“อ้าว ถอยไปซะไกลทำอะไร มามามา พวกเราประลองฝีมือสักตั้ง” ฉินจิ่วเกอโอหังบังอาจเหลือรับ ด้วยสภาพไร้ซึ่งพลังวิญญาณ กลับกล้ากล่าววาจาเช่นนี้ออกมา
“ข้าชอบต่อสู้จากระยะไกล ระยะห่างช่วยให้ความสัมพันธ์ดีขึ้น” ไป๋กุ่ยเอ่ยโต้ตอบจากที่ไกล
“อ้อ” ฉินจิ่วเกอเม้มปาก “เช่นนั้นเกรงว่าต้องใช้ถึงสองกระบวนท่าถึงจะฟาดเจ้าตายได้ ช่างยุ่งยากจริง”
ทันทีที่ได้ยิน ไป๋กุ่ยเหลือบตามองต่ำ จากนั้นร่างทะยานขึ้นสู่กลางอากาศด้วยความกลัว
สิ่งที่ไม่อาจหยั่งทราบจึงน่ากลัว มันไม่ทราบฉินจิ่วเกอมีลูกไม้ใดแอบซ่อนไว้
ส่วนซ่งเล่อที่เฝ้ามองอยู่ด้านข้างตะลึงตาค้างไปนานแล้ว สี่ผู้นำตระกูลเองก็เช่นกัน สองตาสาดประกายวิบวับดุจดาราไม่หยุด
ผู้นำตระกูลซุนกายชราหัวใจว้าวุ่น ในใจทบทวนตนเองใช่สมควรพลีกายแก่เขาดีหรือไม่? ยามนี้คนพลันบังเกิดความหวั่นไหวใจแก่อีกฝ่ายเข้าแล้ว
“หยาหยา ยอดฝีมือชั้นวิสุทธิ์ไพศาลอย่างเจ้า คิดสังหารข้าที่เป็นแค่ปราณสุริยัน แต่ก็ยังบินขึ้นฟ้าไปซะไกลปานนั้น สรุปแล้วจะเอายังไงกันแน่?” ฉินจิ่วเกอตะเบ็งเสียงถามไถ่ดังลั่น สายตาของทุกผู้คนในที่นั้นต่างทอแววฉงนสงสัย มองไปยังไป๋กุ่ยที่ลอยอย่างกระอักกระอ่วนกลางอากาศ
ใบหน้าเหี่ยวย่นของไป๋กุ่ยกลายเป็นแดงเถือกจากความอับอาย น่าขายหน้าอะไรอย่างนี้ รีบออกปากแก้ต่างเป็นพัลวัน “นั่นก็เพราะเจ้าปากเหม็นเกินไปต่างหาก ถ้าไม่ออกมาอยู่ห่างๆ ประเดี๋ยวกลิ่นจะติดตัว ผู้อื่นจะครหาข้าเอาได้ ถึงชนะไปก็ไร้เกียรติ”
ซ่งเล่อและผู้นำตระกูลทั้งสี่ต้องกลอกตาขาวใส่ เจ้าปราณวิสุทธิ์ไพศาลผู้นี้หนังหน้าหนาเป็นพิเศษแท้ๆ คิดลงมือต่อปราณสุริยันผู้หนึ่งยังติดเกราะเปิดการป้องกันเต็มตัว
“สรุปแล้วจะสู้ไม่สู้?” ฉินจิ่วเกอยกมือตั้งท่าเลียนแบบหนังกังฟู
ยิ่งเห็นแบบนั้น ไป๋กุ่ยยิ่งไม่กล้าเคลื่อนไหวโดยพลการ “ให้ข้าทบทวนอีกหน่อย”
“ก็ได้” ฉินจิ่วเกอผงกศีรษะ ผ่านไปประมาณสามนาที ไป๋กุ่ยที่ลอยตัวกลางอากาศก็ลดตัวลงสู่พื้น หัวร่อเสียงฮาฮาดังลั่น
“เจ้าเด็กน้อย จิ้งจอกหาญปลอมเป็นราชสีห์ ที่แท้ไม่มีไพ่ตายอันใด!” ไป๋กุ่ยที่สามารถเปิดโปงฉินจิ่วเกอได้ต้องภาคภูมิใจในตนเองยิ่ง รู้สึกว่าระดับสติปัญญาของมันช่างสูงเสียนี่กระไร
ฉินจิ่วเกอที่ถูกเปิดโปงกลับปราศจากความร้อนรน ยังคงตั้งท่ากังฟูไม่เลิก เม้มปากกล่าว “เจ้าดูออกได้อย่างไร?”
“ไพ่ตายของเจ้าสมควรใช้ออกได้เพียงครั้งเดียว มิเช่นนั้นคงไม่ถ่วงเวลานานขนาดนี้ มัวแต่อมพะนำไม่ยอมลงมือ แปลว่าใช้ลวดลายออกหมดสิ้นแล้ว”
ไป๋กุ่ยคือบรรพบุรุษสิบแปดรุ่นของพรรค บรรพชนทั้งหลายต่างถ่ายทอดความทรงจำที่หลงเหลือไว้ให้แก่มัน ส่งผลให้มันมีวิจารณญาณและสมองอันกระจ่างเฉียบคม
“ฮ่าฮ่า” ฉินจิ่วเกอหัวร่อแล้ว “ที่แท้เจ้ามันอ่อนโดยแท้แต่กำเนิด ผู้ฝึกวิชาขั้นพิสุทธิ์ไพศาลประมือกับปราณสุริยัน หน้าไม่อาย”
“ไม่ว่าเจ้าจะพูดยังไง คนที่มาในวันนี้ ไม่ว่าผู้ใดอย่าคิดว่าจะรอดไปได้ แม้แต่เด็กน้อยเจ้า ข้าจะเลาะกระดูกบนร่างเจ้าออกมาทีละท่อนทีละท่อน ดูซิว่าเจ้าจะยังทำท่าไม่แยแสเหมือนอย่างเช่นตอนนี้ได้หรือไม่”
ไป๋กุ่ยแลบลิ้นสีแดงยาวของมันออกมา เงาปีศาจโบยบินผ่านพื้นดิน
ซ่งเล่อและผู้นำตระกูลทั้งสี่ เมื่อได้ผ่านการพักหายใจชั่วครู่ ล้วนฟื้นพลังวิญญาณกลับมาได้ส่วนหนึ่ง ผู้นำตระกูลซุนผู้เห็นการตายเป็นเหมือนการกลับสู่มาตุภูมิพลันตะโกนก้องขึ้น “ตามข้ามา!”
สี่ผู้นำตระกูลเปลี่ยนเป็นกำแพงมนุษย์ ทะยานสู่อากาศเข้าต้านไป๋กุ่ยไว้
“ไม่ประมาณตน!” เมื่อต้องเผชิญสี่ยอดยุทธ์ชั้นปราณสุริยันเข้าเสี่ยงชีวิต ไป๋กุ่ยดีดนิ้ว ตระเตรียมสำแดงวิชาพิสดารของตนเองออกมา
เวลานี้เอง ฉินจิ่วเกอใช้ความเร็วดุจประกายสายฟ้า ปรากฏกายขึ้นที่เบื้องหลังของไป๋กุ่ยราวอสนีบาต ไป๋กุ่ยที่หวาดเกรงว่าฉินจิ่วเกออาจมีอาวุธลับที่สามารถปลิดชีพมันได้ในคราเดียว จำต้องกลับไปป้องกันทางด้านหลัง
พลันได้ยินฉินจิ่วเกอตะโกนขึ้นว่า “ลองรับเถรกวาดลานของข้าดู”
ทันทีที่ได้ยิน ไป๋กุ่ยสลับเท้ากระชั้นเร่งร้อน
มันหันกลับมา ตระเตรียมกำจัดฉินจิ่วเกอก่อนเป็นอันดับแรก กลับได้ยินเสียงลมหวืดหวือราวนกกระเรียนที่ข้างหู จากนั้นตามมาด้วยน้ำลายกลุ่มหนึ่ง แปะลงบนใบหน้าของมันเต็มรัก
“อ๊ากกกก บัดซบ!” ไหนบอกว่าท่าเท้า ไอ้ตัวหน้าไม่อาย ไป๋กุ่ยด่าทอฉินจิ่วเกออย่างถึงพริกถึงขิง
สามารถบีบคั้นผู้ฝึกวิชาปีศาจจนตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าฝีมือของฉินจิ่วเกอเข้าขั้นหายนะเพียงใด เด็กน้อยต่อยตีกันยังไม่อนาถถึงขั้นนี้ ปากคอไม่มีพลังสังหารถึงเพียงนี้ ไป๋กุ่ยคั่งแค้นจนแทบเต้นผาง
ยอดยุทธ์ขั้นวิสุทธิ์ไพศาล หากอยู่ในเมืองซวนอู่ เป็นผู้นำตระกูลหนึ่งนับว่าเหลือเฟือ ศักดิ์ฐานะสูงส่งค้ำฟ้า
ยามนี้ กลับถูกเด็กน้อยรุ่นหลังปั่นหัวจนหัวหกก้นขวิดต่อหน้าธารกำนัลมากมาย ซ้ำยังได้รับการถ่มน้ำลายเป็นของแถมอีกหนึ่งคำ
นี่ นับเป็นความอัปยศอดสูอย่างสุดขีด ไป๋กุ่ยดาลเดือดจนแทบคลั่ง
“บัดซบ” ไป๋กุ่ยปิดตาด้วยความรังเกียจ สะบัดชายเสื้อขึ้นปาดเช็ดคราบน้ำลาย
ยามนั้น สี่ผู้นำตระกูลถาโถมเข้าจู่โจม ภูเขาเลือดเนื้อสี่ลูกทุ่มโถมเข้าใส่อย่างแรง ราวกับแทงก์น้ำขนาดยักษ์บินหลา กดร่างไป๋กุ่ยลงแนบพื้น
“ลองรับลิงขโมยลูกท้อของข้า!” ผู้นำตระกูลซุนแสดงออกชัดถึงรสนิยมอันจัดจ้าน จู่ๆ ก็แสดงท่าที่เรียกว่าลิงขโมยลูกท้ออันใดนั่นออกมาได้
กระบวนท่านี้รวดเร็วแม่นยำยิ่ง ยามลงมืออานุภาพราวอสนีบาตฟาดทลาย
ไม่น่าแปลกใจที่ผู้นำตระกูลทั้งสามนับถือผู้นำตระกูลซุนอยู่หลายส่วน ที่แท้มันเก็บซ่อนกระบวนท่านี้ไว้ กลับร้ายกาจอันตรายไม่น้อย
“อ๊าก!” ไป๋กุ่ยร้องเสียงหลง บนฝ่ามือผู้นำตระกูลซุนเพิ่มกระจุกขนติดมาหย่อมหนึ่ง
ปงปง
ไอปีศาจจากภายในกายของไป๋กุ่ยแปรสภาพเป็นวงคล้ายเปลือกไข่ ห้อมล้อมร่างของมันไว้ภายใน
ไป๋กุ่ยกางกรงเล็บตะปบราวปีศาจคลั่งทะยานขึ้นจากพื้น เสื้อผ้าขาดกระจุยแหว่งวิ่น สองแก้มปรากฏของเหลวสองสายไหลเป็นทางราวหนูตกน้ำ
สี่ผู้นำตระกูลถูกดีดกระเด็นออก เมื่อหยุดร่างลง ผู้นำตระกูลซุนยังร่ำร้องออกมา “ถลกขนเจ้าแล้ว กำนัลคัมภีร์ทานตะวันเจ้าอีกเล่มหนึ่ง กลับไปร่ำเรียนกับอาจารย์หญิงเจ้าซะ!”
พลังวิญญาณภายในกายของฉินจิ่วเกอเหือดแห้งไปนมนานแล้ว ยามนี้ได้ยินวาจาของผู้นำตระกูลซุน ภายในใจต้องรู้สึกยกย่องอีกฝ่ายขึ้นหลายส่วน ความรู้สึกดีงามเพิ่มพูนขึ้นไม่น้อย
ดูท่าอาวุโสสามมีความสามารถไม่เบา ถึงกับสามารถขายนิยายยิ้มเย้ยยุทธจักรออกไกลนอกรัศมีร้อยลี้จากพรรคหลิงเซียวแล้ว ขนาดผู้นำตระกูลซุนที่ไม่ถามไถ่เรื่องราวในยุทธภพยังยกย่องให้เป็นของล้ำค่า
ตนเองจะอย่างไรคงต้องกลับพรรคหลิงเซียวสักเที่ยวหนึ่ง นอกจากไปสะสางเรื่องของเจ้าหน้าขาวนั่นแล้ว ยังต้องกลับไปแบ่งปันผลกำไร นั่นยังสำคัญกว่าการรักษาขาเก้าอี้ศิษย์พี่ใหญ่พรรคหลิงเซียวไว้อีก
สี่ผู้นำตระกูลเหินร่างออกมา ซ่งเล่อที่ซุ่มรอจังหวะอยู่เนิ่นนานค่อยเคลื่อนไหว ทุกคนต่างคิดใช้กลวิธีเรียงหน้าชน ค่อยๆ ลดทอนพละกำลังของไป๋กุ่ย
“เทพราชันทลายสวรรค์!” ของดีต้องเก็บไว้ทีหลัง รอจนสี่ผู้นำตระกูลกระตุ้นโทสะไป๋กุ่ยจนขาดความระวัง ซ่งเล่อจึงปล่อยกระบวนท่า ส่งสายฟ้าจำนวนนับไม่ถ้วนฟาดใส่ทรวงอกของไป๋กุ่ย
เงาร่างขนาดยักษ์มาถึงอย่างกะทันหัน ไป๋กุ่ยไม่ทันทรงกายมั่น ก็ถูกพลังกดดันมหาศาลทำให้แตกตื่นตกใจ
ที่แท้เป็นเงายักษ์อวตารหนึ่งเดียวที่สามารถสร้างความสะท้านสะเทือนแก่ชนชั้นวิสุทธิ์ไพศาล แต่อาศัยระดับฝีมือของซ่งเล่อย่อมไม่มีทางทำร้ายตนได้โดยเด็ดขาด
ทว่าเพราะเมื่อครู่ตนเพิ่งถูกผู้นำตระกูลซุนขโมยลูกท้อ ตอนนี้จึงเจ็บปวดแทบปางตาย จึงมิอาจไม่สูดลมหายใจหนาวเหน็บ
อาศัยจังหวะที่ไป๋กุ่ยเผลอไผล ราชันทลายสวรรค์ของซ่งเล่อก็ฟาดใส่ทรวงอกของอีกฝ่ายอย่างถนัดถนี่
แคร่ก
ครั้นแล้วใบหน้าของไป๋กุ่ยก็เปลี่ยนเป็นสีแดง ทรวงอกยุบลงเป็นแอ่งขนาดเท่าปากชามอย่างไม่เป็นธรรมชาติ กระดูกแตกหักทิ่มแทงเนื้อหนังออกมา
ซ่งเล่อประสบความสำเร็จในการลอบจู่โจม หักซี่โครงของอีกฝ่ายไปหลายซี่ ไป๋กุ่ยเริ่มวาดมือวาดเท้าอย่างคลุ้มคลั่ง ไอทมิฬแผ่กระจายออกรอบระยะร้อยเมตร ต้นไม้ใบหญ้าทั่วบริเวณพลันเหี่ยวเฉาแห้งตาย
ผู้ฝึกตนหลายคนหลบหนีไม่ทันท่วงที ต้องล้มลงกับพื้น กลายเป็นกองน้ำเลือดน้ำหนองทั้งเป็น
“ขอบเขตพิสุทธิ์ไพศาลร้ายกาจเกินไปแล้ว ขนาดถูกทำร้ายสาหัสถึงกระดูกเลือดเนื้อ พลังที่ปล่อยออกมายังแข็งแกร่งถึงขั้นนี้” ฉินจิ่วเกอพึมพำในใจ ถ้ามีเวลาอีกสามชั่วยาม ไม่แน่ตนเองอาจใช้กิเลนครองฟ้าออกมาได้อีกครั้ง
ทว่าไป๋กุ่ยไม่ใจดีปานนั้นแน่ หากยังไม่มีปาฏิหาริย์ใดเกิดขึ้นอีก พวกตนมีแต่ต้องตายสถานเดียว
“ข้า.. ข้าจะฆ่าพวกเจ้า ฆ่าพวกเจ้าให้หมด!” นัยน์ตาแดงเลือดด้วยความอาฆาตแค้นของไป๋กุ่ยจ้องมองบรรดาผู้ที่อยู่ในที่นั้นทุกผู้คน ผู้ที่ถูกสายตาอาฆาตของมันทิ่มแทง ไม่ต่างจากถูกมีดดาบเสียบลึกถึงดวงวิญญาณ
ไป๋กุ่ยฝืนกล้ำกลืนเลือดลมที่ตีย้อนกลับ รสคาวโลหิตเข้มข้นพลุ่งพล่านอยู่ภายในจมูกและปาก มันคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าตนจะต้องประสบความลำบากถึงเพียงนี้ ช่างไม่อาจทนทานรับได้
ทุกผู้คนในที่นั้นต่างถอยกายไปหลายก้าวโดยอัตโนมัติ มีเพียงฉินจิ่วเกอที่ยืนรากงอกอยู่ที่เดิม เผชิญหน้ากับคำสาปแช่งของไป๋กุ่ย “หน้าไม่อาย พูดอย่างกับว่าเมื่อกี้เจ้าไม่ได้คิดฆ่าพวกข้าแน่ะ”
ไป๋กุ่ยสะท้านทั่วร่าง โลหิตแดงสดหยาดหยดจากมุมปากราวมือปีศาจที่ยื่นยาวออกมา
“พรวดด”
กระอักโลหิตแล้ว ไป๋กุ่ยกระอักโลหิตจริงๆ
เลือดที่ทะลักออกมาตรงมุมปากนี้เป็นของจริงแท้แน่นอน ไม่มีหลอกลวงชราทารก เป็นฉินจิ่วเกอทำให้มันโมโหจนกระอักเลือด
พร้อมกับที่ฉินจิ่วเกอกล่าววาจา อีกฝ่ายมีโทสะไม่อาจระบาย ได้แต่ต้องกลับบ้านไปหาที่ตะกายกำแพงระบายแค้น ฝูงชนในที่นั้นถึงกับต้องซูฮกฉินจิ่วเกออีกครั้ง ส่งสายตาแก่มันราวบูชาเทพยดา ถึงกับสามารถเล่นงานยอดฝีมือชั้นพิสุทธิ์ไพศาลจนมีสภาพไม่ต่างจากผีตายซากเช่นนี้ได้ เลิศล้ำ!
ไอปีศาจสีดำทมิฬเริ่มควบรวมไปที่ฝ่ามือของไป๋กุ่ย พลังที่แท้จริงของขอบเขตพิสุทธิ์ไพศาลกำลังจะสำแดงออกมา อานุภาพแกร่งกล้าสังหารผู้คนจำนวนมาก มังกรสีดำมะเมื่อมเป่าไฟวายุแห่งความตายที่กัดกร่อนทุกสรรพสิ่ง เปลี่ยนสรรพชีวิตให้กลายเป็นกองกระดูกขาวโพลน
“ทุกคน รวมพลังกับข้าเข้าต้านทาน!” ซ่งเล่อวางแผนการป้องกันสุดท้าย หากถึงเวลาไม่อาจต้านไว้ได้จริงๆ ต่อให้ต้องสละชีพ ก็ยังดีกว่าถูกมารปีศาจจับกุม
“ฮ่าฮ่าฮ่า” ฉินจิ่วเกอหัวร่อสนั่นหวั่นไหว นิ้วเรียวทั้งห้าปรากฏขึ้นภายใต้แสงจันทร์กระจ่าง แสงจันทราอาบไล้พื้นพสุธา มอบรัศมีแสงบริสุทธิ์เรืองรองห่อหุ้มร่างฉินจิ่วเกอชั้นหนึ่ง
“เดิมทีข้าไม่อยากฆ่าคน แต่ในเมื่อเจ้าอยากตาย!” พูดจบก็วาดฝ่ามือจากบนลงล่างดั่งดาวตกร่วงหล่นจากฟ้า พุ่งเข้าหาไป๋กุ่ย
“ยังจะเล่นละครตบตาอีกรึ!” ไป่กุ่ยพิโรธ ตัดสินใจเดี๋ยวนั้นว่าจะปลิดชีวิตฉินจิ่วเกอเป็นคนแรก
คนเพียงเพิ่งก้าวเท้าออกได้สองก้าว พลังกดดันอันไพศาลก็ถาโถมเข้าใส่ ผู้อยู่ขอบเขตต่ำกว่าปราณสุริยันทั้งหมดต่างถูกกดทับจนคืบคลานไปกับพื้น
สี่ผู้นำตระกูลใบหน้าไร้สีเลือด เหงื่อเม็ดโป้งเท่าไข่มุกพรั่งพรูลงจากหน้าผาก ชัดเจนว่าลำบากกินแรงยิ่ง
พลังวิญญาณกวาดม้วนไปทั่วสี่ทิศแปดทาง ในที่นั้น นอกจากฉินจิ่วเกอแล้ว ใบหน้าทุกผู้คนต่างเต็มไปด้วยความตกตะลึงเหนือคาด มัน…สามารถกำจัดยอดยุทธ์พิสุทธิ์ไพศาลได้จริงๆ?
“เป็นไปไม่ได้ เจ้าแข็งแกร่งปานนี้ได้อย่างไร!” ร่างของไป๋กุ่ยถูกกดลงแนบพื้น บนศีรษะคล้ายมีภูเขาหลายลูกสะกดทับอยู่ ยอดยุทธ์พิสุทธิ์ไพศาลผู้ยิ่งใหญ่ ภายใต้แรงกดดันทาบทับนี้ กระทั่งปลายนิ้วยังไม่อาจกระดิกได้
ท่ามกลางพลังวิญญาณอันไพศาล ไป๋กุ่ยตะเกียกตะกายไปมา แทบถูกบดขยี้ได้ทุกเมื่อ
“ตาย!” ฝ่ามือตวัดลง พร้อมกันนั้นบนฟากฟ้าปรากฏฝ่ามือยักษ์สามจั้ง ตระเตรียมบดไป๋กุ่ยเป็นผุยผง
ไป๋กุ่ยรวบรวมพลังวิญญาณเจ็ดแปดชั้นเข้าป้องกัน เกรงว่าแม้แต่ยอดยุทธ์ขอบเขตพิสุทธิ์ไพศาลขั้นสูงสุด ยังไม่มีปัญญารับการโจมตีนี้แม้แต่ครั้งเดียว หากฝ่ามือมโหฬารนี่ตบลงมาเมื่อใด คงไม่แคล้วถูกทับบี้แบนเป็นกระดาษบางๆ
แกร่กแกร่ก
พลังป้องกันอันเข้มแข็งของไป๋กุ่ย ที่แท้กลับไร้ค่าถึงเพียงนี้
“กิเลนครองฟ้าที่ข้าฝึกฝน ฝ่ามือนี้ล้างบางคนมามากกว่าหมื่น!”
ฉินจิ่วเกอใบหน้าปลอดโปร่งชืดชา สองมือไพล่หลัง ใช้สายตาของผู้สูงส่งสุดสูงทอดมองไป๋กุ่ย
ครืนนนนน!
ไป๋กุ่ยร่างฉีกขาดออกจากกันราวถูกห้าม้าแยกสังขาร หลิงไถถูกบีบแน่นจนพลังวิญญาณกระจายกลายเป็นผงคลี พลานุภาพที่หลงเหลือของฝ่ามือนี้ไม่ธรรมดา หลังกวาดสายตาไปเริ่มโจมตีใส่ผู้ฝึกวิชาปีศาจในที่นั้น
ผู้ฝึกวิชาปีศาจที่หลงเหลือยี่สิบสามสิบคน วินาทีนั้นกลายเป็นผู้ถูกเชือด ไร้พลังตอบโต้
“เป็นไปได้ยังไง?” ่ซ่งเล่อเหม่อมองอย่างโง่งม จ้องมองฉินจิ่วเกอด้วยความเลื่อมใส “เจ้าทำได้ยังไง?”
ผู้มีพรสวรรค์สวรรค์ทั่วไป สามารถข้ามขั้นต้านทานอริ รักษาสถานะไม่พ่ายแพ้ ถือเป็นเรื่องไม่ง่ายดาย ที่สามารถข้ามขอบเขตช่วงใหญ่พลิกเป็นฝ่ายสังหารยอดฝีมือ เกรงว่าคงมีแต่ในตำนานปีศาจเท่านั้น
ฉินจิ่วเกอหัวร่อฮี่ฮี่ สองมือยกชูขึ้นสู่ฟ้า “ผู้เยาว์ฉินจิ่วเกอ คารวะอาวุโสประตูหายนะ!”
ผู้คนในที่นั้นต่างสะท้านตื่นจากฝัน ก่อกวนอยู่ครึ่งค่อนวัน ที่แท้เป็นยอดฝีมือจากประตูหายนะในเมืองซวนอู่มาถึงแล้ว มิน่าเล่าฉินจิ่วเกอถึงได้ปราศจากความกลัว ที่แท้ผู้สูงส่งมาถึงแล้ว
แต่เมื่อยามที่ฉินจิ่วเกอประมือกับเฮยกุ่ย เป็นมันอาศัยความสามารถล้วนๆ ข้ามขั้นสังหารอีกฝ่าย
สุดยอดฝีมือผู้สามารถในยุคบรรพกาล ผ่านเวลามานมนานยังคงความแข็งแกร่ง ฉินจิ่วเกอไม่กล้าประมาทศัตรูเพราะเหตุนี้ บรรดาผู้อาวุโสทรงอำนาจที่รับสืบทอดวิชาในสำนักทั้งหลาย ไพ่ตายย่อมต้องน่ากลัวไม่น้อย
“ที่แท้เป็นอาวุโสมู่หยวน ศิษย์ฝ่ายในประตูหายนะซ่งเล่อ ขอเชิญท่านผู้อาวุโส”