ตอนที่ 37 พรสวรรค์โลกตะลึง

เกรียนแบบนี้ ก็ศิษย์พี่ใหญ่นี่แหละ

“ไม่ตายไม่เลิก ทุกคนเข้าไปพร้อมกัน!” ซ่งเล่อตะโกนเสร็จ ผู้นำตระกูลทั้งสี่ก็ตามหลังมันไป คนทั้งห้าห้อมล้อมไป๋กุ่ยราวกับกำลังเผชิญกับศัตรูตัวฉกาจ

ผู้ฝึกตนที่เหลือต่างก็เผชิญหน้ากับพลยุทธอสูรตนอื่นๆ พวกมันชิงความได้เปรียบกลับมาได้บ้างจากจำนวนที่มากกว่า

แต่สมาธิของทุกคนกลับจดจ่ออยู่ที่ใจกลางการต่อสู้ นั่นคือที่ที่จะกำหนดชะตาชีวิตของทุกผู้คนในที่นี้

ความประหม่ากังวลในใจยามนี้ไม่ต่างไปจากคนเป็นพ่อที่เดินวนไปวนมาอยู่หน้าห้องคลอดเลยแม้แต่น้อย มีทั้งความประหม่าตั้งตาคอยและความรู้สึกอีกหลากหลายปนเปกันไป

หากซ่งเล่อสามารถต้านทานได้ย่อมเป็นเรื่องดี แต่ถ้าประคองไว้ไม่อยู่ วันนี้คงไม่มีใครรอดชีวิตกลับไป

ฉินจิ่วเกอปลีกตัวออกไปอีกทาง พอแน่ใจแล้วว่าไกลพอก็หยุดเผชิญหน้ากับเฮยกุ่ยที่ลอยตามมาติดๆ

มิผิด เท้าของมันไม่แตะพื้น แต่กลับลอยตัวอยู่เหนือดินเล็กน้อย แม้แต่ฝุ่นดินยังไม่ฟุ้งกระจาย หากไม่ใช่เพราะดวงตาที่ทอแววอำมหิตกระหายเลือดและคราบโลหิตเกรอะกรังบนเสื้อคลุมสีดำตัวนั้นแล้ว คงเข้าใจผิดว่ามันเป็นเทพเซียนผู้น่าเกรงขามไปแล้วแน่ๆ

“คารวะท่านอาวุโส ผู้เยาว์มีนามว่าฉินจิ่วเกอ”

ตามขนบธรรมเนียม ฉินจิ่วเกอต้องทักทายบอกกล่าวชื่อแซ่เสียก่อน ไม่อาจบุ่มบ่ามเข้าไปต่อยตีโดยไม่รู้จักคิด

ให้เข้าไปตีเลย?

ด้วยระดับปราณสุริยันขั้นต้นอย่างมัน เทียบกับเฮยกุ่ยแล้วเท่ากับต่างกันหนึ่งขอบเขตใหญ่

หากฝ่ายตรงข้ามต้องการบี้มันให้ตาย ก็สามารถบี้มันให้ตายได้อย่างที่พูดจริงๆ

สำหรับเฮยกุ่ย พวกที่คุกเข่าอ้อนวอนก็เคยเห็นมา พวกที่ร้องไห้น้ำตานองก็เคยเห็นมา พวกที่ก่นด่าเพราะความสิ้นหวังก็เคยเห็นมา แต่ที่ไม่เคยเห็นมาก่อนก็คือพวกที่มีความตายมาจ่ออยู่ตรงหน้าแต่ยังมีอารมณ์มาเสวนาทักทายราวกับเป็นสหายเก่าแก่จากปางไหนอย่างนี้

หรือมันจะเสแสร้ง? ดูจากดวงตาคู่นั้น นัยน์ตาดำสุกใสกระจ่าง บริสุทธิ์ไร้ระลอกหวั่นไหวใจ

“อาวุโส ท่านทานอะไรมาแล้วหรือยัง?” ฉินจิ่วเกอถามไถ่ ท่าทางเป็นห่วงเป็นใย

เหตุการณ์พิลึกส่งผลให้เกิดการตอบสนองอันพิลั่น เฮยกุ่ยไม่คาดตอบกลับมาว่า “ทานแล้ว”

ฉินจิ่วเกอได้ยินดังนั้นก็ยิ้มร่ารีบถามต่อ “ทานอะไรมาหรือท่าน?”

“น้ำแกงกะโหลกมนุษย์!” เฮยกุ่ยตอบด้วยน้ำเสียงเหี้ยมเกรียม ยังสามารถพบเห็นเศษเนื้อติดอยู่ตามแนวฟันของมันได้ แปลว่าไม่ได้พูดแหกตา

“โอ้” ฉินจิ่วเกอกลับไม่ได้ตกใจกลัวจนหัวหด ราวกับว่าเป็นเรื่องปกติที่จะทานน้ำแกงกะโหลกมนุษย์

เมื่อดีมา ก็ต้องดีตอบ เฮยกุ่ยจึงถามกลับไปว่า “ทารกน้อย แล้วเจ้าทานอะไรมาหรือยัง?”

“ทานแล้วขอรับ” ฉินจิ่วเกอตอบตามความเป็นจริง

“ทานอะไรมาล่ะ”

“เกี๊ยวหมูใส่หอมซอยขอรับ”

“อร่อยหรือเปล่า”

เฮยกุ่ยแลบลิ้นเลียปาก หากเปลี่ยนวัตถุดิบเป็นเนื้อสันอกมนุษย์ตรงหน้าคงจะอร่อยน่าดู

“อร่อยสิท่าน”

“แล้วหอมหรือเปล่า”

“หอมที่สุด!”

ดีล่ะ บรรยากาศเริ่มกลมเกลียวปรองดอง แขกเริ่มเพลิดเพลินจนลืมเวลา

ไกลออกไปไม่มาก ศึกของผู้ฝึกตนระดับปลายแถวก็ดำเนินมาถึงจุดดุเดือด

พลยุทธอสูรมีพวกที่ฝึกวิชายุทธอสูรอยู่มาก ยากต่อการต่อต้าน เอาแค่ไอพยาบาทที่แผ่ออกจากร่างของพวกมัน หากไม่ใช่ยอดยุทธชั้นปราณสุริยัน ทันทีที่สัมผัสโดน เนื้อหนังเป็นต้องหลุดลุ่ยออกจากตัว

ใช้คนมากเข้ากลุ้มรุมอสูรหนึ่งตน ทั้งยังไม่อาจชิงความได้เปรียบ ไม่นานก็กลายเป็นโครงกระดูกขาวร่วงหล่นตกตาย เป็นข้อพิสูจน์ถึงความน่ากลัวของผู้ฝึกวิชาอสูรเหล่านี้ การเข่นฆ่ายังคงดำเนินสืบต่อ พื้นดินแม้ไม่เปลี่ยนเป็นสีแดง แต่ถ้าลองกอบขึ้นมาดู ที่ไหลผ่านซอกนิ้วกลับเป็นน้ำเลือดสีดำคลั่กอันน่าขนพยองสยองเกล้า

เสียงประหัตประหารดังขึ้นเป็นระลอก ฟ้าดินเปลี่ยนเป็นสีแดงดั่งขุมนรก สกุณาแตกตื่นดาราหลีกถอย แม้แต่ท้องนภายังคล้ายส่งเสียงตื่นผวาออกมา

จุดที่ดุเดือดเลือดพล่านที่สุดในสมรภูมิแห่งนี้ก็คือกองกำลังของซ่งเล่อและผู้นำทั้งสี่

เทียบกับจุดอื่น ทางฝั่งของซ่งเล่อเปรียบเสมือนนรกสีดำ ทุกเสี้ยววินาทีล้วนเกิดภาพการฆ่าล้างอันน่าแตกตื่น ดวงวิญญาณที่ยังไม่ไปผุดไปเกิดต่างพากันแตกกระเจิงขวัญหาย ส่วนทางฝั่งของฉินจิ่วเกอ หนึ่งผีหนึ่งคนคล้ายกำลังนั่งถกปัญหาเต๋า บรรยากาศปรองดองสงบสุข ไม่ต่างจากเทวดาตูดเปล่าเร่ขายถั่วกลางขุมนรก

“ผู้นำตระกูลทุกท่าน ตามข้ามา!” ซ่งเล่อบุกตะลุยอย่างไร้ลูกไม้ ขณะยืนต่อหน้าไป๋กุ่ย รัศมีกลับไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน

“สามหาวนัก!” ไป๋กุ่ยระเบิดพลัง ไม่ได้ใช้ข้อได้เปรียบด้านระดับพลังที่เหนือกว่า เพียงก้าวเดินเข้ามาช้าๆ ท่าทางราวกับกำลังเดินอยู่ในสวนหลังบ้าน ในสายตาของมัน หนอนแมลงพวกนี้เพียงพลิกฝ่ามือก็กำจัดปัดเป่าไปได้แล้ว

ตูมมมมมมม

ผู้นำทั้งสี่ระเบิดพลังปราณสุริยันขั้นสูงสุดออกมาอย่างไม่เก็บรั้ง วิชายุทธอันทรงพลังสี่สายระเบิดออกจากรอบทิศทาง แรงระเบิดกระแทกแอ่งโลหิตบนพื้นให้แตกกระจายออกเป็นบุปผาโลหิตสีแดงฉาน

ไป๋กุ่ยโบกมือคราหนึ่ง พลังยุทธสี่สายยังไม่ทันแตะถูกชายอาภรณ์ ก็ถูกปัดกระแทกออกไปเสียก่อน

“เคี๊ยกๆ พลังของพวกเจ้ามีแค่นี้น่ะรึ” ยอดยุทธ์ชั้นพิสุทธิ์ไพศาล พลังวิญญาณโคจรอย่างเป็นอิสระ ไป๋กุ่ยกระทั่งขี้คร้านเกินกว่าจะยกมือปัดแมลงวันพวกนี้ออกไปด้วยซ้ำ

ผู้นำทั้งสี่หน้าเปลี่ยนสี ความน่าประหวั่นพรั่นพรึงของยอดยุทธ์ชั้นพิสุทธิ์ไพศาลเหนือล้ำกว่าที่พวกมันคาดการณ์เอาไว้มาก

“ผู้นำทุกท่าน ช่วยคุ้มกันข้าที ข้าซ่งเล่อศิษย์ฝ่ายในประตูหายนะ ขอบรรพชนประตูหายนะทุกท่านช่วยกำจัดผีร้ายตนนี้ด้วย!” เผชิญหน้ากับไป๋กุ่ยที่แสนร้ายกาจ ซ่งเล่อกลับก้าวเท้าออกมาอย่างไม่กลัวตาย ไม่เพียงไม่ถดถอย กลับเดินหน้าอย่างเด็ดเดี่ยว

ผู้นำทั้งสี่ต่างต้องกัดฟันอีกครั้ง หลบมายืนอยู่ด้านหลังซ่งเล่อ ฝ่ามือทั้งสองทาบอยู่กับแผ่นหลังของแต่ละคน เกิดเป็นขบวนมังกรน่าเกรงขามแถวหนึ่ง

ตั้งรูปขบวนมังกรยาว ไอวิญญาณหลั่งไหลเข้าสู่ร่างกายของซ่งเล่ออย่างต่อเนื่อง

สีหน้าของผู้นำทั้งสี่บิดเบี้ยวทุรนทุราย ในใจไม่เหลือความหวังอีก หากซ่งเล่อเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำ รากฐานบรรพชนย่อมไม่พ้นล่มสลาย ตระกูลสิ้นเลือดเชื้อไขเพียงเท่านี้

“เทพราชันทลายสวรรค์!” ไอวิญญาณธรรมชาติหลั่งไหลรวมตัวอยู่ทางฝั่งอันชอบธรรม นัยน์ตาของซ่งเล่อเบิกกว้าง กล้ำกลืนความเจ็บปวดทางสังขารที่ต้องแบกรับพลังอันมหาศาล ผนึกออกเป็นตราประทับเทพราชันทลายสวรรค์

ใต้แผ่นฟ้า ครอบครองมหาวิถี ผู้นั้นคือราชันทลายสวรรค์

ด้วยอิทธิฤทธิ์ของราชันทลายสวรรค์ เบิกพิภพสร้างสรรพสิ่ง รวมทั้งทลายสวรรค์!

“น่าสนใจ”

ไป๋กุ่ยไม่เร่งร้อนลงมือ หากกำลังชื่นชมความบ้าบิ่นเสี่ยงตายของซ่งเล่อ

น่าเสียดาย หนูทำอย่างไรก็เป็นได้แค่หนู ไม่อาจหนีพ้นเขี้ยวเล็บของแมวไปได้

ครืนน

ไอวิญญาณควบรวม แม้แต่แรงกดดันทางอากาศยังรุนแรงกว่าภายนอกหลายเท่า

ผู้นำทั้งสี่สะกดพลังตีกลับเอาไว้อย่างฝืนทน สองตาจ้องตรึงอยู่กับร่างซ่งเล่อ ชายที่เป็นเพียงความหวังเดียวของพวกมันในเวลานี้

“จงออกมาราชันทลายสวรรค์ เบิกพิภพ!”

เงาร่างอันเก่าแก่ราวพฤกษาบรรพกาลเริ่มสำแดงตนผ่านเสียงเพรียกหานับพันนับหมื่น

เส้นแสงอันบริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์ชำระล้างสิ่งชั่วร้ายทั้งหมดทั้งมวล ความอบอุ่นที่แผ่ออกจากกลุ่มแสงนี้ได้ปลุกปลอบขวัญกำลังต่อสู้ให้ฮึกเหิมขึ้นมาอีกครั้ง

นัยน์ตาของไป๋กุ่ยเกิดประกายพิสดารวาบผ่าน ก่อนจะถอนใจออกมา “อัจฉริยะที่ร่วงหล่น”

พลังจู่โจมสุดกำลังของชนชั้นพิสุทธิ์ไพศาลขั้นกลาง สามารถสับสังหารชนชั้นปราณสุริยันให้ตกตายหลายสิบครั้ง

พลังที่กร้าวแกร่งไม่จำเป็นต้องอาศัยเคล็ดวิชายุทธมาจุนเจือ กรงเล็บมารสีดำกรีดตัวออกจากห้วงโกลาหล พุ่งผ่านไปทางกลุ่มแสงเพียงหนึ่งเดียวในโลกหล้าแห่งนี้

ตูม!

ฝุ่นหินดินทรายปลิวกระจายรอบทิศ ไม่อาจจำแนกได้ว่าอะไรเป็นอะไร

ผู้นำทั้งสี่ร่างปลิดปลิว โลหิตฉีดพุ่งออกจากปากเป็นทางยาว สีหน้ายับย่นดุจก้อนกระดาษที่ถูกขยำ บ่งบอกว่าบาดแผลที่ได้รับนั้นสาหัสเพียงใด

แต่ถึงจะเป็นเช่นนี้ ในตาของพวกมันก็ยังทอประกายเลื่อมใสอยู่ไม่คลาย

สามารถปะทะซึ่งหน้ากับพลังจู่โจมสุดกำลังของพิสุทธิ์ไพศาล แม้จะได้เปรียบทางจำนวน แต่เงาร่างของซ่งเล่อยามนี้เจิดจรัสน่านับถือเพียงใดคงไม่จำเป็นต้องอรรถาธิบายอีก

เกรงว่าแม้จะสลับตัวกับเฉียนหยุน ชนชั้นปราณสุริยันขั้นสูงสุด อีกฝ่ายก็ไม่อาจสร้างปาฏิหาริย์อันบรรเจิดเพริศแพร้วเช่นนี้ออกมาได้

แต่น่าเสียดาย ความเศร้าหมองพลันครอบงำจิตใจของผู้นำทั้งสี่ ดวงตาอันพร่ามัวเริ่มปรากฏหยาดน้ำตาหลั่งรินอาบใบหน้าที่เต็มไปด้วยร่องรอยแห่งความชราวัย

พวกมันต่างก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสจากกระบวนท่าเมื่อครู่ แต่ซ่งเล่อกลับยังยืนปักหลักอยู่ที่เดิมอย่างดื้อด้าน ตะเกียงในกายร่อยหรอจนถึงขีดจำกัดสุดท้าย

“ไม่เลวนี่ ไอพยาบาทที่เราผู้ชราใช้ นับเป็นดาวข่มของไอวิญญาณ ทุกสิ่งที่มีสัญญาณชีวิตทันทีที่สัมผัสถูกย่อมเสื่อมสลายไปในทันที การที่เจ้าสามารถรับหนึ่งกระบวนท่าจากข้าได้ นับว่าไม่ง่ายเลยจริงๆ ข้าจะให้โอกาสเจ้าครั้งหนึ่ง ยอมสวามิภักดิ์ต่อพรรคโลหิตจาง เราผู้ชรารับรองว่าความสำเร็จในภายภาคหน้าของเจ้าย่อมไม่ต่ำทราม”

ไป๋กุ่ยที่อยู่ตรงหน้าซ่งเล่อนี้เป็นเหมือนเทพที่มีกลิ่นอายเก่าแก่ ไม่อาจขัดขวางยับยั้งได้

พรวด

ซ่งเล่อท้ายที่สุดก็ต้องกระอักเลือดออกมาคำหนึ่ง ตามองตรงไปที่ฝ่ายตรงข้าม เอ่ยเสียงมืดหม่น “หนอนแมลงจะเทียบกับมนุษย์ได้อย่างไร”

“สามหาว” ไป๋กุ่ยคล้ายถูกแทงใจดำ นัยน์ตาอันว่างเปล่าเบิกจ้อง “เช่นนั้นก็ตายเสีย!”

ในขณะที่ซ่งเล่อและไป๋กุ่ยกำลังประจันหน้ากัน การสนทนาระหว่างฉินจิ่วเกอและเฮยกุ่ยก็ดำเนินมาถึงจุดสิ้นสุด หลังเสร็จสิ้นการเสวนาอันไร้แก่นสาร เฮยกุ่ยก็พร้อมที่จะส่งฉินจิ่วเกอไปแตะขอบฟ้า

“ยังมีอะไรจะสั่งเสียอีกหรือไม่?”

เฮยกุ่ยนิ่งมองเกี๊ยวนึ่งตรงหน้า เหตุใดรอยยิ้มของมันถึงได้ดูชั่วร้ายปานนั้น เทียบกับตนแล้วยังดูโฉดชั่วยิ่งกว่า

เฮยกุ่ยพลันรู้สึกกระสับกระส่ายขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ คล้ายว่ากำลังจะมีเรื่องไม่ดีบางอย่างเกิดขึ้น

ยามที่ราชสีห์จับหนู ยังต้องใช้กำลังทั้งหมดที่มี

“ข้ายังมีความปรารถนาสุดท้ายอยู่อย่าง” ฉินจิ่วเกอที่กำลังนั่งขัดสมาธิคล้ายมองทะลุความเป็นตาย ประจันหน้ากับเฮยกุ่ยอย่างไม่ครั่นคร้าม

“ความปรารถนาใด?” เฮยกุ่ยถาม

ฉินจิ่วเกอยืนขึ้นด้วยท่าทีเคร่งขรึม สองมือกางขึ้นฟ้าคล้ายกำลังแบกผืนนภาไว้ วาจาที่เอ่ยสั่นสะท้านไปถึงดวงจิต “ข้ายังอยากมีชีวิตอยู่ต่ออีกห้าร้อยปี!”

“ผู้สูงส่งปณิธานกว้างไกลสุดอาจเอื้อม ให้ข้าช่วยสนองก็แล้วกัน!”

“ข้าใช้ชีวิตอยู่อย่างสันโดษมายี่สิบปี มีแต่วิชากิเลนคลองถมติดตัว มือขวาของข้าข้างนี้ แฝงไว้ด้วยพลังหั่นภูผาตัดผ่าปฐพี แปดเปื้อนชีวิตนับพันนับล้านดวง เจ้าแน่ใจแล้วหรือว่าจะลองดีกับข้า?”

เฮยกุ่ยไม่คิดฟังอีก ดาบโค้งอาบโลหิตเล่มหนึ่งวาบออกจากเสื้อคลุม หมายจะตัดร่างของฉินจิ่วเกอให้ขาดออกจากกัน

ความรู้สึกกระสับกระส่ายในอกยังคงแจ่มชัด เฮยกุ่ยมั่นใจว่า ความรู้สึกไม่สบายใจชนิดนี้มีสาเหตุมาจากเจ้าเด็กหน้าเหม็นขอบเขตปราณสุริยันตรงหน้านี่เอง

พอเห็นว่าดาบโค้งอาบโลหิตในมือกำลังจะตัดผ่าเอวของฉินจิ่วเกอ ในดวงตาของเฮยกุ่ยก็ฉายแววลิงโลดอันยากสะกดกลั้น แม้แต่ตัวมันเองก็ยังไม่เข้าใจว่ากับอีแค่ฆ่าปราณสุริยันกระจ้อยร่อยผู้หนึ่งไฉนถึงต้องดีอกดีใจปานนี้ด้วย

พรึบ

ยามที่ดาบโค้งอาบโลหิตสัมผัสถูกร่างของฉินจิ่วเกอ ร่างของอีกฝ่ายพลันระเบิดออก กลืนหายไปกับความว่างเปล่า

“อะไรกัน” เฮยกุ่ยมั่นใจว่าอีกฝ่ายจะต้องใช้เคล็ดท่าร่างอันพิสดารสุดคาดหยั่งชนิดหนึ่ง

เคล็ดมารจำแลงกาย ผันแปรไร้สิ้นสุด พันเปลี่ยนหมื่นแปลง ขึ้นอยู่กับสวรรค์

ร่างของฉินจิ่วเกอปรากฎขึ้นทางด้านหลังเฮยกุ่ยอย่างเงียบเชียบ มือขวากำเป็นหมัด ภายในถือกล่องแพนโดร่าที่กำลังจะถูกเปิดออกเอาไว้

มีบางอย่างไม่ถูกต้อง อีกฝ่ายเป็นเพียงแค่ชนชั้นปราณสุริยันผู้หนึ่ง ต่อให้ตนพลาดท่าไปในวินาทีแรก อีกฝ่ายก็ไม่ควรสร้างความเสียหายให้กับตนได้

เฮยกุ่ยมั่นใจในความคิดของตัวเอง แต่ใครจะคาดว่าในเสี้ยววินาทีต่อมา ร่างของมันจะระเบิดออกตรงนั้น แม้แต่ไอวิญญาณในระยะหลายเมตรโดยรอบยังระเหิดระเหยไปอย่างน่าพิสดาร

“เคล็ดกิเลนครองฟ้า ไม่เสียชื่อจริงๆ”

ฉินจิ่วเกอรั้งมือขวากลับมา มันเป็นคนดีโดยธรรมชาติ กลับมาบีบบังคับมันลงมือฆ่าคน

แต่กับขยะเช่นพวกมันนี้ ละทิ้งความเป็นมนุษย์ ลงมือฆ่าไปไม่ต้องเผชิญแรงกดดันทางใจเท่าใดนัก

เคล็ดกิเลนครองฟ้า ฉินจิ่วเกอในยามนี้ไม่อาจสำแดงพลังที่แท้จริงออกมาได้ทั้งหมด

ก่อนหน้านี้มันพยายามถ่วงเวลารวบรวมกำลังเอาไว้มาตลอด และที่มันใช้ออกก็เป็นแค่เศษเสี้ยวพลังที่คงเหลืออยู่ในเคล็ดวิชายุทธนี้เท่านั้น

หากพูดให้ชัดเจน เคล็ดกิเลนครองฟ้าที่ฉินจิ่วเกอสำแดงออกมาไม่นับว่าสำเร็จ แต่เป็นแค่การลอกเลียนวิชาออกมา ลัดขั้นตอนสังหารคู่ต่อสู้เท่านั้น!

เฮยกุ่ยที่ตกตายอย่างอนาถ เป็นเพราะสาเหตุสามประการ

ประการแรก มันละทิ้งโอกาสที่จะสังหารเป้าหมายโดยตรงไปอย่างไม่ไยดี เพราะถึงอย่างไรฉินจิ่วเกอในขณะนั้นแม้แต่แก่นแท้ของวิชายุทธยังไม่อาจทำความเข้าใจจนปรุโปร่ง

อีกอย่าง ฝ่ายตรงข้ามไม่ได้อาศัยข้อได้เปรียบด้านการเหาะเหินอันเป็นความสามารถของชนชั้นพิสุทธิ์ไพศาลในการต่อสู้ หากฝ่ายนั้นเหินกายหนีขึ้นฟ้าไปจริงๆ ฉินจิ่วเกอย่อมไม่มีทางกำจัดแมลงวันตัวนี้ได้สำเร็จ

ประการสุดท้าย เฮยกุ่ยดูถูกฉินจิ่วเกอ มันคาดไม่ถึงว่าชนชั้นปราณสุริยันจะสามารถทลายปราการป้องกันของมันได้ และไม่ใช่แค่ทลายเฉยๆ แต่ยังเป็นกระบวนท่าถึงตายอีกด้วย

หลิงไถแตกสลาย สังขารดับสูญ

พิรุณโลหิตห่าหนึ่งกระจายตัวลงจากฟ้า ไม่นานก็ก่อตัวเป็นเศษซากชิ้นส่วนเละๆ ที่ไม่อาจจดจำรูปลักษณ์ได้อีก เฮยกุ่ยแม้ตกตายยังไม่เข้าใจว่าตัวเองตายได้อย่างไร

ในตอนที่ไป๋กุ่ยกำลังจะลงมือขั้นเด็ดขาดกับซ่งเล่อนั้นเอง บังเอิญเป็นเวลาเดียวกันกับที่ฉินจิ่วเกอส่งกระบวนท่าสังหารเฮยกุ่ยพอดี สร้างความตกใจกลัวให้กับไป๋กุ่ยจนขวัญกระเจิง

มันตระหนักดีถึงระดับพลังของเฮยกุ่ย อีกฝ่ายคือผู้ฝึกตนอสูรขอบเขตพิสุทธิ์ไพศาล ในระดับช่วงชั้นเดียวกันยากจะหาคู่ต่อกร

ตกตายในกระบวนท่าเดียว แม้แต่ศพยังไม่เหลือซาก ไป๋กุ่ยลองถามตัวเองจนได้ข้อสรุปว่ามันไม่มีทางทำเช่นนี้ได้แน่

ไม่กล้าทำอะไรผลีผลาม ไป๋กุ่ยเอ่ยถามด้วยความระมัดระวังสุดขีด “ทารกน้อย เจ้าเป็นใครกันแน่”

“ข้าคือฉีเทียนต้าเซิ่งซุนหงอคง กับอีแค่ชนชั้นพิสุทธิ์ไพศาลลำบากเพียงดีดนิ้วก็ล้มตายเป็นใบไม้ร่วง เจ้าอยากจะลองดูสักหน่อยไหม”

เผชิญกับแรงกดดันจากชนชั้นพิสุทธิ์ไพศาล ฉินจิ่วเกอกลับทำท่าเหมือนไม่เห็นอยู่ในสายตาเลยแม้แต่น้อย ตอบกลับอย่างหยิ่งยโส

ที่จริงเพราะกระบวนท่าเมื่อครู่ พลังวิญญาณภายในร่างจึงกลับกลายเป็นว่างเปล่า ฉินจิ่วเกอในเวลานี้แม้แต่ชนชั้นหลอมวิญญาณยังไม่อาจสู้ได้สักกระบวนท่า

“ปากดีจริงๆ!” ไป๋กุ่ยย่อมไม่เชื่อ เจ้าเด็กน้อยปราณสุริยันผู้นี้ อย่าบอกนะว่าแท้จริงแล้วเป็นชนชั้นกลั่นดวงธาตุปลอมตัวมา?

“งั้นเจ้าก็ลองเข้ามาใกล้ๆ ข้าสิ เอาให้อยู่ในระยะสามก้าวถ้าเจ้ากล้าพอ” ฉินจิ่วเกอทำท่าเหมือนตั้งตาคอยให้อีกฝ่ายทำตามที่ตนพูดจริงๆ สวมบทบาทเต็มที่ “ช่างเถอะ ให้ข้าเป็นฝ่ายเข้าหาเจ้าเอง พิสุทธิ์ไพศาลขั้นปลาย ไกลเกินไปทีเดียวอาจไม่ถึงตาย”

ไป๋กุ่ยพอฟังแล้วเป็นต้องถอยร่นไปเจ็ดแปดก้าวอย่างตื่นตระหนก เริ่มกลัวขึ้นมาว่าหากจับพลัดจับผลูเจอตอ อาจต้องพ่ายแพ้เข้าจริงๆ