ตอนที่ 39 งานปักเวลาจำกัด

เก็บตกนักฆ่า มาเป็นหนุ่มบ้านนา

ป้าเหลาเดินร้อนใจมาตลอดทาง พอเห็นประตูแง้มอยู่ก็เคาะพอเป็นพิธีก่อนจะตะโกนเรียกซูสุ่ยเลี่ยนแล้วก้าวเข้าไปทันที

พอเข้าไปก็ถูกสัตว์ตรงหน้าประตูทำเอาตกใจสะดุ้งโหยง ในใจแอบคิด โอย! เช้ามายังไม่เห็น จากไปไม่นาน ล่าสัตว์มาได้มากขนาดนี้เลยหรือนี่ ดูท่าอาเย่านั่นฝีมือไม่ธรรมดาจริง! ชมไปพลางเดินไปทางห้องครัว ไหนเลยจะรู้ว่านายพรานที่นางชื่นชมนอนพักอยู่กับลูกหมาป่าใต้แสงตะวันของฤดูใบไม้ร่วงอยู่

“ป้าเหลา มานั่งทางนี้ กินข้าวเช้ามาหรือยัง” ซูสุ่ยเลี่ยนยิ้มเรียกป้าเหลาเข้ามานั่ง ในใจคิดไปถึงก่อนหน้าที่หลินซือเย่าเล่า ตอนป้าเหลาส่งหมั่นโถวมาให้ นางยังหลับอยู่ ในใจก็แอบรู้สึกเขินขึ้นมาทันที

ป้าเหลาเห็นหลินซือเย่าดูแลเอาใจซูสุ่ยเลี่ยน ในใจก็แอบนึกอิจฉาขึ้นมา มิน่านางเถียนเวลาเอ่ยถึงเขาถึงได้มีแต่น้ำเสียงชื่นชมอิจฉา อยากให้ลูกสาวนางได้สามีที่เอาใจเช่นนี้บ้าง

ชายเช่นนี้สาวบ้านไหนไม่ชอบกันบ้าง! ป้าเหลาปัดความคิดแอบหวังถึงวาสนาของสี่ชุ่ยลูกสาวตน ยิ้มกล่าวว่า “นังหนู วันนี้ข้ามาก็มีเรื่องหารือกับเจ้าหน่อย”

ซูสุ่ยเลี่ยนได้ยินก็วางตะเกียบลง หันไปยิ้มมองป้าเหลาที่ยิ้มน้อยๆ อย่างลังเล “ป้าเหลาไม่ต้องเกรงใจ ท่านช่วยพวกเรามากมาย พวกเรายังไม่มีโอกาสตอบแทนท่านเลย หากว่ามีอะไรที่พวกเราช่วยได้ ก็เอ่ยปากมาได้เลย”

“นังหนูกล่าวเช่นนี้ ข้ากลับรู้สึกเกรงใจแล้ว” ป้าเหลาสีหน้าเก้กัง ในใจแอบตำหนิตนเองที่ช่างเลือกเวลานี้มาพูดเสียได้ คนเขาเพิ่งข้าวใหม่ปลามัน ใช่ว่านางมากวนใจหรือ!

“ป้าเหลา?” ซูสุ่ยเลี่ยนเห็นสีหน้าป้าเหลาก็สบตากับหลินซือเย่าอย่างไม่เข้าใจ

“กินโจ๊กนี่ก่อน” หลินซือเย่าส่งชามโจ๊กอุ่นให้นาง

“อืม” ซูสุ่ยเลี่ยนพยักหน้ารับชามมากินไปสองสามคำ ในใจก็คิดอะไรขึ้นมา รอให้กินอาหารเช้าเสร็จค่อยว่ากัน นางได้รับการอบรมกุลสตรีมาจนเข้ากระดูกไปแล้ว ให้กินไปพูดไป ไม่ชินจริงๆ

……

“ป้าเหลา ที่ลำบากใจก่อนหน้านี้ก็คือเรื่องนี้หรือ” ซูสุ่ยเลี่ยนฟังป้าเหลาอึกๆ อักๆ เล่าจบ ก็เข้าใจสาเหตุที่วันนี้นางมาหาตนเองติดๆ กันสองรอบ

ก็เพราะสี่ชุ่ยลูกสาวนางสองวันก่อนเข้าเมืองไปขายผ้าปัก ไปรับงานปักชิ้นใหญ่หนึ่งมา หากทำเสร็จก็จะได้สามตำลึง สี่ชุ่ยที่ไม่เคยปักได้เงินเกินตำลึงก็รีบรับปากทันที ไหนเลยจะรู้ว่าวันนี้ไก่ยังไม่ทันขัน นางก็รีบร้อนเข้าเมืองไปรับงานปักทันที จึงได้รู้ว่าที่ผู้ว่าจ้างให้ค่าจ้างสูงเช่นนั้นก็เพราะลูกค้าต้องการเร่งด่วน ต้องทำให้เสร็จภายในสามวัน ทำเอาสี่ชุ่ยที่รีบร้อนรับปากยามนั้นไม่รับก็ไม่ได้ ได้แต่รับงานปักกลับบ้านมาหน้าตาอมทุกข์บ่นไม่หยุด

“นังหนู ป้าเหลารู้ว่าฝีมือปักเจ้ายอดเยี่ยม แต่หากจะทำงานปักชิ้นใหญ่นี้ให้เสร็จในสามวัน ข้าเกรงว่า…”

“ป้าเหลา ท่านก็บอกแล้วว่าไม่ใช่ข้าคนเดียว ยังมีสี่ชุ่ยอีกคน สองคนทำงานความเร็วเพียงพอ” ซูสุ่ยเลี่ยนตบหลังมือปลอบใจป้าเหลา ภาพหงส์เกี้ยวหงส์[1]สองเมตร คิดว่าเจ้าของน่าจะใช้ทำฉากบังตา สามวันก็น่าจะพอไหว

“นังหนู!” พอป้าเหลาได้ยินซูสุ่ยเลี่ยนกล่าวเช่นนี้ ก็ไม่คิดอ้อมค้อมรีบขอบคุณกล่าวว่า “เช่นนั้นก็ตกลง ตามนี้ ข้าจะกลับไปให้สี่ชุ่ยเตรียมผ้าและอุปกรณ์ปักผ้ามาที่นี่ หรือว่า…นังหนูไปปักที่บ้านข้า?” พอป้าเหลาคิดถึงว่าย้ายมายังไม่ถึงสามวัน อย่างไรก็บ้านใหม่ จะให้ลูกสาวตนย้ายมาทำงานปักที่นี่ได้อย่างไร

“ไม่เป็นไร ป้าเหลา ข้ากับอาเย่าไม่ถือธรรมเนียมมากมายอะไร นับประสาอะไรกับผ้าปักผืนใหญ่ได้แท่นปักใหญ่สะดวกกว่ามาก” ซูสุ่ยเลี่ยนเดาว่าป้าเหลาลังเลอยู่ ก็ยิ้มส่ายหน้าเพื่อบอกว่าไม่ต้องคิดมาก

ในโลกใบนี้ ตนเองกับอาเย่าไร้บิดามารดา โชคดีที่มีเพื่อนบ้านมีน้ำใจช่วยเหลือ แม้ว่าพวกเขาจะช่วยเพราะมีความคิดที่แตกต่างกัน แต่ก็เป็นธรรมดา ส่วนนางนั้น จากมุมซูสุ่ยเลี่ยน คิดว่าได้รับความช่วยเหลือจากพวกนางมากจริงๆ เช่นนั้นก็เพียงพอแล้ว

……

“เป็นอะไรไปหรือ”

หลินซือเย่าเห็นป้าเหลารีบร้อนทักเขาแล้วก็ออกไปยังคิดว่าเกิดอะไรขึ้น วางงานชำแหละเนื้อในมือลง ล้างมือสะอาดก่อนเดินข้าห้องนอนมา พอเห็นซูสุ่ยเลี่ยนกำลังนั่งเหม่ออยู่ที่โต๊ะกลมก็อดถามไม่ได้

“อ้อ อาเย่า สองสามวันนี้ข้าอาจยุ่งสักหน่อย” ซูสุ่ยเลี่ยนเห็นหลินซือเย่าเข้ามาก็รีบเล่าเรื่องงานปักที่สี่ชุ่ยไปรับมา มองหลินซือเย่าอย่างรู้สึกผิด

เรื่องเวลาจำกัดของงานปักนั้นนางย่อมรู้ดี ตั้งแต่ร่วมงานแข่งขันปักผ้าทุกปีมา นอกจากส่งงานปักที่ปักยามปกติเข้าร่วมประกวดแล้ว ยังต้องปักผ้าตามหัวข้อที่บรรดาร้านปักตั้งไว้ให้ได้ในเวลาที่จำกัดตรงสนามแข่ง งานปักที่เร่งรัดทำให้จิตใจเคร่งเครียดเช่นนั้น อาจกล่าวว่าสามมื้อไม่มีเวลากิน แม้ว่าเตรียมขนมน้ำชาไว้ก็ต้องให้สาวใช้ป้อนให้ สองมือตนเอง ทันทีที่ลงมือปักก็ไม่คิดจะเลอะมืออีก ไม่เช่นนั้นไม่เพียงแต่กังวลกับเวลาที่เสียไป ยังกลัวคราบน้ำมันหรือคราบน้ำอะไรพวกนั้นจะเลอะผ้า

แม้ว่านางจะปลอบใจป้าเหลาว่าไม่ต้องใส่ใจธรรมเนียม แต่ตนเองก็รู้สึกผิดต่อหลินซือเย่าอยู่ดี นางพยักหน้าเพื่อบอกว่าอีกสามวันจากนี้ งานบ้านทั้งหมดจะตกอยู่ที่เขาคนเดียว

“สามวัน? ต้องปักไม่หยุดหรือ” หลินซือเย่าขมวดคิ้วถามเบาๆ

“อืม” ซูสุ่ยเลี่ยนพยักหน้า “งานในบ้านก็ลำบากเจ้าแล้ว”

“เรื่องพวกนี้ไม่ต้องเป็นห่วง แต่ดวงตาของเจ้าปักผ้าไม่พักเลย ไม่ล้าหรือ” หลินซือเย่าโอบนางเดินออกไปนอกห้อง

พระอาทิตย์ยามบ่ายในต้นฤดูใบไม้ร่วงยังคงมีความร้อนอยู่ แต่หากนั่งบนเก้าอี้ไม้ยาวใต้ต้นอิงเถาก็จะไม่รู้สึกว่าถูกแดดเผาเลยแม้แต่น้อย

สองคนนั่งติดกันคุยเล่นไปเรื่อย ที่เท้ายังมีลูกหมาป่าสองตัวนอนหมอบอยู่ ภาพเช่นนี้ว่างดงามเช่นไรก็งดงามเช่นนั้น

“พวกนี้…” ซูสุ่ยเลี่ยนอิงแอบอยู่ในอ้อมกอดของหลินซือเย่าอย่างเขินอาย พลางชี้ไปที่กระต่ายป่าสามตัวและไก่ป่าสี่ตัวที่ถูกเชือกมัดดิ้นอยู่ที่พื้น พลางคิดว่าหรือเขาคิดจะเลี้ยง

“อืม พวกเราควรเตรียมพร้อมสำหรับฤดูหนาวแล้ว” หลินซือเย่าก้มหน้ามองนางที่บ่าเขา น้ำเสียงอ่อนโยนกระซิบข้างหูซูสุ่ยเลี่ยนราวกับกล่อมนิทรา “กระต่ายพวกนี้สองตัวเป็นตัวเมีย ตัวหนึ่งมีลูกด้วย อีกไม่กี่เดือนก็คลอดแล้ว ไก่ป่านี่สองตัวเป็นตัวเมีย ปล่อยไว้ให้พวกมันออกไข่ ส่วนตัวผู้นั่นเลี้ยงอีกสองสามเดือน ไว้จัดการตอนปีใหม่”

“อาเย่า…” ซูสุ่ยเลี่ยนหันไปยิ้มละมุนมองเขา น้ำเสียงอ่อนโยนกล่าวว่า “ได้รู้จักเจ้าช่างดีจริง”

ใช่แล้ว แม้ตอนแรกจะเป็นเพราะนางแค่อยู่ๆ ใจอ่อนจึงช่วยเขาไว้ แต่ต่อมานางก็เอาแต่คอยพึ่งพาเขา หากไม่ใช่ว่ามีเขาอยู่ ด้วยความอ่อนแอต่อการดำรงชีพของนาง ไร้ความสามารถแม้แต่จะแยกแยะเมล็ดพันธุ์พืช คิดจะมีชีวิตดีสุขสงบเช่นตอนนี้ก็คงเป็นไปไม่ได้

“ข้าก็เช่นกัน” หลินซือเย่าถอนหายใจเบาๆ ก้มหน้าซุกเข้าที่ลำคอนาง ใบหน้าแดงอย่างเห็นได้ชัด เพราะการเคลื่อนไหวของเขาที่แยบยลทำให้ซูสุ่ยเลี่ยนพลาดโอกาสที่จะได้เห็น

———————————————————-

[1] หงส์เกี้ยวหงส์ ตามตำนานว่าซือหม่าเซี่ยงหรูในสมัยราชวงศ์ฮั่นบรรเลงเพื่อเผยความในใจที่มีต่อหญิงที่ตนหลงรัก ต่อมาสำนวนนี้จึงมักใช้เปรียบเทียบชายหนุ่มจีบหญิงสาว