุนเป็นคนน่าคบหาไม่น้อย”

“ถ้างั้นตาเจ้าก็มีปัญหาแล้วล่ะ”

ฉินจิ่วเกอควบม้าไปข้างหน้า รู้สึกเป็นอิสระไร้พันธะผูกมัด ในสมองก็จินตนาการว่าช่างสง่างามกระไรเยี่ยงนี้

อาชาขาวห้อตะบึง อานสีเงินยวงส่องประกาย ประหนึ่งดาวหางพุ่งผ่าน คงเป็นภาพประมาณนี้กระมัง

แต่ความจริงอันโหดร้ายก็สลายจินตนาการอันสวยหรูของฉินจิ่วเกอจนป่นปี้

เป็นเพราะอยู่บนเขา ภูมิประเทศจึงไม่เหมาะกับการขี่ม้าเลยแม้แต่น้อย โดยเฉพาะหลังการหลบหนีของปีศาจกลุ่มนั้น ทุกย่างก้าวจึงเปี่ยมไปด้วยภยันตรายสุมซ่อน การควบขี่อาชาจึงไม่ต่างจากพฤติการณ์เสี่ยงตาย

พวกมันทุกคนเลยต้องหันมาเดินเท้า ปีนป่ายหน้าผาโหนตัวข้ามศิลา มองหาร่องรอยของพวกปีศาจไปด้วยระหว่างทาง

ภายในเขามีต้นไม้พืชพรรณขึ้นอยู่ปกคลุมทั่วบริเวณ หากท่านไม่ใช่ยอดฝีมือชั้นวิสุทธิ์ไพศาล ไม่มีทางที่จะไม่ทิ้งร่องรอยเอาไว้

เมื่อเดินทางมาถึงทางแยก ร่องรอยของเป้าหมายที่พวกมันตามล่าก็จะปรากฎออกมาให้เห็นไม่ว่าจะตั้งใจหาหรือไม่ก็ตาม ราวกับพวกมันไม่มีเจตนาที่จะปกปิดอำพรางตั้งแต่แรก ตั้งหน้าตั้งตาหนีข้ามเขาเพียงลูกเดียว

คิ้วของฉินจิ่วเกอเวลานี้ขมวดจนยับย่น การเดินทางคราวนี้ราบรื่นจนเกินไป มันเริ่มได้กลิ่นแผนสมคบคิดจางๆ

จนท้ายที่สุด พวกมันก็หาแหล่งกบดานของปีศาจกลุ่มนั้นเจอจนได้

เป็นถ้ำตามธรรมชาติที่เกิดจากการกัดเซาะของดิน ตั้งอยู่ระหว่างทางขึ้นเขาอันโดดเดี่ยว แม้อยู่ไกล กลิ่นเหม็นเขียวชื้นแฉะก็ยังลอยมาให้ได้กลิ่น

ถ้ำแห่งนี้ดูเผินๆ เหมือนสัตว์อสูรจากยุคบรรพกาลที่ฟื้นคืนชีวิตและกำลังแสยะปากกว้างขวางราวกับจะกลืนจันทร์ดับสุริยัน ภายในแว่วเสียงโหยหวนดั่งภูติผีร่ำไห้ ใจกลางความมืดมีกองกระดูกดวงวิญญาณอยู่มากมาย

ปีศาจส่วนใหญ่นั่งบำเพ็ญเพียรอยู่รอบตัวถ้ำ กระทั่งถึงขั้นจุดกองไฟสว่างโร่ ท่าทีทระนงโอหังอย่างที่สุด

ด้านล่าง ศีรษะมนุษย์จำนวนหลายพันกองสุมกันจนกลายเป็นภูเขาขนาดย่อม

ภูเขามนุษย์ลูกนั้นยังมีโลหิตไหลซึม พื้นโคลนเฉอะแฉะภายในถ้ำผสมผสานกับน้ำเลือดที่ไหลนองจนแปรสภาพเป็นแอ่งโลหิต

ศีรษะเหล่านั้น มีทั้งที่เป็นเด็ก มีทั้งที่เป็นผู้สูงวัย ไม่แบ่งแยกหญิงชาย นัยน์ตาที่ยังลืมโพลงจับจ้องไปบนท้องฟ้าอันมืดมิดไร้แสงจันทร์

ทวารทั้งเจ็ดมีโลหิตไหลหลั่ง คนตายตาไม่หลับ

“พวกสารเลว แม้ตายก็ยังไม่สาสม ดูเหมือนพวกมันจะไม่ใช่ยอดฝีมือ ลงมือกันเลยเถอะ” ซ่งเล่อทนรอไม่ไหวอีก เรื่องอย่างขจัดมารผดุงคุณธรรมไม่จำเป็นต้องคิดสะระตะให้มากความ

“รออีกหน่อยเถอะ ข้ารู้สึกว่าระหว่างทางที่มา หนทางราบรื่นไร้อุปสรรคจนผิดสังเกต ปีศาจพวกนี้ย่อมไม่ใช่พวกโง่เง่าไร้สมอง ตรงกันข้าม เทียบกับพวกอื่นยังมีสติปัญญาเฉียบแหลมยิ่งกว่า กฎเหล็กของทวีปฉงหลิง พบปีศาจจำต้องฆ่า พวกมันสมควรรอบคอบระวังตัวมากจึงจะถูก”

ฉินจิ่วเกอพลันนึกถึงนิทานเรื่องนักตกปลาขึ้นมา การตกปลาไม่ได้ขึ้นอยู่กับขนาดตัวของปลา และไม่ได้ขึ้นอยู่กับทักษะหรือสถานที่ในการอำพราง

แก่นแท้ของการตกปลานั้นอยู่ที่เบ็ด ปลาเห็นแล้วเป็นต้องกัด กัดแล้วไม่มีปล่อย

“มัวรออะไรอยู่อีก พวกเราลงมือกันเลยดีกว่า ลงทัณฑ์ปีศาจร้ายในนามแห่งสวรรค์!” ผู้นำตระกูลซุนพลังยุทธเหนือกว่าระดับสติปัญญา ท่ามกลางชนชั้นปราณสุริยันขั้นสูงสุดทั้งสี่ มันนับว่ามีอำนาจไม่น้อย

ได้ยินเสียงตะโกนปลุกใจ กลุ่มคนหลายร้อยพลันตะโกนตอบรับ ไม่สนว่าอีกฝ่ายจะวางค่ายกลหรือมีแผนการแอบแผงอะไรไม่ ต่างกรูกันเข้าหาปากถ้ำจากทั่วทุกทิศ

“กำจัดปีศาจร้ายให้สิ้นซาก!”

ผู้นำตระกูลซุนนำหน้า ลงมือครั้งเดียวผ่าเดรัจฉานสองตัวออกเป็นสองซีก เพิ่มขวัญกำลังใจให้ทุกคนอย่างท่วมท้น ความหวาดกลัวที่คงเหลือพลันมลายหายไปในวินาทีนี้เอง

ผู้ฝึกวิชาปีศาจแตกกระจายเอาชีวิตรอด ขบวนทัพกระจายออกล้อมกักไว้ แปรขบวนเข้าจู่โจม

“พี่ฉินคงคันไม้คันมือยิ่ง พวกเราลงมือเถอะ” ซ่งเล่อยืนขึ้นอย่างตื่นเต้น คนถูกบรรยากาศกองทัพอันฮึกเหิมระบาดใส่

ฉินจิ่วเกอสั่นศีรษะ อย่าเพิ่ง อย่าเพิ่ง

“รอก่อน รออีกเดี๋ยว” ฉินจิ่วเกอรั้งซ่งเล่อไว้ มิให้ทะเล่อทะล่าออกไปทันที

กองโจรที่รู้ทั้งรู้ว่านี่คือเขตอิทธิพลของประตูหายนะ หากยังกล้ามาอาละวาด เหล่าปีศาจนี้ย่อมต้องมีไพ่ตายเก็บไว้

และในขณะที่กองกำลังกระจายออกล้อมถ้ำพร้อมตระเตรียมจู่โจมอยู่นั้น

ภายในส่วนลึกของถ้ำอันมืดมิดจนมองไม่เห็นนิ้วทั้งห้า ปรากฎพลังสองสายพุ่งออกมาอย่างอาจหาญ การเคลื่อนไหวเขย่าขุนเขา แม้แต่ยอดยุทธ์ชั้นปราณสุริยันยังไม่อาจรวมพลังต้านทาน

ยอดยุทธ์ชั้นปราณสุริยันขั้นต้นสองคนถูกพลังวิญญาณระเบิดกะโหลกศีรษะแตกกระจายตายคาที่ หลงเหลือเพียงซากร่างที่ไร้หัวชุ่มชโลมไปด้วยโลหิต

สถานการณ์เปลี่ยนแปลงไปอีกครั้ง พลยุทธ์ปีศาจที่ขวัญบินวิ่งแตกกระเจิงเมื่อครู่ ยามนี้กลับกลายเป็นพลทหารกล้า ในแววตาทอแววพร้อมประหัตประหาร

“เกิดอะไรขึ้น?” ผู้นำตระกูลซุนตะลึงค้าง พลังฝีมือที่สามารถดับชีพปราณสุริยันขั้นต้นได้ตามใจชอบ ตัวมันเองไม่สามารถกระทำได้

ผู้ฝึกยุทธ์ปีศาจรวมตัวเป็นกองกำลัง ภายในถ้ำสะท้อนก้องด้วยเสียงโห่ร้อง สะท้านลั่นแก้วหูผู้คนจนต้องยกมือขึ้นปิดกั้นไว้ ห้วงสมองพลันเลอะเลือนกะทันหัน

ภายในถ้ำ ปรากฎสองผู้ชรารูปลักษณ์สามานย์เดินออกมา ทั่วร่างเปล่งรัศมีพลังวิญญาณอันทรราช ไม่เห็นผู้คนอยู่ในสายตา

คนทั้งคู่ ปรากฎรังสีอำมหิตอันเข้มข้นแผ่ออก หากมิใช่ผ่านการฆ่าฟันผู้คนมานับร้อย ไม่อาจเผยรังสีอำมหิตที่หนาแน่นปานนี้ได้

ภายในนั้นสามารถมองเห็นดวงวิญญาณที่กรีดร้องทุรนทุรายอยู่ ก่อนจะถูกรังสีอำมหิตสีดำอันเข้มข้นกลืนกินจนดับสลายไป

เพียงแค่กลิ่นอายพลังที่แผ่ออก ผู้นำตระกูลทั้งสี่ก็ถูกสะกดข่มจนไร้ทางสู้ มองปราดเดียวก็รู้ว่าใครได้เปรียบใครเสียเปรียบ

“เคี๊ยกๆ ไม่นึกว่าจะมีพวกรนหาที่ตายอยู่อีก ใช่กลุ่มที่สามแล้วหรือเปล่านะ?” ชายชราทั้งสอง หนึ่งดำหนึ่งขาว เลือดเปรอะทั่วอาภรณ์ จึงเรียกไป๋กุ่ยเฮยกุ่ย(ผีขาวผีดำ)ไปพลางๆ ก่อน

“กลุ่มที่สาม?” ในใจของผู้นำตระกูลทุกคนเริ่มเกิดความอึดอัดไม่สบายใจขึ้นอย่างรุนแรง

พูดแบบนี้ก็แปลว่าก่อนหน้านี้มีคนมาก่อนพวกมัน ซ้ำร้ายยังร่วงหล่นตกตายภายใต้เงื้อมมือของปีศาจพวกนี้กันหมด?

ต่อให้ใช้ปลายเท้าเตะฝุ่นที่จับตัวอยู่บนพื้นถ้ำ ก็ยังไม่สามารถลบเลือนคราบโลหิตที่ผสมปนเปกับเศษเลือดเศษเนื้อที่เกาะหนาอยู่บนพื้นได้อยู่ดี

มีคนไม่น้อยต้องหน้าถอดสี กระทั่งแทบอาเจียนออกมาเพราะกลิ่นคาวเลือดที่ลอยตัวอยู่ในอากาศ หวาดกลัวจนแทบสิ้นสติสมประดีไปก็มี

“ผู้สูงส่งอย่างท่านถึงกับกล้าทำเรื่องชั่วช้าในเขตปกครองของประตูหายนะ ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงเกินไปหน่อยแล้วกระมัง?” ผู้นำตระกูลซุลเอ่ยเสียงเหี้ยม หวังขู่ขวัญอีกฝ่ายด้วยชื่อของประตูหายนะ

ไป๋กุ่ยระเบิดหัวเราะจนตัวโยน เสียงหัวเราะของมันเสียดแทงแก้วหูเหลือจะรับ ทุกถ้อยคำที่เอ่ยคล้ายจะเจาะทะลุผ่านหูไปถึงหัวสมอง “เคี๊ยกๆๆ คิดว่าตัวเองจะหนีรอดออกจากที่นี่ได้งั้นหรือ? แต่วางใจเถอะ ศีรษะของพวกเจ้า ข้าจะช่วยเก็บเอาไว้เป็นอย่างดีให้เอง”

เสียงของเฮยกุ่ยกลับทุ้มต่ำ “ประตูหายนะ? ไม่นานมานี้มีศิษย์ประตูหายนะกลุ่มหนึ่งให้เกียรติมาเป็นแขกพวกเรา พวกข้าก็เลยจัดงานเลี้ยงต้อนรับให้เป็นการพิเศษ พวกเจ้าลองดูสิ ศีรษะของพวกมันไม่ใช่แขวนอยู่บนกิ่งไม้นั่นหรอกหรือ?”

ว่าแล้วก็ชี้ไปทางต้นไม้ที่ถูกไอมรณะกัดกร่อนจนแห้งเหี่ยวต้นหนึ่งทางด้านหลัง ท่าทางไม่แยแสต่อนามประตูหายนะเลยแม้แต่น้อย

กิ่งไม้ของต้นไม้ต้นนี้หยิกงอให้ความรู้สึกน่าขนลุก เปลือกไม้แตกร่อนออกเป็นแผ่นๆ

บนปลายแหลมของกิ่งไม้กลับมีศีรษะมนุษย์เสียบคาไว้หลายขนาด องคาพยพทั้งห้าเกรอะไปด้วยคราบโลหิต เป็นศิษย์ฝ่ายในที่ไม่รู้จักประเมินตนตามที่เฮยกุ่ยว่าไว้

“เจ้า เจ้า” ผู้นำตระกูลซุนเบิกตากว้างด้วยความตกตะลึง อีกฝ่ายไม่สนใจเลยว่าจะเป็นศิษย์ประตูหายนะหรือไม่ หากบอกว่าจะฆ่าก็คือฆ่า

เสียสติ พลยุทธปีศาจพวกนี้เสียสติไปแล้วแน่ๆ

ในสมองของพวกมันตอนนี้ไม่มีจิตใจจะต่อสู้หลงเหลืออยู่อีก มีแต่ความคิดที่จะหลบหนีไปจากที่นี่เท่านั้น

แผละ

ศีรษะที่เสียบคาอยู่บนกิ่งไม้พลัดตกลงมากระแทกพื้นจนเกิดเป็นบุปผาโลหิตวงใหญ่ เศษซากที่เหลือกลิ้งไปมาตามแรงลมน้อยๆ

ในกลุ่มคน บรรดาศิษย์ขวัญอ่อนเห็นภาพนี้พลันต้องหน้าซีดตาเซียว ก่อนจะต้องสำลักเอาน้ำดีปนลิ่มโลหิตออกมาจนตัวโก่ง

บางคนถึงขั้นทรุดฮวบลงไปกองกับพื้น หวาดกลัวจนตกตายลงตรงนั้น

ฟางเส้นสุดท้ายถูกบดขยี้ กลุ่มคนที่แตกตื่นโกลาหลไร้กำลังจะขัดขืนต่อสู้อีกต่อไป ทำใจยอมรับชะตากรรมที่คืบคลานเข้ามา

“อย่าเพิ่งแตกตื่นไป!” ซ่งเล่อเหินร่างเข้ามา ระหว่างทางกำจัดฆ่าพลยุทธปีศาจไปได้หลายตน ท่วงท่าราวเทพมารจุติ

“ทุกท่าน ไม่ว่าท่านเลือกที่จะถอยหรือเลือกที่จะเดินหน้าต่อก็ล้วนต้องตายอยู่ดี ในเมื่อต้องตาย ไฉนจึงไม่สู้ให้ถึงที่สุด!” ภายใต้จมูกของชนชั้นวิสุทธิ์ไพศาล ฉินจิ่วเกอตระหนักว่าถึงซ่อนตัวไปก็เปล่าประโยชน์ จึงเลือกที่จะเดินออกจากดงไม้ที่หลบอยู่ หงายไพ่ในมือออกมา

“ทารกน้อยทั้งสอง ในที่สุดก็ยอมโผล่หัวออกมาแล้วสินะ” ไป๋กุ่ยยกมือลูบเครา ท่าทางไม่ตกใจเลยแม้แต่น้อย

กับอีแค่ชนชั้นปราณสุริยันสองคน ไม่อาจก่อกวนคลื่นลมใดๆ ได้ทั้งนั้น

“เอาล่ะ อีกเดี๋ยวพวกเจ้าก็จะถูกกลบฝังอยู่ที่นี่ วางใจเถอะ อีกไม่นานก็จะมีกลุ่มถัดไปที่ถูกกลบฝังเป็นเพื่อนพวกเจ้า” เฮยกุ่ยแผ่ไอสังหารออกรอบตัว ด้านล่างเกิดรอยฝ่าเท้าโลหิตสองรอย

“ทุกท่าน จับดาบขึ้นมาแล้วประหารเดียรัจฉานพวกนี้เสีย อย่าทำให้ชื่อเสียงเผ่ามนุษย์ต้องด่างพร้อย!” ผู้นำตระกูลซุนตะโกนปลุกใจอีกครั้ง ก่อนพุ่งนำออกไปเป็นคนแรก

“พี่ซ่ง ท่านรวมกลุ่มกับพวกปราณสุริยันขั้นสูงสุดทั้งสี่ท่าน จัดการกับเจ้าผีขาวนั่นซะ ส่วนไอ้ผีดำนั่นข้าจะพัวพันมันไว้ก่อน” ฉินจิ่วเกอไม่กล้าเล่นใหญ่เหมือนอย่างเคย วันนี้ความตายมาจ่อประชิดอยู่ตรงหน้า ไม่อาจกวนน้ำให้ขุ่นกว่าที่เป็นอยู่

ไป๋กุ่ยคือยอดฝีมือชั้นพิสุทธิ์ไพศาลขั้นกลาง เฮยกุ่ยคือพิสุทธิ์ไพศาลขั้นต้น ไม่ว่าคนไหนก็ไม่ใช่คู่ต่อกรที่จะจัดการได้ง่ายๆ

ยอดฝีมือชั้นพิสุทธิ์ไพศาลมีสิ่งที่ชนชั้นปราณสุริยันอย่างพวกมันไม่อาจทัดเทียมได้อยู่สองประการ

ประการที่หนึ่ง ชนชั้นพิสุทธิ์ไพศาลสามารถเปิดจุดหลิงไถได้ จุดหลิงไถที่ว่ามีลักษณะว่างเปล่าใสกระจ่างดุจกระจก ล่องลอยราวเมฆาแขวนค้างไว้กลางใจ หลิงไถถูกเก็บกักไว้ในใจกลางแก่นพลังจิต ยิ่งเป็นที่บรรจุสติสัมปชัญญะของผู้คน

จุดหลิงไถเมื่อเปิดแล้วจะช่วยให้ผู้ฝึกตนดูดซับไอวิญญาณฟ้าดินได้เร็วยิ่งขึ้น ทั้งยังช่วยในการหยั่งรู้ถึงพลังแห่งฟ้าดิน ตะวันจันทรา ดาว และมรรคาวิถีได้ดียิ่งขึ้น

ประการที่สอง ยอดยุทธชั้นพิสุทธิ์ไพศาลสามารถเปลี่ยนพลังในกายให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น สามารถสังหารคู่ต่อสู้ที่อยู่ไกลออกไปร้อยเมตร รวมถึงความสามารถด้านการเหาะเหินเดินอากาศ

เพียงแค่สองจุดนี้ ชนชั้นพิสุทธิ์ไพศาลก็สามารถบดขยี้ชนชั้นปราณสุริยันได้แล้ว

กำจัดมุสิกสองตัวที่เดินเข้ามาติดกับ ไป๋กุ่ยเฮยกุ่ยย่อมลดความระวังตัว ในใจเกิดความผยองเอ่อท้น

ใช้สายตาดูถูกเหยียดหยามมองดูเหล่ามุสิกจัดตั้งรูปขบวน ไม่มีเจตนาจะขัดขวางยับยั้ง

การดูถูกศัตรูเช่นนี้ หากซ่งเล่อทนทานได้ ในโลกคงไม่มีอะไรที่มันไม่อาจทนทานรับได้อีกแล้ว