บทที่ 35 ผู้อาวุโสสังหารเทพ ระดับปราณก่อกำเนิดขั้นสอง

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

บทที่ 35 ผู้อาวุโสสังหารเทพ ระดับปราณก่อกำเนิดขั้นสอง
หลังจากลัทธิมารฟ้ามืดพ่ายแพ้หนีไป สำนักหยกพิสุทธิ์ฝ่ายในก็เริ่มฟื้นฟูพลัง เมืองฝ่ายในที่ถูกทำลายก็ต้องสร้างใหม่เช่นกัน

ศิษย์ทั้งหลายไม่ได้เศร้าเสียใจมากนัก กลับตื่นเต้นดีใจเสียอีก

คาดไม่ถึงว่าในสำนักหยกพิสุทธิ์จะซ่อนผู้ทรงพลังที่สังหารระดับเปลี่ยนวิญญาณได้อย่างง่ายดายเอาไว้!

ผู้อาวุโสถ่ายทอดวิชาทั้งสิบแปดยอดเขาบอกเล่าเหตุการณ์ในสงครามให้เหล่าศิษย์ฟัง สำหรับตัวตนของหานเจวี๋ย พวกเขาไม่ได้เปิดเผยแต่อย่างใด เพียงบอกนามผู้อาวุโสสังหารเทพเท่านั้น

ผู้อาวุโสสังหารเทพ!

หลังจากการต่อสู้ในวันนี้ ชื่อนี้ก็กลายเป็นผู้ที่น่าเลื่อมใสมากที่สุดในใจของบรรดาศิษย์สำนักหยกพิสุทธิ์!

ผู้คนล้วนสงสัยใคร่รู้ทุกเรื่องของผู้อาวุโสสังหารเทพ

พลบค่ำวันเดียวกันนั้น

ณ ยอดเขาหยกวิเวก

ครั้นเซียนซีเสวียนปลอบขวัญศิษย์ทั้งหลายเรียบร้อย ก็ให้พวกเขาทั้งหมดแยกย้ายไป เหลืออยู่เพียงหานเจวี๋ย

แม้ว่าศิษย์ยอดเขาหยกวิเวกเห็นกับตาว่าหานเจวี๋ยเป็นผู้ลงมือ แต่ก็ไม่คิดว่าหานเจวี๋ยคือผู้อาวุโสสังหารเทพ

รวมถึงฉางเยวี่ยเอ๋อร์ด้วยเช่นกัน

ก่อนออกไป ฉางเยวี่ยเอ๋อร์มองไปยังหานเจวี๋ย

ผ่านเคราะห์ใหญ่เช่นนี้มา หานเจวี๋ยก็ยังคงสงบนิ่งเช่นเคย

นางนึกเลื่อมใสอยู่ในใจ

นางมีเรื่องจะคุยกับหานเจวี๋ย จึงเตรียมตัวไปคอยอยู่ด้านนอก

ประตูใหญ่ของตำหนักหยกวิเวกถูกปิดลง

ภายในตำหนักเหลือเพียงหานเจวี๋ยและเซียนซีเสวียน

เซียนซีเสวียนแต่งแต้มใบหน้าใหม่อีกครั้งแล้ว ยังคงงามล่มเมืองราวกับนางเซียนบนสวรรค์เหมือนเคย

นางจ้องตรงไปที่หานเจวี๋ย

หานเจวี๋ยก้มหน้าลง ในใจกลับไม่ได้เกรงกลัวแต่อย่างใด

ไม่ว่าตอนนี้เขาจะทำอะไร สำนักหยกพิสุทธิ์ก็ไม่มีทางขับไล่เขาไปแน่

เซียนซีเสวียนเองก็ไม่มีเหตุผลที่จะตำหนิเขา

“เจ้าไม่มีสิ่งใดอยากจะพูดหรือ” เซียนซีเสวียนเอ่ยถาม

หานเจวี๋ยเงยหน้าขึ้นมา กล่าวด้วยความสงสัยว่า “ข้าต้องพูดอะไรหรือ”

เซียนซีเสวียนแค่นเสียงขึ้นจมูก “เจ้าเป็นใครกันแน่ เหตุใดจึงมาที่สำนักหยกพิสุทธิ์”

หลี่ชิงจื่อสามารถเพิกเฉยได้ แต่นางเป็นอาจารย์ก็ควรทำให้กระจ่างแจ้ง

ในเมื่อศิษย์แกร่งกว่าอาจารย์ แล้วนางจะเป็นอาจารย์ได้อย่างไร

มิน่าล่ะเจ้าเด็กนี่ถึงไม่เคยต้องการให้นางชี้แนะ…

“ต่อไปข้าควรจะเรียกเจ้าว่าสหายเต๋าหานกระมัง”

เมื่อเจอเซียนซีเสวียนประชดประชัน หานเจวี๋ยไม่มีทางเลี่ยง “ศิษย์ไม่มีภูมิหลังใดทั้งสิ้น ท่านน่าจะรู้ที่มาของข้าจากศิษย์น้องเถี่ยแล้ว ท่านไม่เชื่อในพรสวรรค์ของข้าหรือขอรับ”

เซียนซีเสวียนหรี่ตาลงพลางพูด “แม้ว่าเจ้าจะมีพรสวรรค์มาก แต่ความสามารถของเจ้าได้มาอย่างไร คงไม่ใช่ว่าเข้าใจตอนปิดด่านฝึกฝนเป็นแน่”

ระดับปราณก่อกำเนิดสังหารระดับเปลี่ยนวิญญาณ ไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย!

พูดได้ว่าไม่เคยได้ยินมาก่อน

แม้เซียนซีเสวียนจะเชื่อ แต่เจ้าสำนักกับผู้อาวุโสคนอื่นไม่เชื่อแน่

“เช่นนั้นข้าจะบอกท่าน แต่ท่านอย่าได้พูดออกไปนะขอรับ ตอนเด็กมีเซียนท่านหนึ่งเข้าฝันข้า บอกว่าข้ามีพรสวรรค์ จะได้เป็นเทพเซียน แต่ว่าดวงชะตาไม่ดี มีเคราะห์มาก ข้าจึงไม่กล้าก่อเรื่อง เอาแต่ปิดด่านอยู่ทุกวัน” หานเจวี๋ยตอบอย่างจริงจัง

เซียนซีเสวียนนิ่งเงียบ

หานเจวี๋ยก็ไม่ได้เอ่ยสิ่งใด

ผ่านไปนาน

เซียนซีเสวียนกล่าวขึ้นอีกครั้ง “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เหตุใดเจ้าจึงออกมาต่อสู้ สำนักหยกพิสุทธิ์ก็ไม่ได้ปฏิบัติกับเจ้าดีนัก ข้าเชื่อว่าเจ้าเองก็ไม่คิดว่าสำนักหยกพิสุทธิ์เป็นบ้านอยู่แล้ว”

หานเจวี๋ยเอ่ยตอบ “เป็นจริงดังนั้น แต่ข้ามีชีวิตอยู่มาร้อยปีแล้ว มีไม่กี่คนที่ข้าใส่ใจ และพวกเขาอยู่ในสำนักหยกพิสุทธิ์พอดี คนที่สำคัญที่สุดในบรรดาเหล่านั้นยังต้องการจะร่วมเป็นร่วมตายกับสำนักหยกพิสุทธิ์อีก”

ระดับความประทับใจเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว!

[ความประทับใจที่เซียนซีเสวียนมีต่อท่านเพิ่มขึ้น ระดับความประทับใจในขณะนี้คือ 3.5 ดาว]

‘เพิ่ง 3.5 ดาวเอง?

สมแล้วที่เป็นอาจารย์ของข้า ช่างไม่เหมือนกับสตรีนางอื่น!

ยิ่งเย็นชา ข้ายิ่งชอบ!’

หานเจวี๋ยปลงอนิจจังในใจ

เซียนซีเสวียนเปลี่ยนเรื่องพลางถาม “เช่นนั้นจะเอาอย่างไรต่อไป ปิดด่านต่อหรือ”

“ขอรับ จอมมารระดับสุญตานั่นไม่แน่ว่าอาจจะกลับมาแก้แค้น ข้าต้องรีบทำเวลาฝึกฝนให้แกร่งขึ้น”

“เช่นนั้นก็เจ้าไปเถอะ”

“ขอรับ”

หานเจวี๋ยลุกขึ้นจากไป

ไม่รู้เพราะเหตุใด หานเจวี๋ยนึกเสียใจอย่างบอกไม่ถูก

เมื่อเดินออกไปถึงประตู หานเจวี๋ยหันกลับไปถาม “อาจารย์ อายุขัยของท่านใกล้เข้ามาหรือยัง”

เซียนซีเสวียนชะงัก ถามว่า “เจ้าหมายความว่าอย่างไร”

แช่งให้ข้าตายหรือ

“ข้านึกถึงศิษย์น้องเถี่ยขึ้นมา ข้าไม่อยากให้อาจารย์จากโลกนี้ไป หากมีวันนั้นจริง หวังว่าอาจารย์จะบอกให้ข้ารู้ล่วงหน้า”

หานเจวี๋ยกล่าวจากใจจริง

เซียนซีเสวียนพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “ไปได้แล้ว อายุขัยของข้ายังอีกยาวไกล”

หานเจวี๋ยเร่งรีบเดินออกไป

เซียนซีเสวียนส่ายหน้าหลุดยิ้มออกมา

นางอดนึกถึงการต่อสู้ในช่วงกลางวันของวันนี้ไม่ได้ จนถึงตอนนี้ก็ยังรู้สึกเหมือนความฝัน

ไม่คิดเลยว่าในบรรดาศิษย์ของนางจะมีคนที่เก่งกาจเช่นนี้ซ่อนอยู่

ทว่าเจ้าเด็กนี่กลับถือว่านางเป็นคนสำคัญที่สุด

สิ่งนี้ทำให้นางประหลาดใจยิ่งนัก

ใช้เวลาไปครึ่งชั่วยาม ในที่สุดหานเจวี๋ยก็สลัดฉางเยวี่ยเอ๋อร์ออกไปได้และกลับมาถึงถ้ำเทวาของตนเอง

หานเจวี๋ยนั่งลงบนเตียงไม้ที่คุ้นเคย บิดขี้เกียจหนึ่งที

“ช่างเป็นวันที่น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก ข้านี่แข็งแกร่งจริงๆ”

หานเจวี๋ยยิ้มเอ่ยอย่างภาคภูมิใจ เพียงกระบี่เดียวก็สังหารผู้บำเพ็ญระดับเปลี่ยนวิญญาณได้ ความรู้สึกเช่นนี้วิเศษเหลือเกิน!

โดยเฉพาะความแตกต่างของท่าทีก่อนและหลังเหตุการณ์ที่เหล่าผู้อาวุโสสำนักหยกพิสุทธิ์มีต่อเขา…

นี่เป็นการเสแสร้งที่มักจะเขียนไว้ในนิยายไม่ใช่หรือ

ไม่ต้องพูดถึงเลย มันช่างสดชื่นยิ่งนัก

‘เป็นไปตามคาด ปิดด่านฝึกฝนตลอดคือสิ่งที่ถูกต้อง ถ้าข้าไม่ได้ฝึกฝนเมื่อสักสองสามปีก่อนก็คงไม่มีโอกาสเช่นนี้’

‘จะต้องพยายามฝึกฝนอย่างถึงที่สุด’

หานเจวี๋ยคิดอย่างเงียบๆ

หากหายนะนี้เกิดขึ้นเมื่อหนึ่งหรือสองปีที่แล้ว และเขายังไม่ทะลวงถึงระดับปราณก่อกำเนิด เขาสู้ต้วนทงเทียนไม่ได้แน่นอน

ถึงเวลานั้นก็ทำได้เพียงวิ่งหนี สตรีเหล่านั้นที่อาจพัฒนาเป็นคู่บำเพ็ญเพียรของเขาก็จะตายทั้งหมด

เมื่อคิดถึงตรงนี้ หานเจวี๋ยยิ่งมุ่งมั่นที่จะฝึกบำเพ็ญมากขึ้น

ก่อนที่เขาจะไร้เทียมทาน เขาต้องการใช้เวลาทั้งหมดเพื่อฝึกฝน

แม้ว่าต้วนทงเทียนจะตายไปแล้ว แต่อันตรายที่อาจเกิดขึ้นยังคงอยู่

สำนักมารปีศาจ!

หานเจวี๋ยเต็มไปด้วยความฮึกเหิม

เขาอยากอยู่เหนือกว่าทุกคนในสำนักมารปีศาจ ก่อนที่สำนักมารปีศาจจะตามมาล้างแค้น!

ขณะที่หานเจวี๋ยคิด เขาก็เข้าสู่สภาวะการฝึกฝน

ครึ่งปีผ่านไป

สำนักหยกพิสุทธิ์ฝ่ายในฟื้นกลับสู่สภาพเดิม หลี่ชิงจื่อและคนอื่นๆ ก็ฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ พวกเขาเริ่มระดมลูกศิษย์จำนวนมากไปบุกโจมตีลัทธิมารฟ้ามืด

หานเจวี๋ยไม่ถูกรบกวน เซียนซีเสวียนก็ไม่ได้ส่งศิษย์ไปตามหานเจวี๋ยเช่นกัน

ต้วนทงเทียนกับจางคุ่นหมัวตายแล้ว หากว่ากันเรื่องพลังต่อสู้ระดับสูง ลัทธิมารฟ้ามืดสู้สำนักหยกพิสุทธิ์ไม่ได้อย่างแน่นอน!

ในด้านจิตใจ สำนักหยกพิสุทธิ์ก็ยังมีข้อได้เปรียบเช่นกัน

หนึ่งปีต่อมา

ภายใต้การโจมตีที่แข็งแกร่งของสำนักหยกพิสุทธิ์ ลัทธิมารฟ้ามืดถอยร่นไปอย่างต่อเนื่อง กระทั่งหลบหนีออกจากค่ายใหญ่ของสำนัก

แดนบำเพ็ญพรตต้าเยี่ยนตกตะลึง!

อำนาจบารมีของสำนักหยกพิสุทธิ์เพิ่มขึ้นมาก!

ตบะของหานเจวี๋ยก็บรรลุปราณก่อกำเนิดขั้นสองแล้ว

ใช้เวลาสองปีครึ่งถึงจะบรรลุหนึ่งขั้น

ขอบเขตย่อยของระดับปราณก่อกำเนิดไม่ได้ทะลวงง่ายๆ อย่างที่คิด

แต่หากเทียบกับเมื่อก่อน ความเร็วในการฝึกฝนก็เพิ่มขึ้นไม่น้อย นั่นเป็นเพราะหานเจวี๋ยไม่ต้องฝึกฝนรากวิญญาณอย่างเดียว แต่ดูดพลังวิญญาณหกชนิดมาแปลงเป็นพลังวิญญาณหกสายได้โดยตรง!

ตั้งแต่ผ่านระดับรวมแก่นปราณขั้นเก้า เขาก็สามารถฝึกฝนเช่นนี้ได้ ส่วนการฝึกฝนในระดับปราณก่อกำเนิด เรียกได้ว่าราวกับได้รับความช่วยเหลือจากสวรรค์

ในวันนี้

ฉางเยวี่ยเอ๋อร์มาเยี่ยมเยือน

“สำนักเก็บรวบรวมของล้ำค่าฟ้าดินที่ช่วยเพิ่มพลังวิญญาณในถ้ำเทวามาให้เจ้าไม่น้อย ข้ามาช่วยเจ้าปลูก ยังมีค่ายกลรวมวิญญาณด้วย” ฉางเยวี่ยเอ๋อร์ยิ้มกล่าวหลังจากเข้ามาในถ้ำเทวา

นางรู้แล้วว่าผู้อาวุโสสังหารเทพของสำนักหยกพิสุทธิ์ก็คือหานเจวี๋ย

จนกระทั่งมีข่าวนี้ ระดับความประทับใจของนางเพิ่มขึ้นไปถึง 5.5 ดาว!

นางทราบข่าวนี้มาจากปากของเซียนซีเสวียนเอง ดังนั้นนางจึงไม่ติดใจสงสัย

ศิษย์น้องหานเป็นอัจฉริยะที่ไม่เคยมีมาก่อนอย่างแท้จริง!

ไม่สิ!

เป็นผู้ที่สวรรค์โปรดปราน!

หานเจวี๋ยพยักหน้าบอก “ลำบากศิษย์พี่หญิงแล้ว”

ฉางเยวี่ยเอ๋อร์เริ่มยุ่งวุ่น วางค่ายกลไปพลางพูดยิ้มๆ ไปพลาง “เจ้าเป็นผู้อาวุโสสังหารเทพแล้ว ข้ายังจะเป็นศิษย์พี่หญิงของเจ้าได้อีกหรือ”

หานเจวี๋ยยิ้มกล่าว “เพียงแค่ศิษย์พี่หญิงมุมานะฝึกฝน ไม่เป็นคนไร้ความสามารถ ก็เป็นศิษย์พี่หญิงของข้าตลอดไปได้แล้ว”

ระดับความประทับใจสูงเช่นนี้ จะปฏิเสธได้อย่างไร

รูปโฉมของฉางเยวี่ยเอ๋อร์ก็ไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่ด้วย!

แต่ว่าหานเจวี๋ยยังไม่อยากมีความรักในตอนนี้ การมุ่งมั่นฝึกฝนต่างหากคือหนทางที่ถูกต้อง

ดังนั้นเขาจึงปรารถนาให้เหล่าสตรีที่ชื่นชอบตนเองมุมานะฝึกฝนเช่นกัน

ร่วมฝึก…ไปด้วยกันหรือไม่

แบบที่พากเพียรฝึกฝนด้วยกันหนึ่งพันปี!

………………………………………………